ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

เปิดคู่มือ มัทฉะ 101 กระแสมัทฉะฟีเวอร์เริ่มจากเทรนด์รักสุขภาพ ถือเป็นเครื่องดื่มทางเลือกแทนกาแฟ ดื่มแล้วใจไม่สั่น มีหลายเกรด ปัจจุบันราคาพุ่งสูงจากภาวะขาดตลาด

KEY

POINTS

  • มัทฉะ 101 รู้ความแตกต่างจากชาเขียวทั่วไป ทั้งวิธีการปลูก การดูแล เก็บเกี่ยว ไปจนถึงการบดใบชา ทำให้มีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่ามาก
  • กระแสมัทฉะฟีเวอร์เกิดจากเทรนด์รักสุขภาพ โดยมัทฉะเป็นทางเลือกแทนกาแฟที่ให้คาเฟอีนพร้อมสารแอล-ธีอะนีน ช่วยให้ตื่นตัวอย่างมีสมาธิและยาวนานกว่าโดยไม่ใจสั่น
  • มัทฉะมีหลายเกรดคุณภาพ ตั้งแต่เกรดทำอาหาร (Culinary) ไปจนถึงเกรดพิธีชงชา (Ceremonial) ซึ่งมีราคาแตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยปัจจุบันราคาพุ่งสูงขึ้นจากภาวะขาดตลาดทั่วโลก
  • วิธีชงมัทฉะให้ถูกวิธีเพื่อดึงรสชาติออกมาได้ดีที่สุด จำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสม ส่วนขั้นตอนคร่าวๆ คือใช้ผงชา 1-2 กรัม ใส่น้ำร้อนอุณหภูมิ 70-80°C แล้วใช้แปรงไม้ไผ่ (ชาเซ็น) ตีเร็วๆ เป็นรูปตัว W หรือ M จนเกิดฟองละเอียด

ในยุคที่ผู้คนหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น เครื่องดื่มสีเขียวสดอย่าง "มัทฉะ" กำลังสร้างปรากฏการณ์ "มัทฉะฟีเวอร์" เขย่าตลาดทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นที่เป็นต้นกำเนิด แต่ยังรวมถึงทั่วโลกและประเทศไทย มัทฉะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ อะไรคือเบื้องหลังความนิยมนี้ และมัทฉะแตกต่างจากชาเขียวทั่วไปอย่างไร และราคาผงมัทฉะตอนนี้พุ่งแรงแค่ไหน 

กรุงเทพธุรกิจ ชวนเจาะลึกทุกแง่มุมของสุดยอดเครื่องดื่มชาจากแดนอาทิตย์อุทัย ที่ถือเป็นแก้วโปรดของใครหลายคน

มัทฉะ VS ชาเขียวใส ไม่เหมือนกัน! เช็กข้อแตกต่าง

มัทฉะ (Matcha) คือผงชาเขียวบดละเอียดที่ผลิตจากใบชาสายพันธุ์ Camellia sinensis ชนิด "เท็นฉะ (Tencha)" ซึ่งเป็นพืชชนิดเดียวกับที่ใช้ผลิตชาเขียวทั่วไปและชาดำ แต่สิ่งที่ทำให้มัทฉะพิเศษและแตกต่างอย่างชัดเจนคือ "กรรมวิธีการผลิตที่ซับซ้อนและพิถีพิถัน" ตั้งแต่การปลูก การดูแล การเก็บเกี่ยว การนึ่ง การอบแห้ง ไปจนถึงการบดละเอียดจนเหมือนผงแป้ง

การเพาะปลูก: ต้นชาสำหรับทำมัทฉะจะถูกคลุมด้วยผ้าใบกันแดดโดยตรงประมาณ 3-4 สัปดาห์ (หรือ 20-30 วัน) ก่อนการเก็บเกี่ยว การคลุมนี้ช่วยกระตุ้นให้ใบชาผลิตคลอโรฟิลล์และกรดอะมิโน L-theanine มากขึ้น พร้อมลดสารคาเทชินที่ทำให้ขม ทำให้ใบชามีสีเขียวเข้มกว่าใบชาเขียวปกติที่ปลูกและดูแลแบบอื่น

ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

กรรมวิธีการผลิต: หลังจากเก็บเกี่ยว ยอดใบชาจะถูกนำไปนึ่งและอบแห้งทันทีโดยไม่ผ่านการนวดหรือม้วน จากนั้นจะคัดแยกก้านและเส้นใยออกให้เหลือแต่ใบชาแห้ง (Tencha) แล้วนำไปบดด้วยโม่หินหรือเครื่องบดชาให้ละเอียดในระดับ 5-10 ไมครอน การบดด้วยโม่หินแบบดั้งเดิม 40 กรัม อาจใช้เวลานานถึงหนึ่งชั่วโมง เพื่อป้องกันความร้อนที่จะทำลายคุณภาพชา

การบริโภค: เราดื่มมัทฉะในรูปแบบ ผงละเอียดทั้งใบ ที่ละลายในน้ำได้ ซึ่งหมายถึงการบริโภคสารอาหารทั้งหมดที่อยู่ในใบชา ในขณะที่ชาเขียวใสเป็นการชงใบชาแห้งแล้วกรองกากออก ด้วยเหตุนี้ มัทฉะจึงให้สารอาหารสูงกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 5-10 เท่า และมีสารต้านอนุมูลอิสระ (คาเทชิน) สูงกว่าชาเขียวทั่วไปถึง 137 เท่า

รสชาติและกลิ่น: มัทฉะมีรสชาติเข้มข้น ขม (แต่หลายเกรดจะนุ่มและมีรสอูมามิ) มีบอดี้แน่น และมีกลิ่นหอมนวลเป็นเอกลักษณ์ ส่วนชาเขียวทั่วไปจะมีรสฝาดเล็กน้อยและกลิ่นหอมอ่อนๆ 

ราคา: มัทฉะมีราคาสูงกว่าชาเขียวแบบอื่นๆ อย่างมาก

ทำไมมัทฉะยังฮิตติดลมบนไม่หยุด เทรนด์ดื่มชาเขียวมาจากไหน?

กระแส "มัทฉะฟีเวอร์" ในช่วงสองสามปีมานี้ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากปัจจัยหลายประการ หลักๆ คือมาจาก "กระแสรักสุขภาพ" ของคนยุคใหม่ มัทฉะถูกยกให้เป็น "ซูเปอร์ฟู้ด" ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียลและ Gen Z มองหาสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และมัทฉะตอบโจทย์นี้ได้เป็นอย่างดี

อีกทั้งอิทธิพลของโซเชียลมีเดียและอินฟลูเอนเซอร์ ที่ต่างก็ทำคอนเทนต์ตอกย้ำภาพว่าเครื่องดื่มมัทฉะคือสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัยและใส่ใจสุขภาพ ใครไม่ดื่มเท่ากับตกขบวน ซึ่งก็ยิ่งกระตุ้นให้กระแสการดื่มมัทฉะยิ่งแพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว โดยอินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่เมนูและไลฟ์สไตล์การดื่มมัทฉะ 

บวกกับมัทฉะมีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นหัวใจสำคัญของพิธีชงชาญี่ปุ่น เมื่อวัฒนธรรมนี้แพร่หลายสู่สากล ก็มีการนำมัทฉะไปสร้างสรรค์เป็นเมนูขนม อาหาร และผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ทั้งมัทฉะลาเต้ เค้ก ไอศกรีม และแม้แต่เครื่องสำอาง ยิ่งทำให้เกิดการรับรู้และเห็นภาพมัทฉะแทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันทั่วไปมากขึ้น

ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ช่วงที่ผ่านมาเงินเยนอ่อนค่าลง ทำให้การเดินทางไปญี่ปุ่นและการซื้อมัทฉะคุ้มค่ามากขึ้น นักท่องเที่ยวจึงแห่ซื้อผงมัทฉะกลับมาเป็นของฝากเป็นจำนวนมาก เมื่อคนดื่มกันเยอะขึ้น ก็มองหาช่องทางการซื้อเยอะตามไปด้วย กระแสมัทฉะก็ฮิตติดลมบนมาเรื่อยๆ 

มัทฉะ VS กาแฟ ดื่มแล้วได้คาเฟอีนเท่ากันไหม เมนูไหนดีกว่า?

ในแง่ของสุขภาพ เครื่องดื่มมัทฉะถือว่าเป็นทางเลือกแทนกาแฟ เนื่องจากมัทฉะมีคาเฟอีนที่ช่วยให้ตื่นตัว แต่มาพร้อมกับ L-theanine ที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย มีสมาธิ และได้รับพลังงาน ความตื่นตัว ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่ากาแฟ โดยไม่มีอาการใจสั่น อีกทั้งไม่มีอาการเมาคาเฟอีน หรือถอนคาเฟอีน ซึ่งมักพบได้บ่อยในผู้ที่ติดกาแฟ 

แม้ทั้งมัทฉะและกาแฟจะเป็นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนช่วยให้ตื่นตัว แต่มีปริมาณและการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เริ่มจาก "กาแฟ" (8 ออนซ์/240 มล.) มีปริมาณคาเฟอีนสูง ประมาณ 95-120 มิลลิกรัม (อาจสูงถึง 150-200 มก.ในแก้วใหญ่) ว่ากันว่าช่วยเรื่องระบบเผาผลาญได้ดีขึ้น

เมื่อดื่มกาแฟแล้วร่างกายจะดูดซึมคาเฟอีนเข้าไปอย่างรวดเร็วภายใน 15-45 นาที และระยะเวลาออกฤทธิ์คาเฟอีนจะสั้น ประมาณ 2-3 ชั่วโมง นอกจากนี้ การดื่มกาแฟเป็นประจำ มักจะพบผลข้างเคียง เช่น ใจสั่น กระวนกระวาย ปวดหัว และอาจเกิดอาการ "ถอนคาเฟอีน" 

ส่วน "มัทฉะ" (2 ออนซ์/60 มล. หรือ 2 กรัม) มีปริมาณคาเฟอีนต่ำกว่ากาแฟ คืออยู่ที่ ประมาณ 30-88 มิลลิกรัม (ขึ้นอยู่กับเกรดและปริมาณ) เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว ร่างกายจะดูดซึมคาเฟอีนได้ช้ากว่า เพราะมี L-theanine ช่วยควบคุม ฤทธิ์ของคาเฟอีนในมัทฉะจะไม่พุ่งพรวดและลดพรวดทันที ร่างกายและสมองจะสดชื่นตื่นตัวได้ยาวนานกว่า ประมาณ 4-6 ชั่วโมง

อีกทั้ง แม้จะดื่มชาเขียวเป็นประจำ ก็จะไม่มีผลข้างเคียงชัดเจน ไม่ถอนคาเฟอีน แถมยังอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหาร และยังมีประโยชน์เพิ่มเติม คือ เพิ่มสมาธิ ลดความเครียด ช่วยให้ผ่อนคลาย

อย่างไรก็ตาม ปริมาณคาเฟอีนสูงสุดที่แนะนำต่อวัน คือไม่เกิน 400 มิลลิกรัมสำหรับผู้ใหญ่ ส่วนสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน

ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

มัทฉะ มีประโยชน์ต่อสุขภาพอะไรอีกบ้าง? 

มัทฉะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องดื่มที่อร่อย แต่ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น "สารต้านอนุมูลอิสระสูง" มีสารโพลีฟีนอล, แอล-ธีอะนีน และคาเทชิน (โดยเฉพาะ EGCG) ซึ่งมีส่วนช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ สาร EGCG มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามิน E ถึง 20 เท่า และยังพบวิจัยบางชิ้นชี้ว่า มัทฉะมีส่วนช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 

นอกจากนี้ คาเฟอีนในมัทฉะจะทำงานร่วมกับแอล-ธีอะนีน จึงช่วยให้ "ร่างกายตื่นตัวและมีสมาธิ" ผ่อนคลาย ลดความเครียดและความวิตกกังวล เสริมสร้างสมาธิและความจำ อีกทั้งยัง "ดีต่อหัวใจและหลอดเลือด" ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต ป้องกันภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว

รวมไปถึงช่วย "เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน" เนื่องจากในมัทฉะมีวิตามิน B, C, E, โพลีฟีนอล, แอล-ธีอะนีน และคาเทชิน ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและไขมัน ลดการดูดซึมไขมันและน้ำตาล รวมถึงลดความอยากอาหาร

มัทฉะช่วยบำรุงผิวพรรณและชะลอวัย โดยมีคลอโรฟิลล์และสารต้านอนุมูลอิสระช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ขับสารพิษ ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ไม่เพียงเท่านั้น การดื่มมัทฉะยังดีต่อสุขภาพช่องปาก เนื่องจากมีสาร EGCG ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย ป้องกันฟันผุ ลดคราบพลัค และลดกลิ่นปาก และการที่มีคลอโรฟิลล์ (สารที่ช่วยกำจัดสารพิษในร่างกาย) ปริมาณสูง จึงมีส่วนช่วยดีท็อกซ์ร่างกาย 

ข้อควรระวัง: แม้มัทฉะจะมีประโยชน์ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ (แนะนำ 1-2 ถ้วยต่อวัน) หลีกเลี่ยงการดื่มก่อนนอน 4-6 ชั่วโมง และสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคกระเพาะหรือกรดไหลย้อน ควรปรึกษาแพทย์

ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

วิธีชงชามัทฉะแบบดั้งเดิมให้ถูกต้อง (Usucha)

การชงมัทฉะที่ดีคือศิลปะที่ต้องอาศัยอุปกรณ์และเทคนิคที่เหมาะสม เพื่อดึงรสชาติและกลิ่นหอมออกมาได้อย่างเต็มที่ เริ่มจากต้องมีอุปกรณ์ที่จำเป็น ได้แก่ 
- ชาวัน (Chawan): ถ้วยชงชาขนาดใหญ่ที่มีปากกว้าง
- ชาเซ็น (Chasen): แปรงตีชาไม้ไผ่ (ควรมี 80-120 ซี่ เพื่อการตีฟองที่ดี)
- ชาชาคุ (Chashaku): ช้อนไม้ไผ่สำหรับตักผงมัทฉะ
- ตะแกรงร่อนผง (Sieve): เพื่อกรองผงชาให้ละเอียด ไม่เกาะเป็นก้อน

ส่วนน้ำร้อนที่ใช้ชงมัทฉะ ต้องเป็นน้ำที่อุณหภูมิ 70-80 องศาเซลเซียส (ไม่ควรใช้น้ำเดือด เพราะจะทำให้ขมและฝาด) ควรใช้น้ำที่ผ่านการกรอง (RO) เพื่อรสชาติที่บริสุทธิ์

ถัดมา ขั้นตอนการชงแบบ Usucha (มัทฉะบาง) สำหรับดื่มทั่วไป เริ่มจาก อุ่นชาวันด้วยน้ำร้อนเล็กน้อยแล้วเทออก เช็ดให้แห้ง ถัดมาให้ตักผงมัทฉะประมาณ 1-2 กรัม (1 ช้อนชา) ลงตะแกรงแล้วร่อนผงชาลงในถ้วยที่อุ่นไว้ จากนั้นเทน้ำร้อนอุณหภูมิ 70-80°C ลงไปเล็กน้อยก่อน (ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ) ใช้ชาเซ็นคนเบาๆ ให้ผงชาเปียกและละลายเป็นเพสต์ข้น เพื่อป้องกันการเกิดก้อน

จากนั้นค่อยๆ เทน้ำร้อนส่วนที่เหลือ ประมาณ 60-70 มิลลิลิตรเติมลงไป ถัดมา ให้จับชาเซ็นในแนวตั้ง ใช้ข้อมือตีอย่างรวดเร็วเป็นรูปตัว "W" หรือ "M" (ไม่ใช่การคนเป็นวงกลม) ตีจนกระทั่งเกิดฟองละเอียดสีขาวนวลขึ้นบนผิวหน้า (ประมาณ 1-2 นาที) เสร็จแล้วเสิร์ฟทันที ควรดื่มขณะร้อนเพื่อรสชาติที่ดีที่สุด

ส่วนการชงแบบ Koicha (มัทฉะข้น) สำหรับพิธีชงชา ให้ใช้ผงมัทฉะ 3-4 กรัม ต่อน้ำร้อน 30-40 มิลลิลิตร คนช้าๆ เป็นวงกลม ไม่เน้นการสร้างฟอง ให้ได้เนื้อชาที่ข้นเนียนคล้ายน้ำผึ้ง ต้องใช้มัทฉะเกรดพิธีชงชาคุณภาพสูงเท่านั้น

มูลค่าตลาดมัทฉะ และราคาผงมัทฉะล่าสุด 2025

ตลาดมัทฉะทั่วโลกมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปี 2023 มูลค่าตลาดมัทฉะทั่วโลกถูกประเมินไว้ที่ 128,000 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเติบโตไปถึง 1,540.30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 55,000 ล้านบาท) ภายในปี 2032

โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 9.1% ตั้งแต่ปี 2025-2032 บางรายงานคาดการณ์ว่าอาจสูงถึง 173,000 ล้านบาทภายในปี 2028 หรือ 5 พันล้านดอลลาร์ภายในปีเดียวกัน

ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่ง 45.7% โดยมีประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้นำ (28.4%) และมัทฉะเกรดสำหรับการทำอาหาร (Culinary Grade) มีส่วนแบ่งตลาดใหญ่ที่สุดถึง 54.3%

ทำไมมัทฉะฟีเวอร์ไม่หยุด รวบตึง 'มัทฉะ 101' มือใหม่หัดดื่มต้องรู้

สำหรับราคามัทฉะอัปเดตล่าสุด (ปี 2025) พบว่า ผงมัทฉะเกรดทั่วไป (Culinary Grade) ราคาอยู่ที่ประมาณ 150-350 บาทต่อ 100 กรัม ส่วนมัทฉะเกรดพรีเมียม (Premium Grade) ประมาณ 700-2,700 บาทต่อ 100 กรัม (ขึ้นอยู่กับแหล่งปลูกและการผลิต)

ขณะที่ มัทฉะเกรดพิธีชงชา (Ceremonial Grade): คุณภาพสูงสุด ราคาสูงกว่าเกรดพรีเมียมมากที่สุด ราคาขึ้นอยู่กับแหล่งปลูกและแหล่งผลิตเช่นกัน  เหมาะสำหรับชงดื่มแบบดั้งเดิม ข้อมูลจากร้านค้าปลีกหลายรายบอกว่า ราคามัทฉะเพิ่มขึ้นสองเท่าในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในตลาดรีเซล (resale) พบว่าผงมัทฉะเกรดพิธีชงชาบางยี่ห้อที่ราคาขายปลีกในญี่ปุ่นประมาณ 250 บาท กลับถูกขายในไทยสูงถึง 1,100-1,200 บาท หรือคิดเป็นกำไรถึง 340%

วิกฤติ "มัทฉะขาดตลาด" เกิดจากอะไร?

ในช่วงที่ผ่านมา มัทฉะคุณภาพดี โดยเฉพาะเกรดพิธีชงชา เกิดประสบปัญหา "ขาดตลาด" ทั่วโลก สาเหตุหลักมาจากความต้องการพุ่งสูงเกินคาด (Excess Demand) จากกระแส "มัทฉะฟีเวอร์" ทั่วโลก ผู้คนหันมาดื่มมัทฉะเพื่อสุขภาพและเป็นทางเลือกแทนกาแฟ ผลักดันให้ผู้บริโภคต้องการซื้อมัทฉะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เช่น ในประเทศไทย ณ ปี 2024 มียอดสั่งซื้อเครื่องดื่มมัทฉะผ่าน LINE MAN Wongnai สูงถึง 5 ล้านแก้ว เพิ่มขึ้น 78% จากปีก่อนหน้า

ขณะที่กำลังการผลิตมัทฉะที่มีอยู่อย่างจำกัด (Deficient Supply) เนื่องจากมีกรรมวิธีที่ซับซ้อนและใช้เวลานาน เช่น การผลิตใบชา Tencha (วัตถุดิบหลัก) ต้องใช้เวลาในการปลูกนานถึง 5 ปี กว่าจะเก็บเกี่ยวครั้งแรกได้ และการเก็บเกี่ยวครั้งถัดๆ ไปก็จำกัด ทำให้ปริมาณที่ผลิตได้มีน้อย โดยเฉพาะหลังสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยว อีกทั้งต้องผ่านกระบวนการคลุมแสงที่พิถีพิถัน

โดยฟาร์มมัทฉะในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ มักเป็นกิจการขนาดเล็กแบบครอบครัวที่ยังคงใช้วิธีการผลิตแบบดั้งเดิม (เช่น โม่หิน) ทำให้มีกำลังการผลิตต่ำ ไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกได้ทันท่วงที นอกจากนี้ยังขาดแคลนแรงงานในการเก็บเกี่ยวและแปรรูป รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทุกวันนี้สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย บางครั้งเกิดโรคพืช จึงส่งผลให้ผลผลิตใบชาลดลง

ความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานนี้ ทำให้ผงมัทฉะคุณภาพดีกลายเป็นสินค้าหายาก เกิดการจำกัดการซื้อ และมีราคาพุ่งสูงขึ้นในตลาด อย่างไรก็ตาม แม้วิกฤตินี้จะสร้างความท้าทาย แต่ก็เปิดโอกาสมหาศาลให้กับแบรนด์มัทฉะต่างๆ ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างสรรค์เมนูใหม่ๆ

โดยสรุปพูดได้ว่า "มัทฉะ" ไม่ใช่แค่ชาเขียว แต่เป็นเครื่องดื่มที่หลอมรวมประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สุขภาพ และไลฟ์สไตล์เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว แม้จะมีราคาที่สูงและบางครั้งหายาก แต่คุณประโยชน์และประสบการณ์ที่ได้รับก็คุ้มค่าที่จะลองเปิดใจ สัมผัสโลกอันน่าหลงใหลของเครื่องดื่มมัทฉะทุกแก้วที่ถูกเสิร์ฟออกไปสู่คนรักชา

 

 

อ้างอิง: bluemochathailandsiamcoolermarttiedaengbaristabuddy
missicecreampptvhd36chaodoilovefittfuturemarketreportbangkokbiznewsmomomatchabluekoffmarketeeronlinematchaumamihillkoffbaramiocoffee