ป่วยโรคไหน? ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม'กาแฟ' อันตรายต่อสุขภาพ

ป่วยโรคไหน? ควรหลีกเลี่ยงการดื่ม'กาแฟ' อันตรายต่อสุขภาพ

เครื่องดื่มยอดฮิตของใครหลายๆ คน คงไม่พ้น “กาแฟ” ทว่าการดื่มกาแฟนั้น หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และเป็น “กาแฟดำ”

KEY

POINTS

  • "กาแฟ" เป็นเครื่องดื่มประจำวันของใครหลายๆคนที่พลาดไม่ได้ แต่การดื่มกาแฟมีทั้งประโยชน์และโทษ ดังนั้น ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 300-400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือประมาณ 1-2 แก้ว) 
  • ถ้าป่วยเป็น 7 โรคนี้ควรหยุด หรือเลี่ยงการดื่มกาแฟ โดยเฉพาะกาแฟใส่นม หรือหวาน 100% เพราะนั้นอาจจะอันตรายต่อสุขภาพได้ 
  • การดื่มกาแฟควรต้องคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากดื่มอย่างผิดวิธีก็อาจให้โทษกับร่างกายได้

เครื่องดื่มยอดฮิตของใครหลายๆ คน คงไม่พ้น “กาแฟ” ทว่าการดื่มกาแฟนั้น หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสม และเป็น “กาแฟดำ” ไม่ได้ใส่นม หรือน้ำตาล ย่อมไม่มีผลต่อสุขภาพ แต่หากจัดเต็มทั้งนม น้ำตาล หวาน 100% อันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่หวานจัดมักมีปริมาณน้ำตาลสูง ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายได้

หลายๆ คนอาจจะดื่มเป็นเครื่องดื่มประจำในตอนเช้า ระหว่างวัน หรือระหว่างมื้ออาหาร ก็แล้วแต่ความชอบ รวมถึงรสชาติของกาแฟที่แตกต่างกันไป ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากาแฟเป็นเครื่องดื่มที่มาพร้อมกับรสชาติที่ อร่อย เข้มข้น กลมกล่อม และสามารถนำมาประยุกต์เป็นเมนูสร้างสรรค์ได้หลากหลาย แต่ในคนที่มีโรคประจำตัวก็ไม่เหมาะ เพราะจะไปกระตุ้นโรคให้มีอาการแย่ลง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

คนไทยดื่มกาแฟทะลุ 340 แก้วต่อปี ดันธุรกิจกาแฟโตสวนเศรษฐกิจ

คอกาแฟเช็กด่วน! ดื่มวันละ 2-3 แก้ว พอดีหรือเกินขีดจำกัดวัยทำงาน?

7 โรคที่ควรหยุด เลี่ยงการดื่ม 'กาแฟ'

การดื่มกาแฟดำ แม้จะดีต่อสุขภาพ แต่ในความเป็นจริง ผู้ป่วยที่เป็นโรคเหล่านี้ ควรหลีกเลี่ยง หรือหยุดการดื่มกาแฟ เพราะยิ่งดื่ม อาจจะส่งผลร่ายต่อร่างกาย ทวีความรุนแรงของโรค เริ่มด้วย 

1.โรคนอนไม่หลับ

การนอนถือได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญของการดำรงชีวิต เพราะการนอนนั้นส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต หากเรานอนหลับพักผ่อนได้ดี ร่างกายย่อมมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง สดชื่นแจ่มใส ไม่หงุดหงิดง่าย ในทางกลับกันหากเกิดปัญหาในการนอนเช่น นอนไม่หลับ, นอนกรน หรือนอนหลับไม่สนิท ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอื่นๆตามมา ซึ่งผลกระทบในระยะสั้นนี้อาจก่อให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ขาดสมาธิในการทำงาน ทำให้ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และหากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็จะส่งผลต่อสุขภาพทำให้เจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆได้ง่าย

การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน อย่าง ชาและกาแฟ รวมถึงน้ำอัดลมบางประเภท และเครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการนอนไม่หลับ เพราะคาเฟอีนในเครื่องดื่มจะไปกระตุ้นสมอง ทำให้ไม่รู้สึกง่วง หฉะนั้นก่อนดื่มเครื่องดื่มประเภทใดควรศึกษาให้แน่ใจเสียก่อนว่าเครื่องดื่มประเภทนั้นไม่ได้มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ

สำหรับระยะเวลาในการขจัดคาเฟอีนออกจากร่างกายนั้น จะพบได้ว่า ผู้ที่อายุน้อยร่างกายอาจใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการขจัดคาเฟอีน ขณะที่ผู้สูงอายุจะใช้เวลามากกว่าหลายชั่วโมง ในบางคนอาจใช้เวลามากถึงสิบชั่วโมงเพื่อทำการขจัดคาเฟอีน ดังนั้นการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในช่วงบ่าย หรือในเวลาเย็นก็อาจส่งผลให้นอนหลับยาก หรือไม่สนิทได้เช่นกัน

2.โรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมอาการไม่ได้

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมอาการไม่ได้ ไม่ควร ดื่มกาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เพราะคาเฟอีน อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้อีก โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำหรือมีภาวะความดันโลหิตสูงรุนแรงควรหลีกเลี่ยง การดื่มกาแฟเป็นประจำอาจมีผลกระทบต่างกันไปในแต่ละบุคคล และความไวต่อคาเฟอีนของแต่ละคนก็แตกต่างกันด้วย 

ผลกระทบในผู้ที่ไม่ได้ดื่มประจำ: หากคุณไม่ได้ดื่มกาแฟเป็นประจำ การดื่มกาแฟเพียงแก้วเดียวก็อาจทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้นานถึง 12 ชั่วโมง

ผลกระทบในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงรุนแรง: มีผลการวิจัยที่ชี้ว่าผู้ที่มีความดันโลหิตสูงรุนแรงที่ดื่มกาแฟปริมาณมากอาจมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น

อาจทำให้อาการแย่ลง: หากคุณมีอาการ เช่น วิตกกังวล หัวใจเต้นเร็ว หรือใจสั่นหลังจากดื่มกาแฟ ควรหลีกเลี่ยง

  • ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง

ปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสภาวะร่างกายของแต่ละบุคคล

ควบคุมปริมาณ: หากตัดสินใจที่จะดื่ม ควรดื่มในปริมาณที่น้อยและติดตามผล

หลีกเลี่ยงก่อนกิจกรรม: ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงเยอะ

ใส่ใจส่วนผสมอื่น: ควรระวังส่วนผสมอื่นๆ ที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ครีมเทียม น้ำตาล หรือนมข้นหวาน

สังเกตอาการตัวเอง: สังเกตปฏิกิริยาของร่างกายหลังจากดื่มกาแฟ และหากรู้สึกไม่สบาย ควรลดปริมาณหรือหยุดดื่ม

3.โรคไขมันในเลือดสูง

ในกาแฟมีสารที่อยู่ในกลุ่มไดเทอร์พีน (Diterpenes) ซึ่งสารดังกล่าว ส่งผลให้คอเลสเตอรอลโดยรวม LDL  และไตรกลีเซอไรด์เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้นคนที่มีภาวะไขมันในเลือดสูงควรเลี่ยงการดื่มกาแฟสดหรือกาแฟต้มที่ไม่ผ่านการกรอง เพราะอาจทำให้ร่างกายคุมระดับไขมันในเลือดได้ไม่ดี

  • สาเหตุที่กาแฟบางชนิดไม่ควรดื่มสำหรับผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง

สารไดเทอร์พีน: กาแฟสดหรือกาแฟต้มที่ไม่ผ่านการกรองจะมีสารไดเทอร์พีน (เช่น คาเฟสตอล และคาฮ์เวอล) ซึ่งสามารถเพิ่มคอเลสเตอรอลโดยรวม, LDL และไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

ปริมาณและวิธีการชง: วิธีการชงกาแฟมีผลอย่างมาก กาแฟที่ชงด้วยกระดาษกรองจะกรองสารไดเทอร์พีนออกไปได้ส่วนใหญ่

ส่วนผสมอื่นๆ: การเติมครีมเทียม, นมข้นหวาน, หรือนมข้นมีส่วนทำให้แคลอรีและไขมันสูงขึ้น ซึ่งไม่ดีต่อผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง

  • คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูง

หลีกเลี่ยงกาแฟที่ไม่ผ่านการกรอง: เช่น กาแฟสด, กาแฟต้มที่ไม่มีการกรอง, หรือกาแฟเอสเพรสโซที่ชงแบบบางวิธี

เลือกกาแฟที่ผ่านการกรอง: เช่น กาแฟดริป, กาแฟดำ, หรือกาแฟที่ชงด้วยเครื่องที่กรองไขมันออกไปแล้ว

จำกัดปริมาณ: ไม่ควรดื่มกาแฟในปริมาณมากเกินไป

4.โรคกระดูกพรุน

กระดูกพรุนเป็นโรคที่ไม่มีสัญญาณเตือน แล้วรู้ไหมว่าเครื่องดื่มที่เราดื่มกันเป็นประจำ อาจเป็นตัวการทำลายกระดูกโดยที่เราไม่รู้ตัว

กาแฟก็เป็นเครื่องดื่มที่หลายคนขาดไม่ได้นะ เรียกว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ก็ได้ บางคนไม่ได้กินกาแฟ ก็คือไม่มีแรงทำงาน แต่ถ้าดื่มมากเกินไป อาจส่งผลกระทบต่อมวลกระดูกโดยตรง

ซึ่งในกาแฟมีคาเฟอีน และมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ซึ่งมันอาจจะเพิ่มการขับแคลเซียมออกทางไตได้ ถ้าเราดื่มกาแฟมากเกินไปและไม่ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ กระดูกของเราจะสูญเสียแร่ธาตุสำคัญและไม่แข็งแรง และนอกจากจะเร่งการขับแคลเซียมออกแล้ว คาเฟอีนยังรบกวนการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ทำให้ร่างกายได้รับแคลเซียมน้อยลง ส่งผลให้กระดูกบางลงเรื่อย ๆ

แนะนำว่า ไม่ควรดื่มกาแฟเกิน 2-3 แก้วต่อวัน และเสริมแคลเซียมจากแหล่งอาหาร เช่น นม ปลาตัวเล็ก หรือผักใบเขียว เพื่อลดผลกระทบต่อกระดูกนะครับ

5.โรคขาดวิตามินบี 1

โรคนี้มักจะมาพร้อมกับอาการเหน็บชาบริเวณต่าง ๆ แต่จริง ๆ แล้วอาการเหน็บชาก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นโรคนี้เสมอไป หลาย ๆ โรคก็มีอาการเหน็บชาได้เหมือนกัน ใครที่สงสัยว่าตนเองเป็นโรคอะไรควรไปตรวจที่โรงพยาบาลให้แน่ชัด

ถ้ามีภาวะขาดวิตามินบี 1 ควรงดดื่มกาแฟไปเลย เพราะกาแฟจะเข้าไปลดการดูดซึมวิตามินบี 1 และยังกระตุ้นการขับวิตามินบี 1 ออกทางปัสสาวะอีกด้วย ทำให้ระดับวิตามินบี 1 ในเลือดลดลง ซึ่งจะส่งผลให้มีปัญหาหลอดเลือด ระบบสมอง ประสาท และหัวใจตามมา

6.โรคต้อหิน

การลดหรือหยุดดื่มกาแฟอาจส่งผลต่อโรคต้อหิน เนื่องจากคาเฟอีนอาจทำให้ความดันลูกตา (IOP) เพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคต้อหิน อย่างไรก็ตาม ผลกระทบอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความเสี่ยงทางพันธุกรรม ความไวต่อคาเฟอีน และสุขภาพดวงตาโดยรวม

การทำความเข้าใจบทบาทของคาเฟอีนต่อสุขภาพดวงตาของคุณแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านสายตาเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะบุคคลตามความต้องการของคุณ

“โรคต้อหิน” เป็นโรคตาที่ทำลายเส้นประสาทตา ซึ่งสำคัญต่อการส่งข้อมูลภาพจากดวงตาไปยังสมอง ความเสียหายนี้มักเกิดจากความดันลูกตาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อความดันลูกตาเพิ่มขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป ต้อหินที่ไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรหรือตาบอดได้

แม้ว่าโรคต้อหินจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับความดันลูกตาสูงเสมอไป แต่การจัดการความดันลูกตายังคงเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันความเสียหายของเส้นประสาทตา

คาเฟอีน ซึ่งเป็นสารกระตุ้นตามธรรมชาติที่พบในกาแฟ ชา และเครื่องดื่มชูกำลังหลายชนิด สามารถส่งผลต่อความดันตาโดยทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้นชั่วคราว ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคาเฟอีนอาจส่งผลต่อระบบระบายน้ำในลูกตา ทำให้การหลั่งของสารน้ำหล่อเลี้ยงลูกตา (aqueous humor) ซึ่งเป็นของเหลวภายในลูกตาส่วนหน้าที่ควบคุมความดันลูกตาช้าลง เมื่อเวลาผ่านไป ความดันลูกตาที่สูงเกินไปอาจสร้างความเครียดให้กับเส้นประสาทตา นำไปสู่ความเสี่ยงต่อโรคต้อหินที่สูงขึ้น

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่กล่าวถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการบริโภคคาเฟอีนมากเกินไปเช่น การมองเห็นพร่ามัวหรือตาแห้ง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ส่งผลต่อความสบายตาโดยรวม แม้ว่าผลกระทบเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่อาจรุนแรงมากขึ้นในผู้ที่มีภาวะทางตาอยู่ก่อนแล้ว เช่น ต้อหิน

7.โรคเบาหวาน

เนื่องจากกาแฟมีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น โดยเฉพาะคนที่เป็นเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ ควรเลี่ยงดื่มดีกว่า

  • กาแฟส่งผลต่อน้ำตาลในเลือดอย่างไร?

ผลกระทบของกาแฟต่อระดับน้ำตาลในเลือดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ต่อไปนี้คือผลกระทบของกาแฟต่อระดับน้ำตาลในเลือด:

ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น:คาเฟอีนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น โดยกระตุ้นการหลั่งอะดรีนาลีน ซึ่งสามารถกระตุ้นให้ตับปล่อยกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น ผลกระทบนี้อาจเด่นชัดมากขึ้นในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2

ความไวต่ออินซูลิน:การวิจัยบางกรณีแสดงให้เห็นว่าการดื่มกาแฟเป็นประจำอาจช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลินในระยะยาว ทำให้ร่างกายควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ง่ายขึ้น

ความแปรปรวนในแต่ละบุคคล:ผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีปฏิกิริยาต่อกาแฟแตกต่างกัน บางคนอาจพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นหลังจากดื่มกาแฟ ในขณะที่บางคนอาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของกาแฟ วิธีการชง และสุขภาพส่วนบุคคล ล้วนมีบทบาทสำคัญ

ประเภทของกาแฟ:วิธีการชงกาแฟก็มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การเติมน้ำตาลหรือครีมสามารถเพิ่มปริมาณแคลอรีที่ได้รับและส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ในทางกลับกัน กาแฟดำ (ที่ไม่เติมน้ำตาลหรือครีม) มักจะมีแคลอรีและคาร์โบไฮเดรตต่ำ

เวลาและขนาดรับประทาน:เวลาและขนาดรับประทานกาแฟก็มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดเช่นกัน การดื่มกาแฟขณะท้องว่างอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการดื่มกาแฟพร้อมอาหาร

  • กาแฟปลอดภัยสำหรับโรคเบาหวาน

ความพอเหมาะคือกุญแจสำคัญ:งานวิจัยส่วนใหญ่ระบุว่าการดื่มกาแฟในปริมาณพอเหมาะ ซึ่งโดยทั่วไปคือ 1-2 แก้วต่อวัน ถือว่าปลอดภัยสำหรับคอกาแฟ และผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ปริมาณกาแฟที่พอเหมาะอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ดังนั้นการรับฟังร่างกายของคุณจึงเป็นสิ่งสำคัญ

ประโยชน์ที่อาจได้รับ:งานวิจัยบางชิ้นเชื่อมโยงการดื่มกาแฟเป็นประจำกับความเสี่ยงที่ลดลงของการเกิดโรคเบาหวานประเภท 2 สารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบในกาแฟอาจมีส่วนทำให้เกิดผลดังกล่าว

ความแตกต่างของแต่ละบุคคล:ปฏิกิริยาของแต่ละคนต่อกาแฟอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น พันธุกรรม อาหารโดยรวม และภาวะสุขภาพที่เป็นอยู่ ผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดขณะดื่มกาแฟ เพื่อดูว่ากาแฟส่งผลต่อตนเองอย่างไร

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ:หากคุณไม่แน่ใจว่ากาแฟจะเข้ากับแผนการจัดการโรคเบาหวานของคุณได้อย่างไร ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เช่น นักโภชนาการที่ได้รับการรับรองหรือแพทย์ของคุณ พวกเขาสามารถให้คำแนะนำเฉพาะบุคคลตามความต้องการด้านสุขภาพของคุณได้

ระวังสารปรุงแต่ง:เมื่อดื่มกาแฟ ควรใส่ใจกับสิ่งที่คุณเติมลงไป ครีมเทียม น้ำเชื่อมปรุงแต่งรส และน้ำตาล สามารถเพิ่มแคลอรีและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ควรเลือกดื่มกาแฟดำหรือกาแฟที่มีแคลอรีต่ำเพื่อสุขภาพที่ดียิ่งขึ้น

กาแฟปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ ส่วนประกอบที่เข้มข้นของกาแฟ รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาจมีประโยชน์ แต่การตอบสนองของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกัน การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับกาแฟพร้อมๆ กับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของการดื่มกาแฟ

1.  เพิ่มระดับพลังงาน

คาเฟอีนในกาแฟสามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนระดับสารสื่อประสาทบางชนิดในสมอง ซึ่งช่วยกระตุ้นพลังงานและลดความเหนื่อยล้าได้เป็นอย่างดี ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับดื่มกาแฟคือช่วงเช้า

2.  ช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2

การดื่มกาแฟ (กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล) เป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในระยะยาว อาจเป็นเพราะกาแฟมีส่วนช่วยในการรักษาการทำงานของเซลล์เบต้าในตับอ่อน ซึ่งมีหน้าที่ในการผลิตอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

3.  บำรุงสมอง

     งานวิจัยพบว่าการดื่มกาแฟช่วยป้องกันการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดโรคพาร์กินสันและยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพด้านการเรียนรู้และการเข้าใจ

4. ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

นอกจากการดื่มกาแฟจะช่วยให้ร่างกายสามารถควบคุมน้ำหนักได้แล้ว ยังอาจช่วยลดไขมันในร่างกายได้อีกด้วย มีงานวิจัยระบุไว้ว่า คนที่ดื่มกาแฟมักเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้ร่างกายได้มีการขยับเขยื้อนบ่อยๆ ซึ่งอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้กาแฟช่วยควบคุมน้ำหนักได้ในทางอ้อม แต่ต้องเป็นกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลเท่านั้น

5.  ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า

งานวิจัยหลายชิ้นพบว่า การดื่มกาแฟอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าได้ นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม การดื่มกาแฟนั้นควรต้องคำนึงถึงปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากดื่มอย่างผิดวิธีก็อาจให้โทษกับร่างกายได้ แต่ในทางกลับกันหากดื่มกาแฟอย่างถูกวิธีก็จะสามารถให้ประโยชน์กับร่างกายได้อย่างเหลือเชื่อ

อ้างอิง: Visionary Eye Doctors ,medi , Continental Hospitals , คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ,โรงพยาบาลรามคำแหง