เช็กเลย! อารมณ์แบบไหน? ส่งผลต่อสุขภาพ เกิดโรคโดยไม่รู้ตัว

เช็กเลย! อารมณ์แบบไหน? ส่งผลต่อสุขภาพ เกิดโรคโดยไม่รู้ตัว

ทุกๆ วัน คนเรามักจะแสดงอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งอารมณ์ดีใจ เศร้าใจ เสียใจ หดหู่ โกรธ วิตกกังวล ซึ่งอารมณ์ล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งทางกายและจิตใจ

KEY

POINTS

  • "อารมณ์" สิ่งที่ทุกคนต่างเผชิญ ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายใน พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ ที่จะนำไปสู่พฤติกรรมนั้น
  • 5 กลุ่มอารมณ์ ดีใจ,โกรธ ,วิตก – กังวล ,เศร้าโศก – เสียใจ และกลัว – ตกใจ ทำให้เกิดโรคแตกต่างกันออกไป
  • อารมณ์มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน การสร้างสุขภาวะอารมณ์ที่ดีเป็นสิ่งที่ทุกคนสมารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่เริ่มจากตัวเราเอง 

ทุกๆ วัน คนเรามักจะแสดงอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งดีใจ เศร้าใจ เสียใจ หดหู่ โกรธ วิตกกังวล ซึ่งอารมณ์ล้วนส่งผลกระทบต่อร่างกายทั้งทางกายและจิตใจ โดยอารมณ์ลบเรื้อรัง เช่น ความเครียด วิตกกังวล และเศร้า สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคทางเดินอาหาร ปวดศีรษะ และภาวะอ่อนเพลีย ในทางตรงกันข้าม การมีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดีสามารถเสริมสร้างสุขภาพกายและจิตใจให้แข็งแรงขึ้น

"อารมณ์" เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายแต่ควบคุมได้ยาก ซึ่ง "อารมณ์" เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของสมองและร่างกายที่ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นทั้งภายนอกและภายใน โดยสมองจะตีความการรับรู้ทางกายภาพ (เช่น หัวใจเต้นเร็ว) และประสบการณ์ในอดีต เพื่อสร้างความรู้สึกเฉพาะเจาะจง ซึ่งการตีความนี้จะส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาทางสรีรวิทยา เช่น การเต้นของหัวใจ หรือการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิต และแสดงออกเป็นพฤติกรรมภายนอก เช่น การยิ้มหรือการร้องไห้ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ป่วยใจ ป่วยจิต ระดับไหน? อย่าปล่อยไว้ ต้องรีบพบแพทย์ ก่อนสาย

‘ความฉลาดทางอารมณ์’ ยิ่งมีมากในที่ทำงาน ยิ่งลดความเครียดให้พนักงานได้

ความเชื่อมโยงระหว่างอารมณ์ ความรู้สึก และภูมิคุ้มกัน

สุขภาพจิตและความเป็นอยู่ทางอารมณ์มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมของคุณ งานวิจัยที่เพิ่มมากขึ้นชี้ให้เห็นว่าอารมณ์ของคุณส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันของร่างกาย และในทางกลับกัน ระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่สมดุลหรือถูกกดทับสามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออารมณ์และพฤติกรรมของบุคคล

สาขาวิชาจิตประสาทวิทยาภูมิคุ้มกันวิทยาสำรวจการสื่อสารที่ซับซ้อนระหว่างสมอง ระบบประสาท ระบบต่อมไร้ท่อ และระบบภูมิคุ้มกัน วิทยาศาสตร์สหวิทยาการนี้ศึกษาว่าระบบเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์และมีอิทธิพลต่อกันอย่างไร ซึ่งส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต โดยการทำความเข้าใจความเชื่อมโยงเหล่านี้ นักวิจัยมุ่งหวังที่จะค้นพบว่าความเครียด อารมณ์ และสภาวะทางจิตใจสามารถส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวมได้อย่างไร

อารมณ์เชิงบวกและเชิงลบส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน

แม้ว่านักวิจัยยังคงทำงานเพื่อทำความเข้าใจความซับซ้อนเบื้องหลังปฏิสัมพันธ์เหล่านี้อย่างเต็มที่ แต่หลักฐานก็ชัดเจน: อารมณ์เชิงบวกสามารถเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้ ในขณะที่อารมณ์เชิงลบสามารถกดภูมิคุ้มกันได้

ยกตัวอย่างเช่น ความคิดวิตกกังวลสามารถลดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันได้ภายในเวลาเพียง 30 นาที และความเครียดเรื้อรังอาจทำลายระบบภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติของร่างกาย ทำให้คุณเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยมากขึ้น ในขณะเดียวกัน การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่มีความหมายสามารถลดความเครียดและส่งเสริมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่ดีได้3,4,5

เมื่อคุณมีอารมณ์ใด ๆ ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะรับรู้การเปลี่ยนแปลงนั้นและตอบสนองทันที ตัวอย่างเช่น เสียงหัวเราะสามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนและการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันที่หมุนเวียนอยู่ทั่วร่างกายของคุณได้ทันที ในทำนองเดียวกัน อารมณ์เช่นการร้องไห้และความโกรธก็กระตุ้นให้เกิดการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันทันทีเช่นกัน6

  • อารมณ์เชิงบวก เช่น ความสุขและความปิติยินดี กระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เป็นที่ทราบกันดีว่าสารเอนดอร์ฟินช่วยลดความเครียดและการอักเสบ ส่งเสริมการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันที่สมดุลมากขึ้น
  • อารมณ์เชิงลบ เช่น ความเศร้าและความโกรธ กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เช่น คอร์ติซอล ซึ่งสามารถกดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ระดับคอร์ติซอลที่สูงเป็นที่ทราบกันดีว่าจะเพิ่มการอักเสบและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง7

การฝึกปฏิบัติ เช่น การทำสมาธิแบบมีสติและโยคะ สามารถลดความเครียด ลดระดับคอร์ติซอล และเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่มการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันสำคัญๆ การลดความเครียดยังช่วยต่อสู้กับการอักเสบ เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม ความเป็นอยู่ที่ดี และระบบภูมิคุ้มกันที่สมดุล

แต่ละอารมณ์มีผลต่อร่างกาย ต่อโรคต่างกัน

เรื่องของอารมณ์ทั้ง 7 กับการเกิดโรค โดยอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ ประกอบด้วยอารมณ์ 7 อย่างด้วยกัน คือ (1)ดีใจ (2)โกรธ (3)วิตก (4)กังวล (5)เศร้า (6)กลัว (7)ตกใจ

เนื่องจากอารมณ์วิตกกับอารมณ์กังวลมีลักษณะใกล้เคียงกัน และอารมณ์กลัวกับอารมณ์ตกใจก็มีลักษณะใกล้เคียงกัน จึงจัดไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน เหลือเป็นอารมณ์ทั้ง 5 ซึ่งอารมณ์ทั้ง 7 นับเป็นสาเหตุก่อโรคที่เป็นเหตุปัจจัยจากภายในร่างกาย การได้รับผลกระทบจากอารมณ์ใดที่มากเกินไปและนานเกินไป จะทำให้เกิดโรคกับอวัยวะภายในและเส้นลมปราณได้

  • อารมณ์ดีใจ เป็นอารมณ์กระตุ้นในด้านบวก เป็นไปในทางให้ประโยชน์แก่ร่างกาย
  • อารมณ์โกรธ เศร้าโศก เสียใจ กลัว ตกใจ เป็นอารมณ์กระตุ้นในด้านลบ เป็นไปในทางให้โทษกับร่างกาย
  • อารมณ์ครุ่นคิด วิตกกังวลเป็นอารมณ์พื้นฐานของการเคลื่อนไหวของอารมณ์ การใช้ความคิดอย่างมีสติ มีปัญญา และสอดคล้องกับความเป็นจริงทางภาวะวิสัย จะมีทางออกทำให้อารมณ์ถูกเปลี่ยนแปลงรุนแรงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป

ในแต่ละอารมณ์เป็นทั้งด้านบวกและด้านลบ จึงทำให้ส่งผลต่อร่างกายและต่อโรคที่แตกต่างกันออกไปดังนี้ 

  • อารมณ์ดีใจ

เกี่ยวข้องกับหัวใจลำไส้เล็ก โบราณกล่าวว่า “ดีใจเกินไปทำลายหัวใจทำให้เลือดไหลเวียนช้า” หัวใจมีหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนเลือด ภาวะที่มีอารมณ์ดีใจ มีความสุข การไหลเวียนของพลังและเลือดจะไหลเวียนช้า ไม่ถูกเร่งเร้า มีการคลายตัวของกล้ามเนื้อลดความเครียด เกิดความกระชุ่มกระชวย แต่ถ้าดีใจมากเกินไปจะทำให้จิตใจไม่รวมศูนย์ขาดสมาธิ ควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ประเดี๋ยวหัวเราะประเดี๋ยวร้องไห้ ขาดความสงบ ฟุ้งซ่าน หรือมีอารมณ์คลุ้มคลั่งวิปริตไป

  • อารมณ์โกรธ

เกี่ยวข้องกับตับ – ถุงน้ำดี โบราณกล่าวว่า “โกรธมากเกินไปทำลายตับ ทำให้พลังวิ่งย้อนสู่เบื้องบน” เมื่อพลังตับย้อนสู่เบื้องบน คือ ภาวะไฟตับสูง ทำให้มีอาการหงุดหงิด ปวดศีรษะ ตามัว ปวดตา ตาบวม ความดันเลือดสูง ถ้าเป็นมากจะทำให้ปวดศีรษะรุนแรงและมีอาการวูบหมดสติ เป็นอัมพาต (ตรงกับโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและแตก) นอกจากนี้ยังทำให้ปวดชายโครง คัดแน่นเต้านมหรือมีก้อน ประจำเดือนมาผิดปกติ รู้สึกเหมือนมีก้อนในคอ แน่นท้อง บางรายมีอาเจียนเป็นเลือด คลื่นไส้อาเจียน ตัวอย่างที่พบบ่อย คือ ผู้หญิงใกล้มีประจำเดือน ถ้ามีความผิดปกติของอารมณ์เป็นพื้นฐาน เช่น หงุดหงิดง่าย โกรธง่าย จะมีอาการมากขึ้น และกระทบกระเทือนไปยังอวัยวะภายใน คือ ตับ ถุงน้ำดี ทำให้มีอาการปวดแน่น คัดเต้านม หรือมีก้อนที่เต้านม ซึ่งทำให้อยากกินอาหารรสเปรี้ยว (วิ่งเส้นตับ)

  • อารมณ์วิตก – กังวล

เกี่ยวกับม้าม – กระเพาะอาหาร โบราณกล่าวว่า “วิตกกังวล ทำลายม้าม ทำให้พลังถูกอุดกั้น” การใช้ความคิดมากเกินไป คิดไม่ถูก คิดไม่เป็น คิดแล้วไม่มีทางออกที่ดี ทำให้เกิดอารมณ์อื่นๆ ตามมา ความวิตกกังวลเกินเหตุมีผลต่อระบบการย่อยดูดซึมอาหาร (แผนปัจจุบันเรียกว่า เครียดลงกระเพาะอาหาร) ทำให้เบื่ออาหารท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นท้อง เป็นแผลในกระเพาะอาหาร ถ่ายเหลว ฯลฯ ถ้าเป็นเรื้อรัง จะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ความจำเสื่อม นอนไม่หลับ ฝันบ่อย ฯลฯ อันเป็นผลจากากรอุดกั้นของพลังขัดขวางการย่อยดูดซึมอาหาร และการพร่องของเลือดและพลังที่ไปเลี้ยงสมอง

  • อารมณ์เศร้าโศก – เสียใจ

เกี่ยวกับปอด – ลำไส้ใหญ่ โบราณกล่าวว่า “เสียใจเกินไปทำลายปอด ทำให้พลังสูญหาย” การเศร้าโศกเสียใจมากและเรื้อรังจะทำให้พลังการไหลเวียนปอดอุดกั้นและถูกทำลาย ผู้ป่วยจะรู้สึกหดหู่ อ่อนเพลีย หมดเรี่ยวแรงเหนื่อยง่าย

  • อารมณ์กลัว – ตกใจ

เกี่ยวกับไต – กระเพาะปัสสาวะ โบราณกล่าวว่า “กลัว ตกใจ เกินควรทำลายไต ทำให้พลังแปรปรวน พลังย้อนลงด้านล่าง” อารมณ์กลัว ตกใจเกินควรทำให้พลังที่เกี่ยวกับการพยุง เหนี่ยวรั้งลดน้อยลงทำให้ปัสสาวะอุจจาระอั้นไม่อยู่ (ตกใจจนฉี่ราด) ขา ๒ ข้างอ่อนแรง ฝันเปียก ภาวะจิตใจสับสน แปรปรวน พูดจาเพ้อเจ้อ พฤติกรรมผิดปกติ

อารมณ์ไม่ดี เครียดเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายอักเสบ

แม้ว่าอารมณ์จะรุนแรงและอยู่ได้ไม่นาน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาในร่างกายทันที แต่โดยทั่วไปแล้ว อารมณ์จะคงอยู่ยาวนานกว่าและรุนแรงน้อยกว่า โดยมักจะกำหนดสภาพจิตใจโดยรวมของเรา และมีอิทธิพลต่อการรับรู้และพฤติกรรมของเราในช่วงระยะเวลาอันยาวนาน

กล่าวได้ว่าอารมณ์ของคุณสามารถส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อระบบภูมิคุ้มกันผ่านกลไกต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลไกที่เกี่ยวข้องกับความเครียดเป็นเวลานานและผลกระทบทางสรีรวิทยา แม้ว่าอารมณ์เชิงลบจะสามารถเพิ่มการผลิตฮอร์โมนความเครียดได้ แต่ความเครียดเรื้อรังสามารถนำไปสู่การอักเสบเรื้อรังในร่างกาย ซึ่งอาจทำให้ความสามารถของระบบภูมิคุ้มกันในการตอบสนองมีประสิทธิภาพลดลง

อารมณ์ของคุณยังสามารถมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพภูมิคุ้มกันของคุณด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีอารมณ์ดีมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ในทางกลับกัน อารมณ์เชิงลบอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดี การขาดการออกกำลังกาย และการนอนหลับไม่เพียงพอ ซึ่งยิ่งทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง

สุขภาวะทางอารมณ์ที่ดีสร้างได้ง่ายๆ 

สุขภาวะทางอารมณ์เป็นทักษะที่ทุกคนสามารถฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นได้ โดยมีเคล็ดลับสร้างสุขภาวะทางอารมณ์อยู่ด้วยกัน 6 ข้อ ดังต่อไปนี้

1. สร้างพฤติกรรมล้มแล้วลุกเป็น (build resilience)

เพราะชีวิตล้วนมีทั้งขึ้นและลง ผู้ที่มีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดีจะสามารถฟื้นตัวจากความล้มเหลว ลุกขึ้นจากความผิดพลาดได้อย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง โดยพฤติกรรมล้มแล้วลุกเป็นสามารถฝึกฝนได้ ดังนี้

  • รู้จักรักษาสุขภาพร่างกาย
  • ให้เวลากับตัวเองบ้างในแต่ละวัน
  • หัดมองปัญหาจากมุมมองอื่น ๆ
  • เรียนรู้จากความผิดพลาด
  • หมั่นแสดงความขอบคุณ
  • ลองพิจารณาความเชื่อ ความหมาย และเป้าหมายของชีวิต

2. รู้จักผ่อนคลายปล่อยวาง (reduce stress)

เพราะเราต้องพบเจอกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด ความเครียดช่วยกระตุ้นให้เราตื่นตัว รู้สึกมีพลังในช่วงเวลาที่จำเป็น แต่ความเครียดที่ต่อเนื่องยาวนาน กลายเป็นสะสมเรื้อรังกลับจะส่งผลเสียต่อทั้งจิตใจ สมอง และร่างกาย การมีสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดีจึงต้องอาศัยการฝึกผ่อนคลายความเครียด ดังต่อไปนี้     

  • นอนให้พอ
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รู้จักเรียงลำดับความสำคัญ อะไรทำก่อน อะไรทำทีหลัง
  • อย่ากดดันตัวเองจนเกินไป ฝึกให้กำลังใจ และอ่อนโยนกับตัวเอง
  • ค้นหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะกับเรา
  • กล้าที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ

3. ให้ความสำคัญกับการนอนอย่างมีคุณภาพ (get quality sleep)

เพราะมีอะไรหลายอย่างที่เราต้องทำในแต่ละวัน ช่วงเวลาที่จะได้นอนหลับพักผ่อนจึงดูจะน้อยลง แต่การนอนหลับสำคัญอย่างมากต่อสุขภาพจิต และสมองของเรา เมื่อเราอดนอน สมองก็จะเหนื่อยล้า การคิดอ่าน การรับรู้เท่าทันอารมณ์ก็ถดถอย การสร้างสุขภาวะทางอารมณ์ที่ดีจึงต้องมีการนอนที่ได้คุณภาพ ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ ดังต่อไปนี้

  • มีวินัยในการนอน ให้เวลาเข้านอนและตื่นนอนเป็นเวลาเดิม ๆ ในทุกวัน
  • จัดห้องนอนให้มืดและเงียบสงบ
  • อย่าลืมออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะทำให้คุณภาพการนอนดีขึ้น
  • ใช้หน้าจออย่างพอดี ไม่ดูทีวีหรือเล่นมือถือมากจนรบกวนการนอน
  • ฝึกผ่อนคลายก่อนการนอนหลับ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือชากาแฟ ในช่วงก่อนเข้านอน
  • หากฝึกฝนตามข้อแนะนำข้างต้นแล้ว การนอนหลับไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์

4. มีสติให้ใจอยู่กับปัจจุบัน (be mindful)

เพราะการมีสติอยู่กับปัจจุบันช่วยให้เราสามารถรับรู้และเท่าทันต่ออารมณ์และความรู้สึกภายในของตนเอง ผู้อื่น และสิ่งต่าง ๆ รอบตัว การมีสติทำให้การรับรู้มีความละเอียดเท่าทันต่อปัจจุบัน การฝึกสติต้องอาศัยการฝึกฝนซึ่งสามารถเริ่มต้นได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • หายใจเข้าลึก ๆ ให้รู้สึกได้ถึงลมเย็นที่ไหลผ่านรูจมูก แล้วนับในใจช้า ๆ 1, 2, 3, 4 จากนั้นหยุดไว้หนึ่งวินาที แล้วหายใจออกทางปากอย่างช้า ๆ นับในใจเช่นกัน 1, 2, 3, 4, 5 ฝึกทำซ้ำบ่อย ๆ จนสามารถรู้สึกถึงลมหายใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ
  • ลองออกไปเดินเล่นอย่างค่อย ๆ ใส่ใจพิจารณาธรรมชาติแวดล้อมรอบตัว กลิ่น แสงสี วิวทิวทัศน์ ลมที่พัดมากระทบ
  • รับประทานอาหารอย่างมีสติ ใส่ใจรับรู้รสชาติของทุก ๆ คำที่กำลังเคี้ยว และรู้ตัวเมื่ออิ่มอย่างพอดี
  • ลองฝึกรับรู้ความรู้สึกของร่างกาย ทำความรู้จักร่างกายตนเองจากความรู้สึกภายใน ค่อย ๆ พิจารณาความรู้สึกไปทีละส่วน ๆ ของร่างกาย
  • ลองค้นหาแหล่งเรียนรู้วิธีฝึกสติแบบอื่น ๆ ที่เหมาะกับเรา

5. ทำใจรับมือกับการสูญเสียอย่างเข้าใจ (cope with loss)

เพราะการสูญเสียเป็นเรื่องธรรมชาติ เมื่อมีคนที่เรารักจากไป ย่อมมีความโศกเศร้าเสียใจเกิดขึ้น เราสามารถเรียนรู้วิธีรับมือกับอารมณ์ความสูญเสียได้ดังต่อไปนี้

  • ใส่ใจดูแลตนเอง
  • พูดคุยกับเพื่อนที่ให้ความห่วงใย
  • อย่าเพิ่งผลีผลามตัดสินใจอะไรในทันที
  • เข้าร่วมกลุ่มผู้ที่ประสบความสูญเสียเพื่อช่วยเหลือกันและกัน
  • ลองพิจารณาเข้ารับการปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ
  • หากประสบปัญหากับการใช้ชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์
  • ทำใจยอมรับ และอดทนกับความรู้สึกสูญเสีย และเมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกทางใจเราจะค่อย ๆ ดีขึ้น

6. สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสังคมรอบตัว (strengthen social connections)

เพราะงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ค้นพบแล้วว่าความสัมพันธ์ที่ดีเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลอย่างมากต่อทั้งสุขภาพกายจิตใจ และสมอง การมีความสัมพันธ์ที่ดีจึงช่วยส่งเสริมให้มีอายุที่ยืนยาว ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับคู่ชีวิต คนในครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนบ้าน และคนในสังคม ล้วนเกี่ยวเนื่องถึงกัน ซึ่งสามารถเสริมสร้างได้ดังนี้

  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกหลาน
  • สร้างนิสัยกระฉับกระเฉงให้กับตัวเอง ครอบครัว และเพื่อนใกล้ชิด
  • หากคุณต้องคอยดูแลสมาชิกอีกคนในครอบครัว ลองขอความช่วยเหลือจากคนอื่นดูบ้าง อย่าแบกรับทุกอย่างไว้คนเดียว
  • เข้าชมรมร่วมกลุ่มทำงานอดิเรกหรือกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน เช่น วาดรูป หมากรุก เปตอง เป็นต้น
  • ลองเข้าคลาสเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
  • ทำงานอาสาช่วยเหลือสังคมในด้านที่เราให้ความสำคัญ เช่น โรงเรียน ห้องสมุด ผักสวนครัวในชุมชน หรือการทำนุบำรุงศาสนสถาน
  • ลองออกเดินทางท่องเที่ยว พบเจอผู้คน ทำความรู้จักเพื่อนใหม่บ้าง

ความเชื่อมโยงที่ซับซ้อนระหว่างอารมณ์ ความรู้สึก และภูมิคุ้มกัน ตอกย้ำถึงความสำคัญของแนวทางแบบองค์รวมเพื่อสุขภาพโดยรวมของเรา การดูแลสุขภาพจิตด้วยการจัดการความเครียด การออกกำลังกาย โภชนาการที่เหมาะสม และการสนับสนุนทางสังคม สามารถเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้อย่างมีนัยสำคัญ

อ้างอิง: Immuse ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) , MQDC