แค่รักไม่พอ ต้องมีความรู้! Royal Canin สร้างโลกใหม่ให้คนรักสัตว์

ในยุคที่คำว่า "สัตว์เลี้ยง" เปลี่ยนสถานะกลายเป็น "สมาชิกในครอบครัว" หรือ Pet Family อย่างเต็มตัว น้องหมาน้องแมวจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่สัตว์ที่เราเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านอีกต่อไป แต่มันคือลูกรักที่เหล่าพ่อแม่ทาสพร้อมจะประเคนสิ่งที่ดีที่สุดให้ แต่คำถามสำคัญที่ นายสัตวแพทย์ จดล สุวรรณฤทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรยัล คานิน (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทิ้งท้ายไว้ให้เราขบคิดในงาน “Royal Canin Friend Journal มิตรภาพเราเจ้าสี่ขา” คือ ความรักที่เราให้ "น้อน" นั้น มาพร้อมกับความรู้ที่ถูกต้องหรือยัง?

วันนี้กรุงเทพธุรกิจจะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จของ Royal Canin (โรยัล คานิน) ผู้นำด้านโภชนาการสัตว์เลี้ยงระดับโลก ที่ไม่เพียงแค่ฉลองครบรอบ 57 ปี แต่ยังกำลังก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ Gen Z และการรับมือกับสังคมสูงวัยที่ไม่ใช่แค่คน แต่เป็น "สัตว์เลี้ยงสูงวัย" ที่กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างน่าตกใจ

ปรากฏการณ์ "แมวครองเมือง" และสังคมสัตว์เลี้ยงสูงวัย

ข้อมูลที่น่าทึ่งจากการพูดคุยกับคุณหมอจดล คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสัตว์เลี้ยงที่พลิกโฉมไปอย่างสิ้นเชิง หากย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน สัดส่วนสุนัขต่อแมวอยู่ที่ 80:20 แต่ปัจจุบัน ตลาดอาหารแมวของ Royal Canin พุ่งขึ้นไปแตะ 60 เปอร์เซ็นต์ แล้ว และคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดแมวจะขยับขึ้นไปเกือบ 45-46 เปอร์เซ็นต์ ในเร็วๆ นี้ 

สาเหตุหลักมาจากไลฟ์สไตล์คนเมืองที่อาศัยในคอนโดมิเนียมมากขึ้น การเลี้ยงสุนัขตัวใหญ่จึงเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ในขณะที่แมวตอบโจทย์พื้นที่จำกัดได้ดีกว่า ข้อมูลยังระบุชัดว่าอัตราการเกิดของลูกสุนัขลดลงเหลือเพียง 2 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ลูกแมวยังคงเติบโตอยู่ที่ 4-5 เปอร์เซ็นต์ 

แต่นอกจากเทรนด์ "ทาสแมว" แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เจ้าของต้องตระหนักคือ "สังคมสัตว์เลี้ยงสูงวัย" (Aging Pet Society)

"ปัจจุบันประชากรสัตว์เลี้ยงสูงวัย (7 ปีขึ้นไป) คิดเป็นประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรสัตว์เลี้ยงทั้งหมดในประเทศไทย"

หมอจดลชี้ให้เห็นว่า สัตว์เลี้ยงก็เหมือนคน ที่อายุยืนขึ้นด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์และการเลี้ยงดูที่ดีขึ้น ทำให้ปีนี้สินค้ากลุ่ม "Aging" (สำหรับสัตว์เลี้ยงอายุ 7 ปีขึ้นไป) และ "Super Senior" (11 ปีขึ้นไป) มียอดขายเติบโตอย่างน่าสนใจ นี่คือสัญญาณเตือนให้เจ้าของต้องหันมาใส่ใจเรื่องโภชนาการตามช่วงวัยอย่างเคร่งครัด เพราะหมาแมวแก่ต้องการสารอาหารที่ย่อยง่ายและดูแลระบบอวัยวะภายในที่เสื่อมถอย ไม่ต่างจากผู้สูงอายุ

"แค่รักไม่พอ" บทเรียนราคาแพงที่แก้ได้ด้วยความรู้

ไฮไลต์สำคัญที่สุดของการพูดคุยครั้งนี้ ไม่ใช่ตัวเลขทางธุรกิจ แต่คือ "หัวใจ" ของคนเป็นหมอและคนรักสัตว์ หมอจดลเล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังถึงความเจ็บปวดเมื่อเห็นคลิปใน TikTok ที่เจ้าของต้องพาน้องแมวไปสวนท่อปัสสาวะเพราะ "ฉี่ไม่ออก" จากโรคนิ่ว 

"ผมทรมานใจมากเลย ส่วนใหญ่ที่เป็นนิ่ว เพราะสัดส่วนของโปรตีนที่ให้กินในอาหารมันไม่บาลานซ์ ก็เลยเกิดการสะสม ถ้าเขารู้ตั้งแต่แรกแล้วกินให้ถูกต้อง จะลดโอกาสของการเป็นนิ่วของแมว แมวก็ไม่ทรมาน"

คำพูดนี้สะท้อนปรัชญาการทำงานของ Royal Canin ได้ชัดเจนที่สุด คือ "รักและเลี้ยงอย่างถูกต้อง"

หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าการให้ "ตับไก่ปิ้ง" หรืออาหารคน คือการมอบความรักและความอร่อยให้น้อง แต่หารู้ไม่ว่าตับมีฟอสฟอรัสสูง นำไปสู่โรคไตและนิ่วในระยะยาว ดังนั้น ความรักจึงต้องมาคู่กับความรู้ เจ้าของจำเป็นต้องศึกษาว่าสัตว์เลี้ยงแต่ละช่วงวัย แต่ละสายพันธุ์ ต้องการโภชนาการแบบไหน

และนี่คือเหตุผลที่ในปีหน้า Royal Canin จะมุ่งเน้นสินค้ากลุ่ม Veterinary Diet หรืออาหารประกอบการรักษาโรคมากขึ้นกว่า 12 รายการ เพื่อเป็นเครื่องมือให้สัตวแพทย์ใช้ร่วมกับการรักษา เพราะอาหารที่ถูกต้องคือยาขนานเอกที่จะช่วยยืดอายุขัยให้น้องๆ อยู่กับเราไปได้นานที่สุด

ธุรกิจโตสวนกระแสเศรษฐกิจ ความผูกพันที่ประเมินค่าไม่ได้

ในมุมมองทางธุรกิจ แม้เศรษฐกิจภาพรวมจะดูซบเซา แต่ตลาดสัตว์เลี้ยงกลับแข็งแกร่งดั่งหินผา หมอจดลเปิดเผยตัวเลขที่น่าประทับใจว่า Royal Canin คาดการณ์การเติบโตปีนี้ไว้ที่ 10-11 เปอร์เซ็นต์ ด้วยรายได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท ในขณะที่ตลาดรวมอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตได้ 4-4.5 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าราว 50,000 ล้านบาท 

ตัวเลขเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่า สำหรับคนรักสัตว์แล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น "ลูกต้องอิ่มและสุขภาพดีก่อนเสมอ" การลงทุนกับอาหารคุณภาพดีจึงไม่ใช่เรื่องสิ้นเปลือง แต่เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพระยะยาว ลดค่ารักษาพยาบาลที่อาจบานปลายในอนาคต

เมื่อ Gen Z คือจุดเปลี่ยน จาก "พรีเซนเตอร์" สู่ "เพื่อนรู้ใจ"

หากใครเดินผ่าน Sphere Gallery 2 ที่ Emsphere เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จะสัมผัสได้ถึงพลังงานความสดใสที่แตกต่างไปจากเดิม งานนี้ Royal Canin มาพร้อมกลยุทธ์ที่เฉียบคมเพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนเกือบ 25 เปอร์เซ็นต์ ของเจ้าของสัตว์เลี้ยงในประเทศไทย 

หมอจดลเผยเบื้องหลังแนวคิด "Friends of Royal Canin" ที่ดึงเอาสองหนุ่มฮอต สกาย-วงศ์รวี นทีธร และ นานิ-หิรัญกฤษฎิ์ ช่างคำ มาร่วมทีม ว่านี่ไม่ใช่การจ้างพรีเซนเตอร์มายืนถือสินค้าแล้วจบไป แต่คือการหาคนที่เป็น "ตัวแทน" ของคนรักสัตว์จริงๆ

"เราอยากเข้าถึงกลุ่มคนเลี้ยงน้องหมาน้องแมวที่เป็น Gen Z เราคิดว่าต้องมีตัวช่วยคือหาคนที่ Gen Z รู้จักและนิยม ก็เลยเอาคุณสกายกับคุณนานิมา ซึ่งต้องบอกว่าได้ผลอย่างที่ต้องการ" หมอจดลกล่าว

ความน่าสนใจคือ Royal Canin มองว่าคำว่า "Friend" นั้นยั่งยืนและจริงใจกว่า "พรีเซนเตอร์" เพราะ Gen Z ต้องการความเรียล และความเป็นเพื่อนที่คุยกันได้ แชร์ประสบการณ์กันได้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือยอด Engagement บนโลกโซเชียลที่พุ่งทะยานแบบก้าวกระโดดหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ สะท้อนให้เห็นว่า แบรนด์ที่เข้าใจภาษาของคนรุ่นใหม่ คือแบรนด์ที่จะชนะใจในยุคนี้

นอกจากนี้ หมอจดลได้แชร์เรื่องราวส่วนตัวถึง "หวาหวา" สุนัขชิวาว่าวัย 7 ขวบ ลูกรักที่บ้าน ที่มักจะมารอรับหน้าประตูเสมอเวลาเขากลับบ้าน เรื่องราวน่ารักๆ นี้ย้ำเตือนเราว่า เบื้องหลังตำแหน่งผู้บริหาร คือทาสหมาคนหนึ่งที่เข้าใจหัวอกคนเลี้ยงสัตว์เป็นอย่างดี

"น้องหมาน้องแมวเขาพูดไม่ได้ เราให้ความรักจากการดูแลเอาใจใส่ แต่การเลี้ยงอยากให้ศึกษาข้อมูล รักอย่างเดียวแต่เลี้ยงแบบไม่ถูกต้อง มันไม่พอ"

Royal Canin ในวันนี้วางตัวให้ตัวเองเป็นมากกว่าแบรนด์อาหารสัตว์ แต่เป็นเสมือน "พาร์ทเนอร์ทางความรู้" ที่พยายามสร้างโลกที่ดีกว่า (A Better World for Pets) ผ่านนวัตกรรม วิทยาศาสตร์ และความเข้าใจ เพื่อให้ทุกมื้ออาหารที่เราเทให้ คือการบอกรักที่ถูกต้องและยั่งยืนที่สุด