เทรนด์ดูแลสุขภาพ ปี 69 'สร้างนำซ่อม' รับมือปัจจัยเสี่ยง

จำนวนการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กเยาวชนและวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2564 จำนวนผู้ใช้ยังอยู่ในระดับหลักหมื่น
KEY
POINTS
- สสส.ไม่ได้มุ่งเพียงการให้ความรู้แบบการสอนในห้องเรียนแต่พยายามสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชน
- เด็กและเยาวชนจะเป็นนักสื่อสารและผู้สร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียอยู่แล้วได้เข้าใจประเด็นปัจจัยเสี่ยง
- การกำหนดนโยบายเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่ามีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคธุรกิจเข้าไปนั่งอยู่ในคณะกรรมการกำหนดนโยบาย
จำนวนการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กเยาวชนและวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2564 จำนวนผู้ใช้ยังอยู่ในระดับหลักหมื่น แต่จากการสำรวจในปี 2567 ตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมประมาณ 11 เท่า การออกกฎหมายหรือมาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทั้งบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงเป็นความท้าทายของการดำเนินงานในปี 2569
ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสิ่งเสพติดไม่ได้เข้าถึงเด็กและเยาวชนผ่านหน้าร้านอีกต่อไป หากแต่แฝงตัวอยู่ในออนไลน์โซเชียลมีเดียและกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่กลายเป็นปัญหาเชิงระบบที่เชื่อมโยงกับนโยบายเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอย่างแยกไม่ออก
การดำเนินงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)จากนี้ไปในอนาคต จึงชูแนวคิด“สร้างนำซ่อม”ยุทธศาสตร์ไตรพลัง ทั้งพลังปัญญาพลังสังคมและพลังนโยบายเ พื่อเปลี่ยน“ต้นทุนความเสี่ยงทางสังคม”ให้เป็น“ต้นทุนสุขภาวะ”ที่คุ้มค่าในระยะยาวของประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
จาก“ซ่อมปลายเหตุ”สู่“สร้างนำซ่อม”
“รุ่งอรุณ ลิ้มพ์หะภัณ” ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก(สำนัก1)สสส.ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงทิศทางการทำงานของสสส.ในปี 2569 ว่าจะมุ่งเน้นการทำงานเชิงรุกเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงและสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่ดีผ่านแนวคิด“สร้างนำซ่อม”โดย ไม่ได้มุ่งลดพฤติกรรมเสี่ยงในระดับรายบุคคลเท่านั้นแต่ต้องจัดการ“โครงสร้างความเสี่ยง”ที่รายล้อมชีวิตผู้คนในทุกมิติ ทั้งด้านกายจิตปัญญาและสังคม
โดยใช้กรอบแนวคิดจากกฎบัตรออตตาวา (OttawaCharter) เป็นเครื่องมือออกแบบการทำงานผ่าน5กลยุทธ์หลักได้แก่ การผลักดันนโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อสุขภาพเช่นมาตรการภาษีและการควบคุมปัจจัยเสี่ยงอย่างเหล้าและบุหรี่ การสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อสุขภาวะทั้งในชุมชนเมืองและสถานประกอบการ การเสริมพลังและความเข้มแข็งของชุมชนให้สามารถจัดการปัญหาของตนเอง
การยกระดับทักษะและความรอบรู้ด้านสุขภาพของประชาชนให้รู้เท่าทันปัจจัยเสี่ยง และการปรับระบบบริการให้เน้นการป้องกันมากกว่าการรักษา
ขณะเดียวกันการบริหารเชิงกลยุทธ์ จำเป็นต้องก้าวข้ามการรณรงค์เชิงพฤติกรรมไปสู่การจัดการ“ปัจจัยกำหนดสุขภาพ”ผ่าน 3 กลไกสำคัญได้แก่การขับเคลื่อนนโยบายและกฎหมายที่เข้มแข็ง การสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคมด้วย Social Marketing และการสร้างพลังภาคีเครือข่ายเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริงและยั่งยืน
ความท้าทายปัจจัยเสี่ยงเติบโตเร็วขึ้น
ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก(สำนัก 1) กล่าวว่าหากพิจารณาจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ จะเห็นได้ชัดว่าการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กเยาวชนและวัยทำงานเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยในปี 2564 จำนวนผู้ใช้ยังอยู่ในระดับหลักหมื่นแต่จากการสำรวจในปี 2567 ตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมประมาณ 11 เท่า
ปัจจัยสำคัญมาจาก 2 ส่วนหลักส่วนแรก คือแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามนำเข้าครอบครองและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า แต่การบังคับใช้กฎหมายยังไม่ครอบคลุม ทำให้บุหรี่ไฟฟ้ายังคงเข้าถึงได้ง่ายในชีวิตประจำวัน และพบเห็นการใช้งานในหลายพื้นที่รวมถึงบางหน่วยงานราชการ
ส่วนที่สอง คือกลยุทธ์การจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชนโดยตรง มีกรณีที่เด็กระดับประถมศึกษาสามารถสั่งซื้อบุหรี่ไฟฟ้าไปใช้ภายในโรงเรียนได้โดยที่ครูและผู้ปกครองไม่ทราบ ส่งผลให้การเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าเกิดขึ้นได้ง่ายทั้งในโลกออนไลน์และตลาดนัดทั่วไป
บุหรี่ไฟฟ้าเน้นขายภาพลักษณ์
โจทย์สำคัญของปี 2569 ด้วยสถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในแง่การออกแบบผลิตภัณฑ์และการตลาดที่มุ่งเป้าไปยังเด็กและเยาวชนเช่น ToyPods หรือการใช้ Micro-influencer ในแพลตฟอร์มดิจิทัล งานควบคุมยาสูบ
สสส.จึงเน้นการพัฒนาองค์ความรู้และงานวิชาการที่ทันต่อสถานการณ์เพื่อหนุนการกำหนดนโยบายและการสื่อสารสาธารณะควบคู่กับการยกระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพในกลุ่มเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาผ่านหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนรู้เฉพาะกลุ่ม รวมถึงการใช้โรงเรียนเป็นฐานในการสร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการเริ่มสูบในช่วงวัยเสี่ยง โดยแนวคิดสำคัญคือการเสริมทักษะให้เด็กคิดวิเคราะห์และตัดสินใจด้วยตนเองมากกว่าการบอกว่าอะไรถูกหรือผิด
“การทำงานในโรงเรียนของสสส.ไม่ได้มุ่งเพียงการให้ความรู้แบบการสอนในห้องเรียนแต่พยายามสร้างกระบวนการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนซึ่งเป็นนักสื่อสารและผู้สร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียอยู่แล้วได้เข้าใจประเด็นปัจจัยเสี่ยงอย่างลึกซึ้งและช่วยกันสื่อสารเตือนเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน” รุ่งอรุณกล่าว
แอลกอฮอล์โจทย์นโยบายที่ต้องตัดสินใจ
ส่วนการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สสส.มุ่งสร้างกลไกการจัดการในระดับพื้นที่ โดยบูรณาการภาครัฐภาคประชาสังคมและชุมชนเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดผลจริง พร้อมทั้งพัฒนางานวิชาการและระบบข้อมูลเพื่อประเมินนโยบายช่องว่างทางกฎหมายและอิทธิพลของอุตสาหกรรมรวมถึงการเฝ้าระวังการตลาดดิจิทัลและการค้าระหว่างประเทศ
การออกกฎหมายหรือมาตรการควบคุมปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ควรหลีกเลี่ยงการมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคธุรกิจเข้ามาเป็นคณะกรรมการกำหนดนโยบาย เนื่องจากอาจทำให้กติกาหรือข้อเสนอเชิงนโยบายคลาดเคลื่อนไปจากเป้าหมายด้านสุขภาพ
“ปัจจุบันการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยังพบว่ามีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากภาคธุรกิจเข้าไปนั่งอยู่ในคณะกรรมการกำหนดนโยบาย ซึ่งเป็นความท้าทายสำคัญเพราะอาจทำให้กติกาและข้อเสนอเชิงนโยบายเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายด้านสุขภาพของประชาชนได้” รุ่งอรุณกล่าว
ขณะเดียวกันการขยายเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14.00 - 17.00 น.ซึ่งตรงกับช่วงเวลาเลิกเรียนทำให้เยาวชนเข้าถึงแอลกอฮอล์ได้ง่ายขึ้นและอาจนำไปสู่พฤติกรรมเสี่ยงหรือปัญหาสังคมอื่นตามมา ขณะเดียวกันยังมีความกังวลต่อพฤติกรรมการดื่มของคนทำงานและข้าราชการซึ่งจำเป็นต้องมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
สะสม การสร้างเสริม เพิ่มความเปลี่ยนแปลง
การทำงานของสสส.อย่างการรณรงค์ด้านแอลกอฮอล์ เป็นงานที่ต้องอาศัยการสะสมระยะยาว ปัจจุบันต้องยอมรับว่าการผลักดันพื้นที่เล่นน้ำสงกรานต์ปลอดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจุบันกลายเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับมากขึ้นสะท้อนว่าผลลัพธ์ของการทำงานสร้างเสริมสุขภาพของสสส.ไม่ได้วัดผลได้ในระยะสั้นแต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงค่านิยมและการสร้างเสริมทางสุขภาวะมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม สสส.ยังคงให้ความสำคัญกับการควบคุมปัจจัยเสี่ยงหลัก ได้แก่บุหรี่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติดอย่างต่อเนื่องส่วนในระยะยาวมุ่งให้เกิด “เจ้าภาพการทำงาน” ที่ชัดเจนในแต่ละประเด็นเพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและการสร้างเสริมสุขภาพดำเนินไปอย่างเป็นระบบสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ในภาพรวม และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ยั่งยืนได้ในระดับสังคมทั้งหมดสะท้อนว่าการรับมือปัจจัยเสี่ยงยุคดิจิทัลจำเป็นต้องทำพร้อมกันทั้งเชิงนโยบายโครงสร้างและการสื่อสารทางสังคม







