Loading Capacity ระดับความสามารถรองรับเหตุของพื้นที่ภัยพิบัติ

Loading Capacity ระดับความสามารถรองรับเหตุของพื้นที่ภัยพิบัติ

ความสามารถในการรองรับภัยพิบัติ (Loading Capacity) แต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน บางแห่งเกิดน้ำท่วมดินถล่ม แม้มีฝนไม่มาก ด้วยปัจจัยสภาพป่า โครงสร้างดิน ทางระบายน้ำต่างกัน

KEY

POINTS

  • พื้นที่แต่ละแห่งมีความสามารถในการรองรับภัยพิบัติ (Loading Capacity) ไม่เท่ากัน ทำให้บางพื้นที่เกิดน้ำท่วมหรือดินถล่มได้แม้มีปริมาณฝนไม่สูงมาก
  • ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการรองรับน้ำของพื้นที่ ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงสภาพป่า โครงสร้างดินที่เสื่อมโทรมจากไฟป่า และสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางทางระบายน้ำ
  • ระบบเตือนภัยพิบัติในปัจจุบันที่ใช้เกณฑ์ปริมาณน้ำฝนสะสมเพียงอย่างเดียวมีความแม่นยำไม่เพียงพอ ควรพิจารณาตัวชี้วัดอื่นร่วมด้วยเพื่อความแม่นยำมากขึ้น
  • แนวคิดเรื่อง Loading Capacity สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับภัยพิบัติอื่นได้ เช่น การประเมินศักยภาพของแอ่งพื้นที่ (Airshed) ในการรองรับและระบายมลพิษฝุ่น PM2.5

ผู้เขียนซึ่งอยู่ในพื้นที่ภัยพิบัติ มลพิษฝุ่น pm 2.5 และ น้ำท่วมโคลนถล่มภาคเหนือ ได้สังเกตพบว่าสองสามปีมานี้ เหตุน้ำท่วมฉับพลัน หรือน้ำป่าโคลนถล่ม แทนที่จะเกิดเฉพาะในพื้นที่ฝนตกสะสมมากๆ ระดับเกิน 200 มม. ขึ้นไป ยังมีพื้นที่ซึ่งฝนไม่หนัก (> 100 มม.) แต่ก็ปุบปับท่วมมากขึ้น เช่น เขตเมืองเชียงใหม่หลายครั้ง เช่น ถนนช้างคลาน หรือโซนตะวันตกติดดอยสุเทพ

หรือล่าสุดหางพายุคาจิกิปลายเดือนสิงหาคม แนวฝนหนักระดับเกิน 100 มม. อยู่ทางภาคอีสานส่วนเหนือตอนล่าง ระดับน้ำฝนแค่ราว 50-80 มม. แค่เพียงเท่านั้น ยังทำให้ อ.หล่มสัก เพชรบูรณ์ อ.ลี้ ลำพูน อ.เถิน ลำปาง มีพื้นที่เกิดน้ำท่วม น้ำป่าหลายแห่ง

ก่อนหน้านั้นไม่กี่วันมีเขตภัยพิบัติน้ำป่าโคลนถล่ม ที่บ้านปางอุ๋ง อ.แม่แจ่ม เชียงใหม่ และบ้านผาบ่อง อ.เมือง แม่ฮ่องสอน มีรถยนต์ไหลไปตามกระแสน้ำพัด มีคนเสียชีวิต บ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก

ปกติคำเตือนภัยพิบัติน้ำท่วมโคลนถล่มของรัฐ ที่ใช้มาตรฐานฝนสะสม 24 ชม. เกิน 40 มม. ให้เป็นระดับเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ก็ดูรัดกุม ตั้งการ์ดสูง ปัญหาก็คือ เวลาประกาศพื้นที่เสี่ยงมันจะเยอะมากครั้งละหลายจังหวัด หลายอำเภอคลุมพื้นที่ใหญ่ แต่มักจะไม่เกินภัยขึ้นมาจริงจนประชาชนไม่ให้น้ำหนัก แต่หากใช้มาตรฐานสูงขึ้นเป็น 60-70 มม. มันก็จะเป็นการขาดความตระหนัก ดูเบาสถานการณ์ไปอีก

พื้นที่แต่ละโซน-จังหวัด เจอภัยพิบัติเหมือนกัน แต่ภูมิคุ้มกันไม่เท่ากัน

มีคำเตือนเป็นวงกว้างจริงให้ระวังน้ำป่าน้ำท่วม แต่มันก็กว้างเกิน มีพื้นที่ฝนตกหนักมากๆ ระดับ 80 มม. ขึ้นไป เขตอีสานเหนือที่ไม่ท่วม ด้วยอาจระบายเร็ว แต่กลับมาท่วมในเขตภาคเหนือที่เป็นหุบแอ่งภูเขาแทน

พื้นที่แต่ละเขต แต่ละโซนมีความสามารถรองรับปริมาณน้ำฝนสะสมไม่เท่ากัน  บางพื้นที่เจอฝนสะสมมากกว่า 100 มม. ไม่เกิดอะไร แต่อีกพื้นที่หนึ่งแค่ไม่ถึง 50 มม. อาจจะเกิดน้ำท่วม หรือ แค่ 100 มม. เกิดน้ำป่าได้

อาจเรียกเป็นภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า ภูมิคุ้มกันภัยพิบัติของพื้นที่แต่ละแห่งไม่เท่ากัน !

กรณีฝนตกลงเท่ากัน พื้นที่หนึ่งเกิดพิบัติภัยอีกพื้นที่ไม่เป็นอะไร อาจเนื่องด้วยปัจจัยสภาพแวดล้อม โครงสร้างของดิน การตั้งถิ่นฐาน การมีสิ่งกีดขวางทางระบาย การเปลี่ยนแปลงภูมินิเวศเปลี่ยนป่าเป็นไร่เกษตรเขาหัวโล้น ซึ่งอุ้มน้ำได้ไม่ดี

อีกปัจจัยที่ทำให้ความสามารถที่แต่ละพื้นที่อุ้มน้ำแตกต่างกันก็คือโครงสร้างของดินที่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะด้วยการเกษตร หรือ ไฟป่า โดยไฟป่าในภาคเหนือมักเกิดในป่าผลัดใบ พอฝนตกป่าก็เขียวดังเดิม แต่แท้จริงแล้ว ภายใต้ความเขียวก็คือความสามารถในการอุ้มน้ำน้อยลง มันจะสร้างชั้นเคลือบดิน เหมือนมีแว๊กซ์เคลือบผิวทำให้น้ำไม่ซึมลงดิน หรือชั้นกันน้ำ (Hydrophobic Layer)

ดังนั้นป่าที่เห็นเขียวๆ เหมือนกัน ความสามารถและภูมิคุ้มกันต่อน้ำท่วมดินถล่มไม่เท่ากัน แต่ละแอ่ง แต่ละพื้นที่ มีความสามารถรองรับปริมาณน้ำฝน (Loading Capacity) ดูดซับและอุ้มน้ำไว้ไม่เท่ากัน

ระบบการเตือนภัยที่ยึดปริมาณฝนสะสมอย่างเดียว ไม่แม่นยำพอ

ความสามารถรองรับที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่เป็นปัญหาต่อระบบการเตือนภัย เพราะปัจจุบันเราใช้ปริมาณน้ำฝนสะสม Antecedent Precipitation Index (API) ในการเตือนภัยพิบัติโดยเชื่อมสัมพันธ์กับดินที่อุ้มน้ำ

คำเตือนที่ยึดตัวเลขปริมาณฝนสะสมเพียงด้านเดียว จึงอาจจะไม่ครอบคลุมและแม่นยำเพียงพอ สำหรับยุคสมัยที่โลกเปลี่ยนแปลงทั้งบนฟ้าและบนพื้นดิน แอ่งภูเขาบริเวณหนึ่งที่มีการระบายน้ำไม่ดี ชุมชนขวางลำน้ำ มีการเปลี่ยนสภาพป่ารอบๆ ภูเขาเป็นไร่ข้าวโพด เหลือแต่สีเขียวหย่อมเดียวที่เป็นส่วนลาดชันเกิน 30 องศา แถมมีไฟป่าซ้ำที่เดิมทุกปี ย่อมมีความสามารถในการรองรับปริมาณน้ำน้อยกว่าพื้นที่แอ่งภูเขาที่เป็นป่าแบบเดิม

ดังนั้นหน่วยงานเกี่ยวข้องควรจะพิจารณาเพิ่มเติม ตัวชี้วัดอื่นเพื่อจะให้เกิดความแม่นยำและพุ่งเป้ามากขึ้น อาทิเช่น

         • Soil Moisture Loading Index (SMLI) - ค่าความอิ่มตัวของดินเทียบกับเกณฑ์ที่ทำให้เกิดน้ำป่า

         • Valley Loading Threshold (VLT) - ปริมาณฝนสูงสุดที่หุบเขาหนึ่ง ๆ ทนได้โดยไม่เกิดน้ำหลาก

         • Fire-Soil Degradation Factor (FSDF) - ระดับการเสื่อมของโครงสร้างดินจากไฟป่า ที่ลดทอน capacity ของพื้นที่

         • Drainage capacity of a basin/watershed - ความสามารถในการระบายน้ำของแอ่ง/พื้นที่

ความสามารถในการรองรับ จาก 'น้ำ' สู่ 'ฝุ่นควัน'

ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำ กรณีพิบัติภัยทางอากาศมลพิษฝุ่น pm2.5 ที่เรื้อรังมานานก็ควรต้องเติมความคิดเรื่องศักยภาพในการรองรับมลพิษของแอ่งพื้นที่ลงในชุดมาตรการนโยบายเช่นเดียวกัน

นโยบายและมาตรการแก้ปัญหามลพิษฝุ่นตามแนวคิดของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด และวาระแห่งชาติฉบับที่ 2 เริ่มมีการพูดถึงปัจจัยด้านแอ่งภูมิศาสตร์ หรือ Airshed  ที่ข้ามพรมแดนปกครองพื้นที่จังหวัด เช่น แหล่งกำเนิดฝุ่นของแอ่งเชียงใหม่ ดูจากทิศทางลมที่พัดขึ้นมาจากทิศใต้ แหล่งกำเนิดไฟในป่าเหนือเขื่อนภูมิพล(ตาก/ลำพูน) ก็เป็นส่วนหนึ่งของแอ่งภูมิศาสตร์มลพิษเชียงใหม่ด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้และข้อมูลว่าด้วย ศักยภาพที่แอ่งสามารถรองรับปริมาณมลพิษต่อช่วงเวลา Loading Capacity ยังมีไม่มากพอ

หากรัฐสามารถศึกษาและประมวลข้อมูลในอดีตจนสามารถชี้ว่า ในแต่ละช่วงเวลา แอ่งเชียงใหม่สามารถรองรับและระบายมลพิษฝุ่นควันจากแหล่งกำเนิด (hotspot) ได้ในปริมาณเท่าไหร่ถึงจะเริ่มเกินมาตรฐาน AQI  โจทย์คำถามเช่น แอ่งเชียงใหม่สามารถรองรับและระบายไฟป่าพร้อมกันได้จำนวนกี่จุด จะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น

 

 

 

..........................................

เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ