สังคมดีช่วยให้อายุยืน วิจัยชี้ ถ้าความสัมพันธ์ดี คุณภาพชีวิตจะดี

สังคมดีช่วยให้อายุยืน วิจัยชี้ ถ้าความสัมพันธ์ดี คุณภาพชีวิตจะดี

งานวิจัยทั่วโลกยืนยัน ความสัมพันธ์ทางสังคมที่แข็งแรงไม่เพียงสร้างความสุข แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังและยืดอายุขัยได้จริง

KEY

POINTS

  • การมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้มีอายุยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เทียบเท่ากับการกินดีและการออกกำลังกาย
  • งานวิจัยชี้ว่าการเข้าสังคมอย่างสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ถึง 50% ซึ่งมีผลใกล้เคียงกับการเลิกสูบบุหรี่
  • ในทางตรงกันข้าม ความเหงาและความโดดเดี่ยวเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง โดยเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ภาวะสมองเสื่อม และภาวะซึมเศร้า

แม้เราจะรู้จักสูตรสุขภาพยอดนิยมอย่าง “กินดี นอนพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ” แต่สิ่งที่งานวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันคือ “ความสัมพันธ์ทางสังคม” ก็มีบทบาทไม่แพ้กัน การมีเพื่อนคุย, ครอบครัวให้พึ่งพา, หรือชุมชนที่เราเป็นส่วนหนึ่ง ไม่เพียงสร้างความสุขทางใจในแต่ละวัน แต่ยังเชื่อมโยงกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

กรุงเทพธุรกิจ จะพาผู้อ่านไปรู้จักมิติใหม่ของสุขภาพทางสังคม ที่อาจเป็นกุญแจสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขมากขึ้น

สังคมดีช่วยให้อายุยืน วิจัยชี้ ถ้าความสัมพันธ์ดี คุณภาพชีวิตจะดี

การเชื่อมโยงทางสังคมทำให้อายุยืนยาวขึ้น

งานวิจัยจาก Journal of Epidemiology and Community Health ที่ติดตามผู้สูงอายุกว่า 28,000 คนอายุเฉลี่ย 89 ปี พบว่า:

ผู้ที่เข้าสังคมบ่อยครั้ง มีโอกาสชีวิตยืนยาวสูงกว่า ผู้ที่แยกตัวอยู่คนเดียว

การเข้าสังคมทุกวัน เชื่อมโยงกับอายุที่ยืนยาวกว่าอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ค่อยเข้าสังคม

ไม่เพียงแค่นั้น งานวิจัย Meta-analysis study จากมหาวิทยาลัย Brigham Young University ยังสรุปว่า การมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่แน่นแฟ้นช่วย ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัยได้ถึง 50% ซึ่งถือว่ามีผลใกล้เคียงกับการ เลิกสูบบุหรี่ หรือ การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ดร. สตีเวน เครน (Dr. Steven Crane) จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด อธิบายว่า

“ความสัมพันธ์ของเราสร้างเครือข่ายการสนับสนุน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในความเป็นอยู่ที่ดีโดยรวมของมนุษย์”

ความเหงา: ภัยเงียบที่อันตรายเท่าการสูบบุหรี่

ในอีกด้านหนึ่ง ความโดดเดี่ยวและความเหงากลายเป็นภัยคุกคามสุขภาพระดับโลก องค์การอนามัยโลก (WHO) ย้ำว่า ปัญหานี้ควรถูกมองจริงจังไม่ต่างจากโรคอ้วนหรือการสูบบุหรี่

ข้อมูลเชิงตัวเลขชี้ให้เห็นผลร้ายของความเหงาอย่างชัดเจน:

  • เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจ 29%
  • เพิ่มความเสี่ยงภาวะสมองเสื่อม 50%
  • เพิ่มความเสี่ยงภาวะซึมเศร้า 77%
  • เพิ่มความเสี่ยงการเสียชีวิตก่อนวัย 29%

ดร. วิเวก เมอร์ธี (Dr. Vivek Murthy) ศัลยแพทย์ใหญ่สหรัฐฯ ถึงกับประกาศว่า “ความเหงา” กำลังระบาดในระดับชาติ โดยครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ในสหรัฐฯ กำลังต่อสู้กับภาวะนี้

งานวิจัยจาก มหาวิทยาลัยรัตเกอร์ส (Rutgers University) ยังระบุว่า การแยกตัวออกจากสังคมเป็นเวลานาน เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสมองและเพิ่มระดับฮอร์โมนความเครียด ส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและเมตาบอลิซึม นำไปสู่โรคเรื้อรังต่างๆ

สังคมดีช่วยให้อายุยืน วิจัยชี้ ถ้าความสัมพันธ์ดี คุณภาพชีวิตจะดี

ทำไมความสัมพันธ์ที่ดีจึงสำคัญ

วิจัยพบว่า เมื่อเราได้รับการยอมรับหรือรอยยิ้มจากเพื่อน ฮอร์โมน “โดปามีน(Dopamine) จะหลั่งออกมา ทำให้รู้สึกดีและอยากเชื่อมโยงต่อไป การมีสายสัมพันธ์ทางสังคมจึงทำหน้าที่เหมือน “วัคซีน” ต่อต้านความเครียดและโรคภัย

ดร.สตีเวน อธิบายเพิ่มเติมว่า

“ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งสำคัญต่อสุขภาพของเราพอๆ กับการไปยิมหรือกินอาหารที่ดี”

อุปสรรคและวิธีเอาชนะความเหงา

แม้เราจะรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพทางสังคม แต่หลายปัจจัยกลับทำให้หลายคนละเลยสิ่งนี้ เช่น:

ความกลัวการเข้าสังคม:

คนที่เหงามักกลัวการถูกปฏิเสธ จนยิ่งหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม

วิธีแก้: ใช้การบำบัด CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือภาษาไทยว่า การบำบัดพฤติกรรมทางความคิดเพื่อเปลี่ยนวิธีคิด

ชีวิตที่วุ่นวาย:

งานยุ่งทำให้ไม่ว่างเจอเพื่อน

วิธีแก้: จัดตารางเข้าสังคมให้เหมือนตารางานหรือตารางออกกำลังกาย

เทคโนโลยี:

คนรุ่นใหม่หนีความอึดอัดไปใช้เวลากับมือถือมากกว่าสื่อสารกันแบบตรงหน้า

วิธีแก้: ฝึกทักษะแก้ปัญหาและเผชิญหน้าความต่างในความสัมพันธ์

และคำแนะนำที่เรียบง่ายที่สุดจากดร.สตีเวน ก็คือ: “ถ้าอยากมีเพื่อน จงเป็นเพื่อน”

สุขภาพทางสังคม คือเสาหลักของการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข พลังของการพูดคุย หัวเราะ และใช้เวลาร่วมกับคนที่เรารัก จะสามารถยืดอายุ ลดความเครียด และเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ไม่ต่างจากอาหารที่ดีหรือการออกกำลังกายเลย

 

อ้างอิง longevity.stanford , hsph.harvard , health.harvard ,