NCDs ทำลาย ศก.ปีละ 6 ล้านดอลลาร์ สร้าง Ecosystem ลดตกงานก่อนวัย 86%

NCDs ทำคนไทยเสียชีวิตปีละ 4 แสนราย ทำเศรษฐกิจสูญเสียมูลค่ากว่า 6 ล้านดอลลาร์ต่อปี คิดเป็น 2.2% ของจีดีพี พบเป็นต้นทางให้คนวัยทำงานออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควรถึง 86%
KEY
POINTS
- โรค NCDs เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากกว่า 4 แสนรายต่อปี คิดเป็น 77% ของการเสียชีวิตทั้งหมด และทำให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านดอลลาร์ต่อปี
- ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ในปี 2568 พบว่า มีภาวะอ้วน 27 ล้านคน ทำกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ 25 ล้านคน มีพฤติกรรมดื่มสุรา 17 ล้านคน และสูบบุหรี่จำนวน 11 ล้านคน
- 3 หลักการลดโรคNCDs คือ 1. เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม 2. กลไกการคลัง และ 3 .กลไกเครดิตทางสังคม
NCDs ทำคนไทยเสียชีวิตปีละ 4 แสนราย ทำเศรษฐกิจสูญเสียมูลค่ากว่า 6 ล้านดอลลาร์ต่อปี คิดเป็น 2.2% ของจีดีพี พบเป็นต้นทางให้คนวัยทำงานออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควรถึง 86% สสส. เสนอทางแก้สร้าง Ecosystem จัดการปัญหาทั้งระบบ ผู้ประกอบการ-ภาคเอกชน แก้ NCDs ในองค์กร ช่วยพนักงานสุขภาพดี-ลดวันลาป่วย 10% ลดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพถึง 16% คสช. เสนอ “เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม-กลไกการคลัง-กลไกเครดิตทางสังคม” 3 หลักการสร้างสภาพแวดล้อม-สังคม ลดโรคเรื้อรัง
เวทีเสวนาหัวข้อ NCDs EC Policy Win/Win ลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) กับภาคธุรกิจเอกชนและวัยทำงาน เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ-แรงงาน-สุขภาพ-แรงจูงใจ-นวัตกรรมองค์กร ภายในงานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 18 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 27-28 พ.ย. 2568 ในประเด็นหลัก “เศรษฐกิจยุคใหม่ สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน” ได้ฉายภาพการทำงานขององค์กรเอกชน เพื่อลดปัญหา NCDs และสร้างสุขภาพดีให้กับพนักงานผ่านการสร้างระบบนิเวศดีอย่างเป็นระบบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ไทยจ่ายอ่วม! ‘เบาหวาน’ 2 หมื่นล้าน/ปี เร่งคัดกรอง ช่วยลดโรค NCDs
เบื่อชีวิตติดเตียง? 'พฤติกรรมเนือยนิ่ง' ไม่ดี...เสี่ยงมะเร็ง
คนไทยเสียชีวิตเพราะ NCDs 4 แสนรายต่อปี
ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า โรค NCDs เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากกว่า 4 แสนรายต่อปี คิดเป็น 77% ของการเสียชีวิตทั้งหมด และทำให้เกิดความสูญเสียมูลทางเศรษฐกิจเป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านดอลลาร์ต่อปี คิดเป็น 2.2% ของผลิตภัณฑ์มวลในประเทศ (จีดีพี) โดย 5 โรคสำคัญของ NCDs ได้แก่ เบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด มะเร็ง โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และปัญหาสุขภาพจิต ล้วนแต่มีสาเหตุจากปัจจัยเสี่ยงทางพฤติกรรม 5 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ มลพิษทางอากาศ การสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ การขาดกิจกรรมทางกาย และการดื่มแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ โรค NCDs ยังได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจ โดยพบว่าคนวัยทำงานต้องออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร คิดเป็นความสูญเสีย 86% ของการสูญเสียทางเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น การเสียชีวิต 52% และการออกจากตลาดแรงงานก่อนวัยอันควร 34%
25 ล้านคนทำกิจกรรมทางกายไม่พอ
ทั้งนี้ จากการเก็บข้อมูลคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปที่มีปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ ในปี 2568 พบว่า มีภาวะอ้วน 27 ล้านคน ทำกิจกรรมทางกายไม่เพียงพอ 25 ล้านคน มีพฤติกรรมดื่มสุรา 17 ล้านคน และสูบบุหรี่จำนวน 11 ล้านคน เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยง หน่วยงานหรือองค์กรผู้มีส่วนสำคัญในการผลักดันเชิงนโยบายจะต้องร่วมกันออกแบบระบบนิเวศ (Ecosystem) ในการจัดการปัญหาตั้งแต่ในระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระบบกฎหมาย ระบบเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง
ดร.วิภาภรณ์ เกียรติอำนวย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.เอช.อุตสาหกรรม จำกัด ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา มีพนักงานอยู่ทั้งหมด 450 คน เล่าว่า บริษัทได้ขับเคลื่อนเรื่อง Healthy workplace (องค์กรสุขภาวะ) มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งจากการสำรวจสุขภาพพนักงานทุกปีพบว่าพนักงานส่วนใหญ่เป็นโรค NCDs เฉพาะเรื่องการมีน้ำหนักเกินค่ามาตรฐาน 51% และโรค NCDs ด้านอื่นๆ รวมแล้วเกือบ 70% ทำให้ในปีนี้บริษัทมีโครงการที่ให้ความสำคัญ คือการนับคาร์บต้านโรค NCDs ซึ่งหลังจากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
ทำให้จำนวนวันการลาป่วยของพนักงานทั้งหมดลดลง 10.30% ค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของพนักงานลดลง 16.41% สถิติการลดและเลิกสูบบุหรี่ 16.94% และสถิติการลด เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 11.80% ส่วนตัวมองว่าหากสถานประกอบการอยากจะผลักดันให้เกิดผลสำเร็จต้องไม่มองว่าสิ่งเหล่านี้คือกิจกรรม แต่เป็นกิจวัตรประจำวันที่จะต้องสร้างให้เป็นวิถีและวัฒนธรรมขององค์กรให้ได้ เพราะเราเชื่อมั่นว่าสุขภาพที่ดีของพนักงานคือรากฐานอันมั่นคงขององค์กร
สำหรับโครงการนับคาร์บต้านโรค NCDs เน้นการใช้หลักการแรงจูงใจให้พนักงานปรับพฤติกรรมและเลือกสิ่งที่ดีเพื่อตนเอง โดยจะคัดเลือกพนักงานที่มีความเสี่ยงเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 60 คน ใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 6 เดือน
- เดือนที่ 1 เริ่มจากตรวจไขมันและมวลกล้ามเนื้อ ให้ข้อมูลความเสี่ยงสุขภาพ สอนการนับคาร์บและแจกสมุดบันทึกให้พนักงานบันทึกพฤติกรรมการกิน การนอน
- เดือนที่ 2 ทำสื่อรณรงค์ ออกนโยบายให้ร้านอาหารสวัสดิการและตู้อัตโนมัติต้องติดป้ายข้อมูลแสดงปริมาณคาร์บ น้ำตาล และโซเดียม และมีการจัดกิจกรรมแข่งขันลดน้ำหนัก สร้างวัฒนธรรมการกำลังกายครึ่งชั่วโมงก่อนเลิกงานอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์
- เดือนที่ 3 เริ่มมีการจัดจำหน่ายอาหาร Low Carb และสร้างสวนผักผลไม้ปลอดสารพิษกว่า 60 ชนิดให้พนักงานสามารถปลูก เก็บ เด็ดและนำไปรับประทานได้ฟรีตลอด 24 ชั่วโมง
- เดือนที่ 4 ได้มีการถอดบทเรียนครั้งที่ 1 เพื่อให้พนักงานได้วิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง สิ่งที่อยากพัฒนาและสรุปผลถึงสิ่งที่ดำเนินการมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา
- เดือนที่ 5 มีการตรวจวัด body composition และตรวจสุขภาพประจำปี ทำให้พบข้อมูลจากการสรุปผลว่าผู้เข้าร่วมโครงการทั้ง 60 คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น 46 คน คิดเป็น 77% ของผู้เข้าร่วมโครงการทั้งหมด
- เดือน 6 จึงเข้าสู่ช่วงของการนำเสนอผลการดำเนินงานโดยให้พนักงานในโครงการเป็นผู้นำเสนอด้วยตนเอง และมีการยกย่องบุคคลตัวอย่างเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้พนักงานตั้งเป้าหมายตัวเองในปี 2569 ต่อไป
วรดา ชำนาญพืช รองประธานสภาอุตสาหกรรม จ.ชลบุรี ฝ่ายพัฒนาแรงงานและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ภาคเอกชนจะต้องบริหารจัดการคนด้วยความรับผิดชอบต่อชีวิตของคนในองค์กร ไม่เช่นนั้นในอนาคตก็จะเหลือเพียงเศษซากของอุตสาหกรรม กล่าวคือบุคลากรที่เต็มไปด้วยโรครุมเร้าอันเป็นผลมาจากการทำงาน หรือโรคที่มาจากพฤติกรรมเสี่ยงแต่องค์กรไม่ส่งสัญญาณเตือน ไม่เข้ามาบริหารจัดการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน บริษัทจึงมีนโยบายการเงินครอบครัว เป้าหมายดูแลพนักงานทั้ง 4 มิติ เน้นคุณภาพชีวิตระยะยาวไม่ต้องพึ่งพาภาครัฐ
วรดา กล่าวต่อไปว่า อยากให้กระทรวงแรงงานเข้ามาส่งเสริมระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (OSHMS) รวมไปถึงการตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) ในสถานประกอบการ และมอบรางวัลองค์กรต้นแบบด้านความปลอดภัยและสุขภาวะ แทนการมอบรางวัลสถานประกอบการดีเด่นด้านแรงงานสัมพันธ์และสวัสดิการ สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้สถานประกอบการมีความชัดเจนในการขับเคลื่อนเรื่องสุขภาวะ เรื่องคุณภาพชีวิตในระยะยาวมากกว่าการมองแค่สวัสดิการที่เน้นหนักไปที่เรื่องค่าตอบแทนเป็นหลัก
สปส.ตั้งกองทุนป้องกันโรค-ส่งเสริมสุขภาพ
นอกจากนี้ สำนักงานประกันสังคม (สปส.) ควรมีโครงการประกันสังคมส่งเสริมสุขภาพแรงงาน มีการจัดตั้งกองทุนป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ สนับสนุนงบกิจกรรมสุขภาพในสถานประกอบการ รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับโรงพยาบาลเครือข่าย เพื่อตรวจสุขภาพ และให้คำปรึกษา มากไปกว่านั้น ภาครัฐควรออกนโยบาย มอบรางวัลสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือสนับสนุนงบประมาณให้แก่สถานประกอบการ
“ผู้ประกอบการเสียภาษีเต็มเม็ดเต็มหน่วย และต้องเสียเงินในการดูแลสุขภาพพนักงานผ่านประกันสังคม ประกันสุขภาพต่างๆ ทั้งให้คนในครอบครัว ทั้งแบบ OPD ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการเขาจ่ายอยู่แล้ว แต่ถ้าหากมีบริษัทไหนที่สามารถจ่ายหรือหันมาดูแลสุขภาวะให้พนักงานได้ และภาครัฐมี Incentive ให้เขานำไปลดหย่อนภาษีได้ ก็จะถือเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้สถานประกอบการมีแรงจูงใจที่จะดำเนินการมากขึ้น” วรดา กล่าว
สมเกียรติ พิทักษ์กมลพร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักนโยบายสาธารณะภาคใต้ (สช.ต.) กล่าวว่า กรอบการพัฒนา Ecosystem 3 : 5 : 5 เพื่อสานพลังสร้างสภาวะแวดล้อมสุขภาวะและสังคมเพื่อลดโรค NCDs มี 3 หลักการที่สำคัญ คือ 1. เศรษฐศาสตร์พฤติกรรมเพื่อกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้บุคคลเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การมีสุขภาพดี 2. กลไกการคลังซึ่งเกิดขึ้นได้ทั้งในระดับประเทศ เช่น การเก็บภาษีความหวาน หรือในระดับหน่วยงาน องค์กร ท้องถิ่นที่อาจจะมีการให้เงินรางวัลหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ 3 .กลไกเครดิตทางสังคม ซึ่งทำได้ตั้งแต่ในระดับท้องถิ่นในการออกมาตรการให้เกิดการออกกำลังกาย แล้วสามารถนำไปเป็นการเก็บแต้มคะแนนสะสมเพื่อนำไปแลกสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นต้น
“ธีมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งนี้ คือเศรษฐกิจยุคใหม่สร้างสุขภาวะไทยยั่งยืน ซึ่งในเวลานี้ภาคเอกชน ผู้ประกอบการได้เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมการขับเคลื่อนเรื่องสุขภาพแล้ว หลังจากนี้หน่วยงานภาคส่วนต่างๆ ที่แม้อาจจะไม่ได้อยู่ในแวดวงสุขภาพโดยตรง ก็สามารถเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันเรื่อง NCDs ให้สังคมไทย” สมเกียรติ กล่าว







