คนไทยดื่มกาแฟทะลุ 340 แก้วต่อปี ดันธุรกิจกาแฟโตสวนเศรษฐกิจ

คนไทยดื่มกาแฟทะลุ 340 แก้วต่อปี ดันธุรกิจกาแฟโตสวนเศรษฐกิจ

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผย อุตสาหกรรมกาแฟไทยโตต่อเนื่อง หลังคนไทยดื่มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี มูลค่าตลาดในประเทศแตะระดับ 65,000 ล้านบาท  แต่ต้องเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่ผันผวน แนะผู้ประกอบการปรับตัว

KEY

POINTS

  • คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี ส่งผลให้มูลค่าตลาดกาแฟในประเทศเติบโตแตะ 65,000 ล้านบาท
  • ความต้องการบริโภคที่สูงทำให้การผลิตเมล็ดกาแฟในประเทศไม่เพียงพอ ส่งผลให้ไทยต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟมูลค่าสูงกว่าการส่งออกหลายเท่าตัว
  • ธุรกิจกาแฟได้รับความนิยมสูง สะท้อนจากการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ที่เพิ่มขึ้นถึง 8.92% แม้การแข่งขันจะรุนแรงและกำไรสุทธิของอุตสาหกรรมโดยรวมลดลง

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ธุรกิจดาวเด่นประจำเดือนมิ.ย. 2568 พบว่า “อุตสาหกรรมกาแฟไทย” ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง สอดรับกับกระแสตลาดโลกที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งอุตสาหกรรมกาแฟทั้งระดับโลกและประเทศ ไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2024 ตลาดกาแฟโลกมีมูลค่าสูงถึง 269.27 พันล้านดอลลาร์และคาดว่าจะขยายตัวถึง 369.46 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 ด้วยอัตราเติบโต เฉลี่ยต่อปี (CAGR) 5.3% จากการที่กาแฟกลายมา เป็นเครื่องดื่มประจำวัน จึงทำให้การบริโภคกาแฟ เพิ่มขึ้น

ขณะที่ คนไทยมีพฤติกรรมการบริโภคกาแฟเพิ่มขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 340 แก้วต่อคนต่อปี ส่งผลให้มูลค่าตลาดในประเทศแตะระดับ 65,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 8.33%

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยว่า ไทยสามารถผลิตเมล็ดกาแฟได้ ทั้งสายพันธุ์ อ าราบิก้าและโ รบัสต้า โดยมีพื้นที่ปลูกกว่ า 220,000 ไร่ทั่วประเทศ ซึ่งผลิตได้ประมาณ 40,000–50,000 ตัน/ปี แต่เป็นกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) เพียง 5 ,000 ตันเท่านั้น ซึ่งการผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภค ภายในประเทศ ส่งผลให้ต้องนำเข้าเมล็ดกาแฟ มากขึ้น โดยในปี 2568 (ม.ค. - พ.ค.) มีมูลค่าการ นำเข้าสูงถึง 8,387 ล้านบาท และมูลค่าการ ส่งออกอยู่ที่ 2,411 ล้านบาท 

ขณะเดียวกัน การจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นถึง 8.92% สะท้อนความนิยมของผู้บริโภครุ่นใหม่ที่มองกาแฟเป็นทั้งไลฟ์สไตล์และธุรกิจที่สร้างโอกาส ชี้ตลาดยังเปิดกว้างพร้อมมีโมเดลการลงทุนร้านกาแฟในรูปแบบแฟรนไชส์ให้นักลงทุนมือใหม่ได้ปิดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ และกลุ่มกาแฟคุณภาพสูงยังมีอนาคตที่สดใส ด้านเจ้าของร้านกาแฟต้องใส่ใจคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคอยู่เสมอ

คนไทยดื่มกาแฟทะลุ 340 แก้วต่อปี ดันธุรกิจกาแฟโตสวนเศรษฐกิจ

พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน จากการบริโภคกาแฟ สำเร็จรูปสู่กาแฟสด และกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) โดยกลุ่มผู้บริโภคแต่ละเจนเนอเรชันมีความ ต้องการต่างกัน ตั้งแต่ Gen X ที่เน้นความสะดวก ไปจนถึง Gen Y และ Z ที่ให้ความสำคัญกับ ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืน ส่งผลให้ รูปแบบร้านกาแฟมีความหลากหลายมากขึ้นในเชิงโครงสร้างธุรกิจ สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1. Franchise/chain เช่น Café Amazon, PunThai Coffee ได้เปรียบด้านแบรนด์ เข้าถึงง่าย มีสาขามากและ Net Profit Margin สูงเฉลี่ย 17.5%  2. Independent เช่น NANA Coffee Roaster, Red Diamond Cafe เน้นคุณภาพ ประสบการณ์ และความเฉพาะตัว แต่มีต้นทุนสูง และกำไร เฉลี่ยเพียง 4.6%

โดยข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ข้อมูลจดทะเบียนธุรกิจ ปี 2568 (ม.ค. - มิ.ย.) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ 415 ราย เพิ่มขึ้นจากปี ก่อนหน้า 8.9% แต่ทุนจดทะเบียนลดลง 33.7% ส่วนใหญ่ (96%) เป็นธุรกิจขนาดเล็ก และตั้งอยู่ใน กรุงเทพฯ (33%) สะท้อนภาพการแข่งขันที่สูงและ ความสนใจในตลาดกาแฟอย่างต่อเนื่อง และข้อมูล ผลประกอบการย้อนหลัง พบว่า รายได้รวมของ ธุรกิจกาแฟอยู่ในระดับทรงตัว แต่ก าไรสุทธิ เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต ขณะที่ธุรกิจประเภท Franchise/chain สามารถ รักษา Net Profit Margin เฉลี่ยที่ 17.5% ส่วน ธุรกิจประเภท Independent มีอัตราก าไรเฉลี่ย เพียง 4.6% สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหาร จัดการต้นทุนและสร้างความแตกต่าง

“อรมน ทรัพย์ทวีธรรม” อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2568 (มกราคม–มิถุนายน) มีการจัดตั้งธุรกิจใหม่ในกลุ่มกาแฟจำนวน 415 ราย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 8.92% โดยทั้งหมดเป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) และกว่า 33% ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ สะท้อนความนิยมในตลาดกาแฟที่ยังมีแรงขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง

คนไทยดื่มกาแฟทะลุ 340 แก้วต่อปี ดันธุรกิจกาแฟโตสวนเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลผลประกอบการย้อนหลัง 3 ปีพบว่า รายได้รวมของอุตสาหกรรมอยู่ในระดับทรงตัว แต่กำไรสุทธิเริ่มลดลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิต ซึ่งต้องเผชิญกับความผันผวนของต้นทุนและการแข่งขันที่รุนแรง โดยรายได้รวมของอุตสาหกรรมกาแฟในปี 2567 อยู่ที่ 206,751 ล้านบาท (กลุ่มผลิต 37,217 ล้านบาท และกลุ่มขาย 169,534 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 3,453 ล้านบาท คิดเป็น 1.70% เมื่อเทียบกับปี 2566

เมื่อวิเคราะห์ในเชิงลึกในรูปแบบธุรกิจร้านกาแฟจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ 1. Franchise/Chains เป็นธุรกิจที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ และเป็นทางเลือกของผู้ที่อยากเปิดร้านกาแฟแต่ยังไม่มีประสบการณ์ และ 2. Independent เป็นธุรกิจที่มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงถึง 94.4% ของธุรกิจกาแฟในประเทศ โดยเป็นการบริหารธุรกิจโดยเจ้าของร้านเองอาจมีสาขาในแบรนด์ประมาณ 1-3 สาขา อาทิ Stand Alone, Truck และ Kiosk จากข้อมูลพบว่า ธุรกิจร้านกาแฟแบบ Franchise/Chain มีความสามารถในการทำกำไรได้ดี โดยมีกำไรสุทธิ (Net Profit Margin)  เฉลี่ยที่ 17.5% และมีรายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ส่วนร้านกาแฟแบบ Independent แม้จะมีภาพลักษณ์และคุณภาพโดดเด่น แต่มีอัตรากำไรสุทธิเฉลี่ยที่ 4.6% สะท้อนความท้าทายในการแข่งขันที่มีผู้เล่นในกลุ่มนี้จำนวนมาก การรักษาฐานลูกค้าและการสร้าง Story ให้ธุรกิจจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ธุรกิจกลุ่มนี้ต้องใส่ใจ

กรมฯ ได้วิเคราะห์เจาะลึกในกลุ่มตัวอย่าง 20 บริษัทที่ประกอบธุรกิจร้านกาแฟและมีความสามารถในการทำอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) สูงที่สุดใน 3 อันดับแรก คือ (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย. 68)

 1. กลุ่ม Franchise/Chains (โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจากเชนร้านกาแฟชื่อดังในไทย) ได้แก่ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Café Amazon (4,922 สาขา) สร้างรายได้ 23,167 ล้านบาท กำไร 5,989 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 25.85% (รายได้และกำไรคำนวนจากรายงานประจำปีของกลุ่มธุรกิจ Lifestyle ของ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)), บริษัท หนึ่งต่อสอง จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ 1:2 Coffee (54 สาขา) สร้างรายได้ 290 ล้านบาท กำไร 49 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ 16.82% และบริษัทกาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์พันธุ์ไทย (1,347 สาขา) สร้างรายได้ 3,049 ล้านบาท กำไร 292 ล้านบาท

2.กลุ่ม Independent (โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างจาก ร้าน Specialty Coffee ชื่อดัง และมีบาริสต้าได้รับรางวัล) ได้แก่ บริษัท นานา แอนด์ แฟรนด์ คอฟฟี่ โรสเตอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ NANA Coffee Roaster สร้างรายได้ 44 ล้านบาท กำไร 4 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 9.29%, บริษัท บาริสต้า โปรเจกต์ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Factory Coffee สร้างรายได้ 70 ล้านบาท กำไร 6 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ   คิดเป็น 8.75% และ บริษัท คูราสุ จำกัด ดำเนินธุรกิจในแบรนด์ Kurasu Bangkok สร้างรายได้ 3 ล้านบาท กำไร 0.2 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิ คิดเป็น 6.32% ตามลำดับ

แม้ว่าธุรกิจกาแฟยังมีโอกาสเติบโตในประเทศไทยอีกมาก โดยเฉพาะในกลุ่มกาแฟพิเศษ หรือ Specialty Coffee และร้านกาแฟที่สร้างประสบการณ์ รวมถึงสร้างแบรนด์ที่แตกต่างได้อย่างชัดเจน  แต่ยังต้องเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่ผันผวน  ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการ ต้องเผชิญอย่างรอบคอบและมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดี ควบคู่ไปกับการเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภครุ่นใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับทั้งคุณภาพ ไลฟ์สไตล์ และความยั่งยืน

มากไปกว่านั้นตัวช่วยด้านเทคโนโลยีจะทำให้ลูกค้าเข้าถึงร้านกาแฟได้มากขึ้นคือ ร้านจะต้องมีหลายช่องทางการสั่งซื้อทั้งหน้าร้านหรือเดลิเวอรีหรือการสั่งล่วงหน้าผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึงการชำระเงินทางดิจิทัล       จากสถิติปัจจุบันยอดขายของร้านกาแฟมาจากช่องทางเดลิเวอรีถึง 22% และชำระเงินผ่านระบบ e--Payment กว่า 50% ทำให้ร้านสามารถขายกาแฟได้ครอบคลุมลูกค้ามากขึ้น และไม่ได้จำกัดฐานลูกค้าแค่เพียงพื้นที่โดยรอบต่อไปอีกแล้ว