CAR-T Cell ‘Made in Thailand’ รักษามะเร็ง ลดมูลค่านำเข้าได้ 10 เท่า

การรักษามะเร็ง โดยเฉพาะ “มะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาว” เป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของการแพทย์สมัยใหม่
KEY
POINTS
- กรมการแพทย์ MOU กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในการพัฒนาเทคโนโลยี “CAR-T Cell” เพื่อรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดเลือดขาว
- การผลักดัน AIMPs ของกรมการแพทย์จะเป็นการยกระดับประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็น "ศูนย์กลางการรักษาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง" (Medical Hub) ในระดับนานาชาติ
- ค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วย CAR-T Cell ม.อ. อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาทต่อราย ซึ่งถูกกว่าการรักษาแบบเดียวกันในต่างประเทศที่มีราคาสูงถึง 20 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10 เท่า
การรักษามะเร็ง โดยเฉพาะ “มะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งเม็ดเลือดขาว” เป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของการแพทย์สมัยใหม่ ผู้ป่วยและครอบครัวจำนวนมากต้องเผชิญกับกำแพงของค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีที่ต้องพึ่งพาจากต่างประเทศ ทำให้โอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่ดีที่สุดเป็นไปอย่างจำกัดและสร้างภาระหนักให้แก่ระบบสาธารณสุขของประเทศ
ด้วยจำนวนผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองพบได้ในคนอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ประมาณ 6 รายต่อประชากร 100,000 คน และข้อมูลจากกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า มะเร็งต่อมน้ำเหลืองเป็นมะเร็งที่พบบ่อยในไทย มีผู้ป่วยใหม่ประมาณ 3,000-4,000 คนต่อปี พบได้ทุกวัย และติด 1 ใน 6 มะเร็งที่พบบ่อย
“CAR-T Cell” จัดอยู่ในกลุ่ม "ผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการรักษาขั้นสูง (ATMPs)" ซึ่งเป็นนวัตกรรมการรักษาโรคที่ซับซ้อนและมีความจำเพาะสูง หากจะอธิบายให้เข้าใจง่าย CAR-T Cell ก็เปรียบเสมือน "ยาที่มีชีวิต" โดยแพทย์จะนำเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-Cell (เซลล์ภูมิคุ้มกัน) ของผู้ป่วยออกมา แล้วนำไปดัดแปลงพันธุกรรมในห้องปฏิบัติการเพื่อให้มี "ตัวรับจำเพาะ" (Chimeric Antigen Receptor: CAR) ที่สามารถจดจำและเข้าโจมตีเซลล์มะเร็งได้อย่างแม่นยำ จากนั้นจึงนำเซลล์ที่ถูกติดอาวุธแล้วกลับเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยอีกครั้ง เพื่อให้ทำหน้าที่เป็นกองทัพภูมิคุ้มกันที่ไล่ล่าและทำลายเซลล์มะเร็งอย่างจำเพาะเจาะจง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
รพ.ม.อ. เปิดตัว ‘หุ่นยนต์ผ่าตัด’ เครื่องแรกของภาคใต้ ท็อป 2 ของอาเซียน
CAR-T Cell รักษามะเร็งฝีมือคนไทย
วานนี้ (23 ธ.ค.2568) กรมการแพทย์ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ใน “โครงการไคโรเมอริค แอนติเจน รีเซปเตอร์ ทีเซลล์ (CAR-T Cell) และผลิตภัณฑ์ยาเพื่อการรักษาขั้นสูง (ATMPs) สำหรับการรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง” โดยมีนพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และผศ.นพ.กิตติพงศ์ เรียบร้อย คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นผู้ลงนาม
ความร่วมมือครั้งนี้ ถือเป็นความหวังครั้งใหม่ที่กำเนิดขึ้นจากฝีมือและสติปัญญาของนักวิจัยไทย กับความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยี “CAR-T Cell” เพื่อรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลือง ที่มีประสิทธิภาพสูง ลดค่าใช้จ่าย และเปิดโอกาสให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น
นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวว่ากรมการแพทย์ได้กำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงาน ATMPs ของ ลักษณะการขยายผลแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมุ่งเน้นการสร้างความพร้อมด้านองค์ความรู้และบุคลากรเป็นอันดับแรก รวมถึงขยายผลการให้บริการไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ ในสังกัด เพื่อให้มั่นใจได้ถึงมาตรฐานและความปลอดภัยสูงสุด
3 ขั้นตอนรักษาผู้ป่วย ถ่ายทอดความรู้
นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวต่อว่าความร่วมมือครั้งนี้ มีแผนการดำเนินงานที่ชัดเจน 3 ขั้นตอน ได้แก่ 1. โครงการนำร่อง ซึ่งในระยะแรก จะเริ่มต้นด้วยการคัดกรองและส่งต่อผู้ป่วยกลุ่มแรกจำนวนประมาณ 12 ราย ซึ่งเป็นผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดดื้อต่อการรักษาจากสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ให้ได้มีโอกาสเข้ารับการรักษาด้วยเทคโนโลยี CAR-T Cell จากคณะแพทยศาสตร์ ม.อ. ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่มีความพร้อมสูงสุดในขณะนี้
2. การถ่ายทอดองค์ความรู้ ควบคู่ไปกับการรักษาผู้ป่วยกลุ่มแรก โดยกรมการแพทย์จะส่งทีมบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งแพทย์ พยาบาล และนักวิทยาศาสตร์ ไปศึกษาดูงานและเข้ารับการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการอย่างเข้มข้นที่ ม.อ. ตั้งเป้าหมายที่จะสร้างทีมผู้เชี่ยวชาญที่มีความพร้อมและความสามารถในการให้การรักษาได้เองภายในระยะเวลา 1 ปี และ 3. ขยายผลสู่โรงพยาบาลในสังกัด ซึ่งหลังจากทีมบุคลากรของกรมการแพทย์มีความพร้อมเต็มศักยภาพแล้ว จะเริ่มขยายการรักษาไปยังโรงพยาบาลอื่น ๆ ในสังกัด เช่น โรงพยาบาลราชวิถี และโรงพยาบาลมะเร็ง เพื่อให้ครอบคลุมการรักษาผู้ป่วยผู้ใหญ่และผู้ป่วยในภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้แผนงานจะมีความชัดเจน แต่เส้นทางสู่การนำยาขั้นสูงมาใช้เป็นมาตรฐานการรักษาในวงกว้างยังคงเต็มไปด้วยความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกันก้าวข้าม
ไทยสู่ "ศูนย์กลางยาขั้นสูง"ระดับโลก
นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่าความร่วมมือในครั้งนี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการรักษาผู้ป่วยคนไทย แต่กรมการแพทย์ได้วางวิสัยทัศน์ที่ไกลกว่านั้น คือ การยกระดับประเทศไทยให้ก้าวขึ้นเป็น "ศูนย์กลางการรักษาด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง" (Medical Hub) ในระดับนานาชาติ เพื่อดึงดูดการลงทุนและผู้ป่วยจากทั่วโลก โดยเป้าหมายในอนาคตกรมการแพทย์ จะร่วมมือกับแพทยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรฐานกลางในการรักษาด้วยยาขั้นสูง (ATMPs) ให้เป็นที่ยอมรับและมีความปลอดภัยสูงสุด
รวมถึงพัฒนาระบบข้อมูลกลาง จัดทำฐานข้อมูลทางคลินิก (Clinical Database) ในระดับประเทศ เพื่อรวบรวมผลการรักษาและติดตามอาการผู้ป่วยในระยะยาว และผลักดันให้มีระบบเบิกจ่ายยั่งยืน โดยทำให้การรักษาด้วยATMPs ถูกบรรจุเข้าไปอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของกองทุนสุขภาพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประกันสังคม หรือสวัสดิการข้าราชการ เพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม
ราคาถูกกว่าต่างชาติถึง 10 เท่า
ผศ.นพ.กิตติพงศ์ กล่าวว่า CAR-T Cell พัฒนาโดยทีมวิจัยของ ม.อ. ภายใต้การนำของรศ.ดร.พญ.จักราวดี จุฬามณี อาจารย์นักวิจัยประจำศูนย์ความเป็นเลิศด้านการรักษาด้วยเซลล์บำบัด ซึ่งนำความเชี่ยวชาญด้านเซลล์บำบัดที่สั่งสมมาจากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น มาต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรมเพื่อคนไทย โดยจากจากการทดลองรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ที่ดื้อต่อการรักษามาตรฐานอื่น ๆ กว่า 20 ราย พบว่าให้ผลการรักษาที่เทียบเท่าหรือดีกว่าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ สามารถใช้เป็นการรักษาเพื่อนำไปสู่การหายขาดระยะยาว และอาจใช้ทดแทนการปลูกถ่ายไขกระดูกได้ในอนาคต
“ค่าใช้จ่ายในการรักษาด้วย CAR-T Cell ของ ม.อ. อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านบาทต่อราย ซึ่งถูกกว่าการรักษาแบบเดียวกันในต่างประเทศที่มีราคาสูงถึง 20 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10 เท่า และเมื่อเทียบกับการรักษามาตรฐานเดิมในไทย อย่าง เคมีบำบัดร่วมกับการปลูกถ่ายไขกระดูก นวัตกรรมนี้อาจมีต้นทุนที่ถูกกว่าเมื่อรวมค่าใช้จ่ายในการจัดการภาวะแทรกซ้อนระยะยาวเข้าไปด้วย ที่สำคัญจะช่วยให้ผู้ป่วยได้เข้าถึงการรักษาได้มากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางด้านการผลิตและการวิจัย โดยดำเนินการผลิตและควบคุมคุณภาพ CAR-T Cell และผลิตภัณฑ์ยา ATMP ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล พร้อมทั้งร่วมกับกรมการแพทย์ในการให้การรักษาและติดตามผลผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อจากกรมการแพทย์อย่างใกล้ชิด







