อนาคตของดอยหัวโล้นทุ่งข้าวโพดไทย

พื้นที่ปลูกข้าวโพดในเขตป่าสูง เป็นสาเหตุหลักของดอยหัวโล้น ขณะที่ไทยเพิ่งเปิดตลาดนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ อัตราภาษี 0% คาดส่งผลโดยตรงต่อเกษตรกรไทย จะมีทางออกอย่างไร
KEY
POINTS
- การเปิดตลาดนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ ในอัตราภาษี 0% คาดว่าจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรไทย เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตสูงและไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้
- ภาครัฐเตรียมออกมาตรการอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เช่น โครงการชดเชยดอกเบี้ยและสินเชื่อ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดในประเทศ
- การขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดในเขตป่าบนที่สูง เป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อม ทั้งการเกิด "ดอยหัวโล้น" จากการทำลายป่า และมลพิษ PM2.5 จากการเผา
- ทางออกที่ยั่งยืนของกรณีนี้ คือ การปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง โดยส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนไปปลูกพืชชนิดอื่นที่เหมาะสมกับพื้นที่และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าการปลูกข้าวโพด
จากกรณีการเจรจาภาษีทรัมป์ที่ดุเดือดและยาวนาน ทีมประเทศไทยได้เสนอข้อแลกเปลี่ยน จนที่สุดได้รับอัตราภาษีใหม่ที่ 19% ดังที่ทราบแล้วนั้น ในบรรดากลุ่มที่จะรับผลกระทบมากสุดกลุ่มคือ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ที่เป็นต้นน้ำของวงจรอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ส่งออก เพราะหนึ่งในข้อแลกเปลี่ยนคือ ไทยจะเปิดตลาดนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐอเมริกา ด้วยอัตราภาษี 0%
ผลจากการนี้ ดูเหมือนมีแต่เกษตรกรที่กระทบโดยตรง ส่วนโรงงานและผู้ส่งออกไม่กระทบ เพราะเอาเข้าจริงข้าวโพดเป็นวัตถุดิบที่สามารถทดแทนได้ ต่อให้ข้าวโพดแพงก็นำเข้าข้าวสาลีแทน ปัจจุบันราคาข้าวโพดในตลาดอาเซียนก็ต่ำกว่าราคาที่ผลิตในไทย ยิ่งหากเปิดตลาดอเมริกาที่ต้นทุนถูกกว่า โรงงานผลิตและส่งออกกลับยิ่งได้ประโยชน์ด้วยซ้ำไป
2 เรื่องสำคัญต้องทำ! ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวโพด-รักษาเสถียรภาพ
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีการจัดประชุมวางแผนการผลิตข้าวโพดปี 68/69 ระหว่างรัฐกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการเคลื่อนไหวเพื่อรับมือกติกาตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป เพราะแม่แจ่มมีพื้นที่ปลูกข้าวโพดมากสุดของเชียงใหม่ เป็นพื้นที่ผลิตใหญ่ เป็นกระจกสะท้อนทิศทางของวงการข้าวโพดภาคเหนือ
อันดับแรกคือ หน่วยงานรัฐส่งสัญญาณบอกให้เกษตรกรขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวโพดให้ชัด เรื่องพื้นฐานดังกล่าวต้องเน้นย้ำ เพราะพื้นที่ข้าวโพดแม่แจ่มเพิ่งจะมาเป็นพื้นที่เอกสารสิทธิ์ คทช. ก่อนหน้านี้เป็นแปลงพิพาทสิทธิทำกินกับป่าสงวน เวลามีการสำรวจแปลงปลูก อาจจะมีการตกหล่นหรือจงใจไม่แจ้ง แต่รอบนี้ให้แจ้งเพื่อให้มีชื่อในบัญชี แล้วภาครัฐจะได้จัดชดเชยต่างๆ ให้
อันดับสอง หน่วยงานรัฐได้บอกทิศทางว่า จะมีการอุดหนุนรูปแบบต่างๆ เช่น กรมการค้าภายในจะออกมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อาทิ โครงการชดเชยดอกเบี้ยในการเก็บสต็อกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร โครงการเพิ่มช่องทางการตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เสนอต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ที่จะมีการประชุมพิจารณาภายในเดือนสิงหาคมนี้
ซึ่งก็ตอกย้ำว่า โครงสร้างต้นทุนการผลิตข้าวโพดของไทยสูง และแข่งขันไม่ได้จึงต้องมีมาตรการอุดหนุนดังกล่าว
ข้าวโพดไทย อยู่ในภาวะต้องให้รัฐช่วยอุ้มมาแต่แรก
ที่ผ่านๆ มานั้น ข้าวโพดในประเทศไทยราคาสู้ข้าวโพดจากเพื่อนบ้านอาเซียนไม่ได้ แถมผลิตในประเทศไม่พอกับความต้องการวัตถุดิบโรงงานอาหารสัตว์ ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย ชี้ว่า ประเทศไทยมีปริมาณความต้องการใช้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เฉลี่ยปีละ 8.4 ล้านตัน แต่ผลผลิตในประเทศมีเพียง 4.89 ล้านตัน
ที่เหลือนำเข้าทั้งหมด โดยรัฐออกกติกาให้ผู้จะนำเข้าต้องรับซื้อข้าวโพดในประเทศเสียก่อน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร เพื่อได้โควตานำเข้า มารอบนี้ ก็จะกำหนดโควตารับซื้อเช่นเดิมโดยกำหนดไว้ที่ มาตรการ 1 ต่อ 3 สำหรับข้าวสาลี และกำหนดระยะเวลาเปิดนำเข้าข้าวโพด AFTA จากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้ตรงกับฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตในประเทศ
ในภาพรวมข้าวโพดไทยอยู่ในภาวะต้องให้รัฐช่วยอุ้มมาแต่แรก เช่น การกำหนดโควตา และปิดประตูคู่แข่งช่วงผลผลิตในประเทศออก แต่ที่สุดก็ดูเหมือนว่า ชุดมาตรการเดิมๆ เริ่มจะเอาไม่อยู่แล้ว เมื่อมีข้อตกลงใหม่เปิดตลาดให้กับอเมริกาเพิ่มขึ้นอีก ต้องควักเงินรัฐมาอุดหนุนเพิ่มลงไปอีก
ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยมีต้นทุนสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ต้นทุนข้าวโพดอาเซียนทั้งหมดยังสูงกว่าข้าวโพดอเมริกา นี่แค่ราคาผลผลิตที่วัดจากประสิทธิภาพการเพาะปลูก ยังไม่ได้วัดจากความสูญเสียด้านนิเวศสิ่งแวดล้อมและมลพิษ
การปลูกข้าวโพด = เกิดดอยหัวโล้น ต้นทุนนิเวศสิ่งแวดล้อม
แท้จริงแล้วต้องนับต้นทุนนิเวศสิ่งแวดล้อมและมลพิษสุขภาพด้วย การเผาเตรียมแปลงและเผาซังข้าวโพด เป็นแหล่งกำเนิดใหญ่ที่รัฐพยายามหาทางแก้ตลอดทศวรรษมานี้ ไม่นับรวมที่ว่า การปลูกข้าวโพดต่างจากพืชเกษตรบนที่สูงอื่น ที่เมื่อล้มป่าถางแปลงแล้ว ภูเขาจะกลายเป็นดอยหัวโล้นตลอดไป ไม่เหมือนไร่หมุนเวียนที่ยังมีการปล่อยให้ป่าฟื้นคืนมาหมุนเวียนอยู่
ประเด็นปัญหาของเกษตรกรข้าวโพดวันนี้ คือ ต้นทุนสูง ราคาขายไม่คุ้มทุน ต้องเรียกร้องให้รัฐอุดหนุนด้วยมาตรการต่างๆ แต่ในมุมของภาครัฐ จะมองแค่ประเด็นต้นทุนสูง แค่ไปอุดหนุนไม่ได้ สิ่งที่รัฐต้องคิดทำนับจากนี้คือ การเปลี่ยนแปลงการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ของไทยในเชิงโครงสร้าง
นั่นคือ ต้องมีเปลี่ยนชนิดการผลิตพืชใหม่ที่ไม่ใช่ข้าวโพดไปเลย !
ข้าวโพดเป็นพืชเศรษฐกิจที่ขยายมาปลูกบนดอยสูงภาคเหนือแต่ทศวรรษ 2550 เพราะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมส่งออกเนื้อและอาหารสัตว์ ภาคเหนือที่ดินกรรมสิทธิ์ไม่มีเหลือหรอก ที่ขยายๆ เป็นล้านไร่ช่วงนั้น คือยอดดอยที่ป่าสงวนเป็นส่วนใหญ่ เพราะมันดันตรงกับการปฏิรูประบบราชการ แยกกรมป่าไม้กับกรมอุทยานออกจากกันพอดี
ป่าสงวนขึ้นกับกรมป่าไม้เป็นจุดอ่อน แต่เดิมนั้นการทำไร่ในเขตป่าดอยสูงมักเป็นไร่หมุนเวียน แต่พอปลูกข้าวโพดต้องล้มป่าถาวรกลายเป็นเขาหัวโล้น มันถึงเกิดมีภาพข่าวเป็นกระแสใหญ่ที่น่าน เมื่อปี 2558 ให้เห็น
รัฐต้องมีนโยบายข้าวโพดไทยให้ชัดเจน ไม่ใช่แค่หาวิธีอุดหนุนต้นทุนแต่ละปี
ต้นทุนระบบนิเวศและมลพิษการเผา pm2.5 จากพืชเกษตรที่สูง ผลกระทบการเผาข้าวโพดในช่วงแรกหนักมาก เพราะต้องเผาตอซังและเปลือกข้าวโพดครั้งและมากๆ ที่แม่แจ่มมีอยู่ปีหนึ่งระดมเผาเป็นแสนไร่หลังสงกรานต์ ควันมืดฟ้ามัวดินเข้ามาถึงในเมือง ยุคหลังผลกระทบการเผาจากไร่ข้าวโพดน้อยลง แต่เรื่องระบบนิเวศยังไม่ดี
นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องมีนโยบายข้าวโพดไทยให้ชัดเจน จะเอาอย่างไรต่อ ที่ไม่ใช่แค่หาวิธีอุดหนุนต้นทุนพอให้พ้นเป็นปีๆ ไป เพราะรัฐเองก็เคยสำรวจและมีตัวเลขพื้นที่ปลูกที่เหมาะสม ไม่เหมาะสม และปลูกในพื้นที่ป่าไม้จำแนกออกมาชัดเจนนานแล้ว
พื้นที่เหมาะสมของข้าวโพดไทยมีแค่ราว 2 ล้านไร่ ส่วนพื้นที่ไม่เหมาะสมมากถึง 5 ล้านไร่ (ดูตารางประกอบ-ที่มา กรมพัฒนาที่ดิน 2554 / ปรับปรุง ณ วันที่ 5 กรกฎาคม 2556)
สิ่งที่ควรจะเกิดมีนับจากนี้ ดอยหัวโล้นทุ่งข้าวโพดต้องหมดไป กลายเป็นพืชชนิดอื่นที่ยังความเขียวยั่งยืนกว่า ไม่ใช่แค่แผนมาตรการอุดหนุนต้นทุนรายปี แค่พอปะทะปะทังไป
..........................................
เขียนโดย บัณรส บัวคลี่ คอลัมน์จุดประกายความคิด กรุงเทพธุรกิจ







