ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

เปิดคู่มือ มัทฉะ 101 กระแสมัทฉะฟีเวอร์เริ่มจากเทรนด์รักสุขภาพ ถือเป็นเครื่องดื่มทางเลือกแทนกาแฟ ดื่มแล้วใจไม่สั่น มีหลายเกรด ปัจจุบันราคาพุ่งสูงจากภาวะขาดตลาด
KEY
POINTS
- มัทฉะ 101 รู้ความแตกต่างจากชาเขียวทั่วไป ทั้งวิธีการปลูก การดูแล เก็บเกี่ยว ไปจนถึงการบดใบชา ทำให้มีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ามาก
- กระแสมัทฉะฟีเวอร์เกิดจากเทรนด์รักสุขภาพ โดยมัทฉะเป็นทางเลือกแทนกาแฟที่ให้คาเฟอีนพร้อมสารแอล-ธีอะนีน ช่วยให้ตื่นตัวอย่างมีสมาธิและยาวนานกว่าโดยไม่ใจสั่น
- มัทฉะมีหลายเกรดคุณภาพ ตั้งแต่เกรดทำอาหาร (Culinary) ไปจนถึงเกรดพิธีชงชา (Ceremonial) ซึ่งมีราคาแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันราคาพุ่งสูงขึ้นจากภาวะขาดตลาดทั่วโลก
- วิธีชงมัทฉะให้ถูกวิธีเพื่อดึงรสชาติออกมาได้ดีที่สุด จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสม ส่วนขั้นตอนคร่าวๆ คือใช้ผงชา 1-2 กรัม ใส่น้ำร้อนอุณหภูมิ 70-80°C แล้วใช้แปรงไม้ไผ่ (ชาเซ็น) ตีเร็วๆ เป็นรูปตัว W หรือ M จนเกิดฟองละเอียด
ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น เครื่องดื่มสีเขียวสดอย่าง "มัทฉะ" กำลังสร้างปรากฏการณ์ "มัทฉะฟีเวอร์" เขย่าตลาดทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิด แต่ยังรวมถึงทั่วโลกและประเทศไทย มัทฉะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ อะไรคือเบื้องหลังความนิยมนี้ และมัทฉะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปอย่างไร และราคาผงมัทฉะตอนนี้พุ่งแรงแค่ไหน
กรุงเทพธุรกิจ ชวนเจาะลึกทุกแง่มุมของสุดยอดเครื่องดื่มชาจากแดนอาทิตย์อุทัย ที่ถือเป็นแก้วโปรดของใครหลายคน
มัทฉะ VS ชาเขียวใส ไม่เหมือนกัน! เช็กข้อแตกต่าง
มัทฉะ (Matcha) คือผงชาเขียวบดละเอียดที่ผลิตจากใบชาสายพันธุ์ Camellia sinensis ชนิด "เท็นฉะ (Tencha)" ซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกับที่ใช้ผลิตชาเขียวทั่วไปและชาดำ แต่สิ่งที่ทำให้มัทฉะพิเศษและแตกต่างอย่างชัดเจนคือ "กรรมวิธีการผลิตที่ซับซ้อนและพิถีพิถัน" ตั้งแต่การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว การนึ่ง การอบแห้ง ไปจนถึงการบดละเอียดจนเหมือนผงแป้ง
การเพาะปลูก: ต้นชาสำหรับทำมัทฉะจะถูกคลุมด้วยผ้าใบกันแดดโดยตรงประมาณ 3-4 สัปดาห์ (หรือ 20-30 วัน) ก่อนการเก็บเกี่ยว การคลุมนี้ช่วยกระตุ้นให้ใบชาผลิตคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน L-theanine มากขึ้น พร้อมลดสารคาเทชินที่ทำให้ขม ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้มกว่าใบชาเขียวปกติที่ปลูกและดูแลแบบอื่น
กรรมวิธีการผลิต: หลังจากเก็บเกี่ยว ยอดใบชาจะถูกนำไปนึ่งและอบแห้งทันทีโดยไม่ผ่านการนวดหรือม้วน จากนั้นจะคัดแยกก้านและเส้นใยออกให้เหลือแต่ใบชาแห้ง (Tencha) แล้วนำไปบดด้วยโม่หินหรือเครื่องบดชาให้ละเอียดในระดับ 5-10 ไมครอน การบดด้วยโม่หินแบบดั้งเดิม 40 กรัม อาจใช้เวลานานถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อป้องกันความร้อนที่จะทำลายคุณภาพชา
การบริโภค: เราดื่มมัทฉะในรูปแบบ ผงละเอียดทั้งใบ ที่ละลายในน้ำได้ ซึ่งหมายถึงการบริโภคสารอาหารทั้งหมดที่อยู่ในใบชา ในขณะที่ชาเขียวใสเป็นการชงใบชาแห้งแล้วกรองกากออก ด้วยเหตุนี้ มัทฉะจึงให้สารอาหารสูงกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 5-10 เท่า และมีสารต้านอนุมูลอิสระ (คาเทชิน) สูงกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 137 เท่า
รสชาติและกลิ่น: มัทฉะมีรสชาติเข้มข้น ขม (แต่หลายเกรดจะนุ่มและมีรสอูมามิ) มีบอดี้แน่น และมีกลิ่นหอมนวลเป็นเอกลักษณ์ ส่วนชาเขียวทั่วไปจะมีรสฝาดเล็กน้อยและกลิ่นหอมอ่อนๆ
ราคา: มัทฉะมีราคาสูงกว่าชาเขียวแบบอื่นๆ อย่างมาก
ทำไมมัทฉะยังฮิตติดลมบนไม่หยุด เทรนด์ดื่มชาเขียวมาจากไหน?
กระแส "มัทฉะฟีเวอร์" ในช่วงสองสามปีมานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากปัจจัยหลายประการ หลักๆ คือมาจาก "กระแสรักสุขภาพ" ของคนยุคใหม่ มัทฉะถูกยกให้เป็น "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลและ Gen Z มองหาสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และมัทฉะตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี
อีกทั้งอิทธิพลของโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ ที่ต่างก็ทำคอนเทนต์ตอกย้ำภาพว่าเครื่องดื่มมัทฉะคือสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยและใส่ใจสุขภาพ ใครไม่ดื่มเท่ากับตกขบวน ซึ่งก็ยิ่งกระตุ้นให้กระแสการดื่มมัทฉะยิ่งแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว โดยอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่เมนูและไลฟ์สไตล์การดื่มมัทฉะ
บวกกับมัทฉะมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นหัวใจสำคัญของพิธีชงชาญี่ปุ่น เมื่อวัฒนธรรมนี้แพร่หลายสู่สากล ก็มีการนำมัทฉะไปสร้างสรรค์เป็นเมนูขนม อาหาร และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งมัทฉะลาเต้ เค้ก ไอศกรีม และแม้แต่เครื่องสำอาง ยิ่งทำให้เกิดการรับรู้และเห็นภาพมัทฉะแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันทั่วไปมากขึ้น
อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ช่วงที่ผ่านมาเงินเยนอ่อนค่าลง ทำให้การเดินทางไปญี่ปุ่นและการซื้อมัทฉะคุ้มค่ามากขึ้น นักท่องเที่ยวจึงแห่ซื้อผงมัทฉะกลับมาเป็นของฝากเป็นจำนวนมาก เมื่อคนดื่มกันเยอะขึ้น ก็มองหาช่องทางการซื้อเยอะตามไปด้วย กระแสมัทฉะก็ฮิตติดลมบนมาเรื่อยๆ
มัทฉะ VS กาแฟ ดื่มแล้วได้คาเฟอีนเท่ากันไหม เมนูไหนดีกว่า?
ในแง่ของสุขภาพ เครื่องดื่มมัทฉะถือว่าเป็นทางเลือกแทนกาแฟ เนื่องจากมัทฉะมีคาเฟอีนที่ช่วยให้ตื่นตัว แต่มาพร้อมกับ L-theanine ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย มีสมาธิ และได้รับพลังงาน ความตื่นตัว ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่ากาแฟ โดยไม่มีอาการใจสั่น อีกทั้งไม่มีอาการเมาคาเฟอีน หรือถอนคาเฟอีน ซึ่งมักพบได้บ่อยในผู้ที่ติดกาแฟ
แม้ทั้งมัทฉะและกาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนช่วยให้ตื่นตัว แต่มีปริมาณและการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เริ่มจาก "กาแฟ" (8 ออนซ์/240 มล.) มีปริมาณคาเฟอีนสูง ประมาณ 95-120 มิลลิกรัม (อาจสูงถึง 150-200 มก.ในแก้วใหญ่) ว่ากันว่าช่วยเรื่องระบบเผาผลาญได้ดีขึ้น
เมื่อดื่มกาแฟแล้วร่างกายจะดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปอย่างรวดเร็วภายใน 15-45 นาที และระยะเวลาออกฤทธิ์คาเฟอีนจะสั้น ประมาณ 2-3 ชั่วโมง นอกจากนี้ การดื่มกาแฟเป็นประจำ มักจะพบผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น กระวนกระวาย ปวดหัว และอาจเกิดอาการ "ถอนคาเฟอีน"
ส่วน "มัทฉะ" (2 ออนซ์/60 มล. หรือ 2 กรัม) มีปริมาณคาเฟอีนต่ำกว่ากาแฟ คืออยู่ที่ ประมาณ 30-88 มิลลิกรัม (ขึ้นอยู่กับเกรดและปริมาณ) เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว ร่างกายจะดูดซึมคาเฟอีนได้ช้ากว่า เพราะมี L-theanine ช่วยควบคุม ฤทธิ์ของคาเฟอีนในมัทฉะจะไม่พุ่งพรวดและลดพรวดทันที ร่างกายและสมองจะสดชื่นตื่นตัวได้ยาวนานกว่า ประมาณ 4-6 ชั่วโมง
อีกทั้ง แม้จะดื่มชาเขียวเป็นประจำ ก็จะไม่มีผลข้างเคียงชัดเจน ไม่ถอนคาเฟอีน แถมยังอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหาร และยังมีประโยชน์เพิ่มเติม คือ เพิ่มสมาธิ ลดความเครียด ช่วยให้ผ่อนคลาย
อย่างไรก็ตาม ปริมาณคาเฟอีนสูงสุดที่แนะนำต่อวัน คือไม่เกิน 400 มิลลิกรัมสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน
มัทฉะ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอะไรอีกบ้าง?
มัทฉะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มที่อร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น "สารต้านอนุมูลอิสระสูง" มีสารโพลีฟีนอล, แอล-ธีอะนีน และคาเทชิน (โดยเฉพาะ EGCG) ซึ่งมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ สาร EGCG มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามิน E ถึง 20 เท่า และยังพบวิจัยบางชิ้นชี้ว่า มัทฉะมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
นอกจากนี้ คาเฟอีนในมัทฉะจะทำงานร่วมกับแอล-ธีอะนีน จึงช่วยให้ "ร่างกายตื่นตัวและมีสมาธิ" ผ่อนคลาย ลดความเครียดและความวิตกกังวล เสริมสร้างสมาธิและความจำ อีกทั้งยัง "ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด" ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต ป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว
รวมไปถึงช่วย "เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน" เนื่องจากในมัทฉะมีวิตามิน B, C, E, โพลีฟีนอล, แอล-ธีอะนีน และคาเทชิน ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและไขมัน ลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาล รวมถึงลดความอยากอาหาร
มัทฉะช่วยบำรุงผิวพรรณและชะลอวัย โดยมีคลอโรฟิลล์และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ขับสารพิษ ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ไม่เพียงเท่านั้น การดื่มมัทฉะยังดีต่อสุขภาพช่องปาก เนื่องจากมีสาร EGCG ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ป้องกันฟันผุ ลดคราบพลัค และลดกลิ่นปาก และการที่มีคลอโรฟิลล์ (สารที่ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกาย) ปริมาณสูง จึงมีส่วนช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย
ข้อควรระวัง: แม้มัทฉะจะมีประโยชน์ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ (แนะนำ 1-2 ถ้วยต่อวัน) หลีกเลี่ยงการดื่มก่อนนอน 4-6 ชั่วโมง และสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน ควรปรึกษาแพทย์
วิธีชงชามัทฉะแบบดั้งเดิมให้ถูกต้อง (Usucha)
การชงมัทฉะที่ดีคือศิลปะที่ต้องอาศัยอุปกรณ์และเทคนิคที่เหมาะสม เพื่อดึงรสชาติและกลิ่นหอมออกมาได้อย่างเต็มที่ เริ่มจากต้องมีอุปกรณ์ที่จำเป็น ได้แก่
- ชาวัน (Chawan): ถ้วยชงชาขนาดใหญ่ที่มีปากกว้าง
- ชาเซ็น (Chasen): แปรงตีชาไม้ไผ่ (ควรมี 80-120 ซี่ เพื่อการตีฟองที่ดี)
- ชาชาคุ (Chashaku): ช้อนไม้ไผ่สำหรับตักผงมัทฉะ
- ตะแกรงร่อนผง (Sieve): เพื่อกรองผงชาให้ละเอียด ไม่เกาะเป็นก้อน
ส่วนน้ำร้อนที่ใช้ชงมัทฉะ ต้องเป็นน้ำที่อุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส (ไม่ควรใช้น้ำเดือด เพราะจะทำให้ขมและฝาด) ควรใช้น้ำที่ผ่านการกรอง (RO) เพื่อรสชาติที่บริสุทธิ์
ถัดมา ขั้นตอนการชงแบบ Usucha (มัทฉะบาง) สำหรับดื่มทั่วไป เริ่มจาก อุ่นชาวันด้วยน้ำร้อนเล็กน้อยแล้วเทออก เช็ดให้แห้ง ถัดมาให้ตักผงมัทฉะประมาณ 1-2 กรัม (1 ช้อนชา) ลงตะแกรงแล้วร่อนผงชาลงในถ้วยที่อุ่นไว้ จากนั้นเทน้ำร้อนอุณหภูมิ 70-80°C ลงไปเล็กน้อยก่อน (ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ) ใช้ชาเซ็นคนเบาๆ ให้ผงชาเปียกและละลายเป็นเพสต์ข้น เพื่อป้องกันการเกิดก้อน
จากนั้นค่อยๆ เทน้ำร้อนส่วนที่เหลือ ประมาณ 60-70 มิลลิลิตรเติมลงไป ถัดมา ให้จับชาเซ็นในแนวตั้ง ใช้ข้อมือตีอย่างรวดเร็วเป็นรูปตัว "W" หรือ "M" (ไม่ใช่การคนเป็นวงกลม) ตีจนกระทั่งเกิดฟองละเอียดสีขาวนวลขึ้นบนผิวหน้า (ประมาณ 1-2 นาที) เสร็จแล้วเสิร์ฟทันที ควรดื่มขณะร้อนเพื่อรสชาติที่ดีที่สุด
ส่วนการชงแบบ Koicha (มัทฉะข้น) สำหรับพิธีชงชา ให้ใช้ผงมัทฉะ 3-4 กรัม ต่อน้ำร้อน 30-40 มิลลิลิตร คนช้าๆ เป็นวงกลม ไม่เน้นการสร้างฟอง ให้ได้เนื้อชาที่ข้นเนียนคล้ายน้ำผึ้ง ต้องใช้มัทฉะเกรดพิธีชงชาคุณภาพสูงเท่านั้น
มูลค่าตลาดมัทฉะ และราคาผงมัทฉะล่าสุด 2025
ตลาดมัทฉะทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2023 มูลค่าตลาดมัทฉะทั่วโลกถูกประเมินไว้ที่ 128,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตไปถึง 1,540.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 55,000 ล้านบาท) ภายในปี 2032
โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 9.1% ตั้งแต่ปี 2025-2032 บางรายงานคาดการณ์ว่าอาจสูงถึง 173,000 ล้านบาทภายในปี 2028 หรือ 5 พันล้านดอลลาร์ภายในปีเดียวกัน
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 45.7% โดยมีประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำ (28.4%) และมัทฉะเกรดสำหรับการทำอาหาร (Culinary Grade) มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดถึง 54.3%
สำหรับราคามัทฉะอัปเดตล่าสุด (ปี 2025) พบว่า ผงมัทฉะเกรดทั่วไป (Culinary Grade) ราคาอยู่ที่ประมาณ 150-350 บาทต่อ 100 กรัม ส่วนมัทฉะเกรดพรีเมียม (Premium Grade) ประมาณ 700-2,700 บาทต่อ 100 กรัม (ขึ้นอยู่กับแหล่งปลูกและการผลิต)
ขณะที่ มัทฉะเกรดพิธีชงชา (Ceremonial Grade): คุณภาพสูงสุด ราคาสูงกว่าเกรดพรีเมียมมากที่สุด ราคาขึ้นอยู่กับแหล่งปลูกและแหล่งผลิตเช่นกัน เหมาะสำหรับชงดื่มแบบดั้งเดิม ข้อมูลจากร้านค้าปลีกหลายรายบอกว่า ราคามัทฉะเพิ่มขึ้นสองเท่าในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดรีเซล (resale) พบว่าผงมัทฉะเกรดพิธีชงชาบางยี่ห้อที่ราคาขายปลีกในญี่ปุ่นประมาณ 250 บาท กลับถูกขายในไทยสูงถึง 1,100-1,200 บาท หรือคิดเป็นกำไรถึง 340%
วิกฤติ "มัทฉะขาดตลาด" เกิดจากอะไร?
ในช่วงที่ผ่านมา มัทฉะคุณภาพดี โดยเฉพาะเกรดพิธีชงชา เกิดประสบปัญหา "ขาดตลาด" ทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากความต้องการพุ่งสูงเกินคาด (Excess Demand) จากกระแส "มัทฉะฟีเวอร์" ทั่วโลก ผู้คนหันมาดื่มมัทฉะเพื่อสุขภาพและเป็นทางเลือกแทนกาแฟ ผลักดันให้ผู้บริโภคต้องการซื้อมัทฉะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เช่น ในประเทศไทย ณ ปี 2024 มียอดสั่งซื้อเครื่องดื่มมัทฉะผ่าน LINE MAN Wongnai สูงถึง 5 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 78% จากปีก่อนหน้า
ขณะที่กำลังการผลิตมัทฉะที่มีอยู่อย่างจำกัด (Deficient Supply) เนื่องจากมีกรรมวิธีที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน เช่น การผลิตใบชา Tencha (วัตถุดิบหลัก) ต้องใช้เวลาในการปลูกนานถึง 5 ปี กว่าจะเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ และการเก็บเกี่ยวครั้งถัดๆ ไปก็จำกัด ทำให้ปริมาณที่ผลิตได้มีน้อย โดยเฉพาะหลังสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว อีกทั้งต้องผ่านกระบวนการคลุมแสงที่พิถีพิถัน
โดยฟาร์มมัทฉะในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ มักเป็นกิจการขนาดเล็กแบบครอบครัวที่ยังคงใช้วิธีการผลิตแบบดั้งเดิม (เช่น โม่หิน) ทำให้มีกำลังการผลิตต่ำ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวและแปรรูป รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทุกวันนี้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย บางครั้งเกิดโรคพืช จึงส่งผลให้ผลผลิตใบชาลดลง
ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานนี้ ทำให้ผงมัทฉะคุณภาพดีกลายเป็นสินค้าหายาก เกิดการจำกัดการซื้อ และมีราคาพุ่งสูงขึ้นในตลาด อย่างไรก็ตาม แม้วิกฤตินี้จะสร้างความท้าทาย แต่ก็เปิดโอกาสมหาศาลให้กับแบรนด์มัทฉะต่างๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ
โดยสรุปพูดได้ว่า "มัทฉะ" ไม่ใช่แค่ชาเขียว แต่เป็นเครื่องดื่มที่หลอมรวมประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สุขภาพ และไลฟ์สไตล์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แม้จะมีราคาที่สูงและบางครั้งหายาก แต่คุณประโยชน์และประสบการณ์ที่ได้รับก็คุ้มค่าที่จะลองเปิดใจ สัมผัสโลกอันน่าหลงใหลของเครื่องดื่มมัทฉะทุกแก้วที่ถูกเสิร์ฟออกไปสู่คนรักชา
อ้างอิง: bluemochathailand, siamcoolermart, tiedaeng, baristabuddy,
missicecream, pptvhd36, chaodoi, lovefitt, futuremarketreport, bangkokbiznews, momomatcha, bluekoff, marketeeronline, matchaumami, hillkoff, baramiocoffee







