3 เทรนด์เปลี่ยนวงการแพทย์ 'ATMPs-ปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์- Wellness'

ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อม และสุขภาพ โดยเฉพาะการเปลี่ยนโครงสร้างประชากร
KEY
POINTS
- Wellness Economy จากการรักษาโรคสู่การส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม เป็นแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุดในปี 2569
- ปัญหาหลักสุขภาพของไทย คือ 1.ต้นทุนสุขภาพแห่งชาติสูงขึ้นต่อเนื่อง 2.บุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอ และคนไทยขาดความรู้สุขภาพ
- 3 เทรนด์แห่งอนาคตที่จะพลิกโฉมวงการแพทย์ของไทย ได้แก่ ATMPs , ปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ และMedical AI
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเผชิญ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สภาพแวดล้อม และสุขภาพ โดยเฉพาะการเปลี่ยนโครงสร้างประชากร ที่จำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่อัตราเกิดลดต่ำจนเหลือเฉลี่ยเพียง 400,000 คนต่อปี ส่งผลวัยแรงงานลดลง ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขสูงขึ้น และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) คร่าชีวิตคนไทยกว่า 400,000 รายต่อปี สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี วิกฤตเหล่านี้ สะท้อนความจำเป็นเร่งด่วนในการต่อสู้กับวิกฤตสุขภาพที่กำลังจะเกิดขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ครั้งแรกของโลก'ศิริราช'ผลิตกระดูกข้อสะโพกไทเทเนียม 3 มิติ
'ม.มหิดล' จับมือ เอกชน ดันนวัตกรรมสารฆ่าเชื้อ จากห้องทดลองสู่เชิงพาณิชย์
ความท้าทาย ปัญหาสุขภาพของไทย
วานนี้ (26 พ.ย.2568) มหาวิทยาลัยมหิดล แถลงข่าว “เปิด Roadmap รับมือ Pain Point สุขภาพเร่งด่วน พร้อมเจาะลึก 3 เทรนด์สำคัญแห่งอนาคตที่จะพลิกวงการแพทย์ไทยปี 2569” โดยมี ศ.นพ.ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าประเทศไทยและทั่วโลกกำลังเผชิญกับ Pain Point ด้านสาธารณสุขที่สำคัญหลายด้าน ซึ่งล้วนส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพชีวิต ของประชาชนและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
โดย 3 ปัญหาหลักที่ต้องผลักดันนโยบายและแนวทางแก้ไขอย่างจริงจัง ได้แก่ 1.ต้นทุนสุขภาพแห่งชาติสูงขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจัยเชิงโครงสร้างของสังคมไทยที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุ ที่มีผลต่อจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โรคมะเร็งและโรคติดเชื้อต่างๆ เพิ่มขึ้นตามอายุขัยของประชากร อีกทั้งผู้ป่วยจำนวนมากยังมีอาการป่วยหลายโรคร่วมกัน ทำให้การรักษามีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง ประกอบกับประเทศยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้ายาและเทคโนโลยีทางการแพทย์ จากต่างประเทศ ส่งผลให้ระบบหลักประกันสุขภาพและงบประมาณของรัฐต้องแบกรับภาระหนักขึ้น สวนทางกับแนวโน้มคนวัยทำงานที่จะจ่ายภาษีรองรับระบบสุขภาพลดลง ซึ่งหากไม่มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง ระบบหลักประกันสุขภาพของไทยอาจเสี่ยงต่อการล่มสลายได้ในอนาคต
ไทยขาดแคลนแพทย์ ประชาชนขาดความรู้
2.บุคลากรทางการแพทย์มีไม่เพียงพอและกระจายไม่ทั่วถึง ซึ่งเป็นวิกฤตกำลังคนด้านสาธารณสุขที่รุนแรง โดยเฉพาะแพทย์ เมื่อเทียบกับมาตรฐานองค์การอนามัยโลกที่แนะนำให้มีแพทย์ 1 คน ต่อประชากร 1,000 คน แต่ไทยกลับมีแพทย์เพียง 1 คนต่อประชากร 2,000 คน และยังเหลื่อมล้ำชัดเจนระหว่างเมืองกับชนบท เช่น กรุงเทพฯ มีแพทย์เฉลี่ย 1 คน ต่อ 462 คน แต่บางจังหวัด เช่น บึงกาฬ มีแพทย์เพียง 1 คนต่อ 5,000 คน สะท้อนปัญหาการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ต่างกันอย่างมาก
นอกจากนี้ ภาระงานที่หนักหน่วงส่งผลให้แพทย์ ทยอยลาออกเฉลี่ยกว่า 455 คนต่อปี ขณะที่ความต้องการใช้บริการทางการแพทย์กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมี การคาดการณ์ว่าในปี 2569 จะมีผู้เข้ารับบริการถึง 40.5 ล้านครั้ง หรือเฉลี่ยคนไทยต้องพบแพทย์ 3 ครั้งต่อปีด้วยสถานการณ์นี้กำลังกดทับระบบสาธารณสุขไทยให้ต้องแบกทั้งปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น และคุณภาพบริการ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนก่อนระบบจะไม่สามารถรองรับได้อีกต่อไป
และ3. คนไทยขาดความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) ที่เพียงพอ ซึ่งเป็นต้นตอสำคัญของปัญหาในระบบสุขภาพไทย ทั้งพฤติกรรมการบริโภคที่เสี่ยงต่อโรค การขาดความเข้าใจที่ถูกต้องในการป้องกันโรค การดูแลสุขภาพที่ไม่เพียงพอ ร่วมด้วยระบบสุขภาพไทยยังเน้นการรักษาที่ปลายเหตุ เช่น รอให้ป่วยก่อนแล้วจึงรักษา มากกว่าการป้องกันตั้งแต่ต้น ส่งผลให้ภาระหนักไปตกอยู่กับแพทย์และพยาบาล นำไปสู่วงจรปัญหาที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนไข้ล้น คุณภาพบริการลด บุคลากรลาออก ไปจนถึงงบประมาณไม่เพียงพอในการรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
3 เทรนด์อนาคต พลิกโฉมวงการแพทย์
ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าวต่อว่าถึงระบบสาธารณสุขไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน แต่ด้วยศักยภาพและความเป็นเลิศด้านการแพทย์ของไทยที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล ยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ มหาวิทยาลัยมหิดล ตังเป้าผลักดันเศรษฐกิจสุขภาวะของชาติ โดยเน้นการเปลี่ยนผ่านงานวิจัยขั้นสูงไปสู่การผลิตเชิงพาณิชย์ใน 3 เทรนด์แห่งอนาคตที่จะพลิกโฉมวงการแพทย์ของไทย ได้แก่
1.การพัฒนา Advanced Therapy Medicinal Product (ATMPs) เช่น การบำบัดด้วยเซลล์ (Cell Therapy) และยีนบำบัด (Gene Therapy) เพื่อยกระดับการรักษาโรคมะเร็งและโรคซับซ้อนอื่นๆ จากระดับห้องปฏิบัติการไปสู่การผลิตขนาดกลางผ่านการก่อสร้างโรงงาน MU Biophant เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนและจำหน่ายได้ในระดับภูมิภาค ทั้งยังร่วมมือกับ สยามไบโอไซเอนซ์ เพื่อขยายผลไปสู่การผลิตขนาดใหญ่
2. เทรนด์การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ (Xenotransplantation) ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอวัยวะ โดยในต่างประเทศ อย่าง สหรัฐอเมริกา มีความสำเร็จในการนำหัวใจหมูที่ดัดแปลงยีนมาใช้ในคนไข้หัวใจวาย ซึ่งจะมีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้ โดยม.มหิดลกำลังวางแผนร่วมทุนกับ เบทาโกร และบริษัท Enzino (จากนิวซีแลนด์) เพื่อสร้างฟาร์มหมูพิเศษที่ปลอดเชื้อและเป็นหมูตัดต่อยีน (SPF Pig Farm) ในประเทศไทย
“ปัจจุบัน ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ต้องล้างไตกว่า 100,000 ราย และมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 16,000 ล้านบาทต่อปีและคาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงถึง 57,000 ล้านบาท ในปี 2576 หากยังไม่มีการแก้ไข ดังนั้น การปลูกถ่ายอวัยวะข้ามสายพันธุ์ (Xenotransplantation) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นำอวัยวะจากสัตว์โดยเฉพาะหมูที่ผ่านการดัดแปลง เป็นการช่วยลดระยะเวลาการรอคอยอวัยวะ”ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว
3.เทรนด์ Medical AI และ Precision Health Promotion เป็นการใช้ AI ในการประมวลผลข้อมูลสุขภาพขนาดใหญ่เพื่อนำไปสู่การดูแลสุขภาพที่แม่นยำและ Personalized Health ซึ่งมหาวิทยาลัย กำลังพัฒนา MU AI Center นอกจากนั้น จะมีการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับความหลากหลายทางชีวภาพของไทย โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา สมุนไพร และ อาหารเชิงหน้าที่ (Functional Food) เพื่อผลิตสินค้ามูลค่าสูง
Wellness Economyส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม
“Wellness Economy จากการรักษาโรคสู่การส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม เป็นแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบในวงกว้างที่สุดในปี 2569 คือ การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของ Wellness Economy จากเดิมที่เน้น “การรักษาผู้ป่วย” ไปสู่ “การสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวม (Wellness & Preventive Care)” ทั้งดูแล ป้องกัน รักษา ครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีแบบครบวงจร ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ใหญ่ที่กำลังกลายเป็นระบบเศรษฐกิจหลักของโลกและเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยที่ต้องเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่ง”ศ.นพ.ปิยะมิตร กล่าว
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพของไทยกำลังอยู่บนจุดเปลี่ยนสำคัญ ทั้งเทรนด์อนาคตที่เปิดโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ และ Pain Points ที่ต้องเร่งแก้ไข การรับมือกับความท้าทายเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐในการกำหนดนโยบายที่ทันต่อสถานการณ์และเสริมสร้างระบบบริการสุขภาพที่เข้มแข็ง
ภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสุขภาพ และภาคประชาชนในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลสุขภาพของตนเอง ประเทศไทยก็จะมีโอกาสสูงที่จะพลิกโฉมระบบสาธารณสุข พร้อมๆ กับสร้างเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน







