เฝ้าระวัง! โรคที่มาพร้อมกับน้ำท่วม เตรียมพร้อมดูแลตัวเองอย่างไร?

ในหลายๆ พื้นที่กำลังเผชิญวิกฤตน้ำท่วมที่นักวิชาการหลายๆ ท่าน ออกมาให้ความคิดเห็นว่าหากไม่มีการรับมือที่ดีกว่าในปัจจุบัน
KEY
POINTS
- 5โรคที่มาพร้อมกับน้ำท่วมที่ควรระวัง ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้า โรคอุจจาระร่วง โรคตาแดงโรคฉี่หนู และโรคเครียด
- “การดูแลตัวเอง” ทั้งล้างมือ-เท้าให้สะอาด กินอาหารปลอดภัย พักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ต้องดูแลสุขภาพใจ พูดคุย แบ่งปันกำลังใจให้กันและกัน อย่าเก็บความเครียดไว้คนเดียว
- เมื่อน้ำท่วมต้องงดเล่นน้ำ หรืออยู่ใกล้ทางน้ำหลาก ห้ามขับรถเข้าไปในพื้นที่น้ำท่วมหรือบริเวณที่มีน้ำหลาก สอนให้เด็กเล็กรู้จักป้องกันตนเอง และศึกษาแผนฉุกเฉินของพื้นที่
ในหลายๆ พื้นที่กำลังเผชิญวิกฤตน้ำท่วมที่นักวิชาการหลายๆ ท่าน ออกมาให้ความคิดเห็นว่าหากไม่มีการรับมือที่ดีกว่าในปัจจุบัน อาจทำให้ “กรุงเทพฯ เกิดน้ำท่วมได้” ซึ่งน้ำท่วมก่อให้เกิดปัญหาหลายด้าน ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
ต่อให้น้ำท่วมเป็นภัยธรรมชาติ แต่ปีนี้แม้น้ำจะน้อยกว่าปี 2554 ที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ และในหลายพื้นที่ปริมณฑล ทว่าก็หนักหนาสาหัส ซ้ำร้ายช่วงนี้มีพายุ ฝนตกชุก น้ำเหนือไหลหลาก น้ำทะเลหนุน ทำให้เกิดปัญหา
น้ำท่วมในระยะแรกอาจยังไม่มีเชื้อโรคมาก แต่เมื่อกลายเป็นน้ำขังก็จะสกปรกและมีเชื้อโรคมากขึ้น น้ำจึงเป็นที่มาของเชื้อโรคชนิดต่างๆ และหากต้องเดินย่ำน้ำแต่ละวันเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งมีโอกาสป่วยด้วยโรคที่มากับน้ำท่วมมากขึ้น โรคอาจมากับน้ำท่วมเช่น โรคผิวผนัง โรคเท้าเปื่อย โรค ท้องร่วง โรคฉี่หนู โรคตาแดง และโรคเครียด เป็นต้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
กระทบคนกรุงเทพ ฝนตกหนัก น้ำท่วมอุโมงค์ ถนนเลียบทางรถไฟ เลี่ยงเลย
ลุยวิจัยสู้ 'โรคหัวใจ-เมแทบอลิก' ลดภาระสุขภาพ พบแนวโน้มผู้ป่วยพุ่ง
เช็กโรคที่มาพร้อมกับน้ำท่วม
รศ.นพ.วินัย รัตนสุวรรณ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายผ่านบทความว่าสาเหตุและการป้องกันแก้ไขโรคที่มากับน้ำท่วม ได้แก่
1.โรคน้ำกัดเท้าหรือ ฮ่องกงฟุต
จะมีอาการคันซึ่งเกิดจากเชื้อราที่เท้า เมื่อเท้าเปียก ๆ ชื้น ๆ จะเป็นบ่อเกิดของเชื้อราที่เรียกว่า Dermatophytes เนื่องจากเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น
- การติดเชื้อ
การติดเชื้อส่วนใหญ่ หากไม่ใช่ฤดูฝน มักจะเกิดจากเหงื่อออก หมักหมม ไม่รักษาความสะอาดให้ดี แต่หากในช่วงน้ำท่วม มักเป็นจากเท้าที่เปียกๆ ชื้นๆ บ่อยๆ แล้วไม่ดูแลรักษาความสะอาดให้ดี
- อาการ
คันตามซอกนิ้วเท้าและผิวหนังลอกออกเป็นขุย ๆ เป็นผื่นที่เท้า ที่พบบ่อยจะเกิดตรงซอกนิ้ว แต่ก็สามารถลุกลามไปถึงฝ่าเท้าและเล็บได้
- การรักษา
การรักษาโรคราที่เท้า ควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และเช็ดให้แห้ง ใส่ถุงเท้าที่สะอาดและไม่เปียกชื้น ใช้ครีมรักษาเชื้อราทา
- การป้องกัน
1. หลีกเลี่ยงการแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ
2. ถ้าจำเป็นจะต้องเดินลุยน้ำหรือแช่น้ำควรสวมรองเท้าบู๊ท
2. โรคอุจจาระร่วง
ผู้ป่วยจะถ่ายอุจจาระเหลว 3 ครั้งต่อวัน หรือมากกว่า หรือถ่ายอุจจาระเป็นมูกปนเลือดอย่างน้อย 1 ครั้ง โรคอุจจาระร่วงเป็นโรคติดต่อระบบทางเดินอาหารมักพบบ่อยขณะเกิดภาวะน้ำท่วมเกิดจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย
- การติดต่อ
โดยการสัมผัสเชื้อจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคจากสิ่งปฏิกูลที่มาจากน้ำท่วม หรือจากการใช้น้ำที่ไม่สะอาดชำระล้างภาชนะใส่อาหาร เช่น ถ้วย ชาม ช้อน ที่ปนเปื้อนปัสสาวะ อุจจาระ ขยะมูลฝอยที่บูดเน่า หรือจากการไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนเตรียมหรือปรุงอาหาร จะทำให้เกิดโรคติดต่อทางเดินอาหารต่าง ๆ ได้
- การป้องกัน
1. ดื่มน้ำสะอาด น้ำบรรจุขวด ถ้าจำเป็นต้องดื่มน้ำที่ท่วมควรต้มให้สุกก่อน
2. ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังการขับถ่าย
3. ภาชนะที่ใส่อาหารควรล้างด้วยน้ำสะอาดก่อนนำมาใช้
4. กินอาหารที่ทำสุกใหม่ๆ ที่ไม่มีแมลงวันตอม
5. รักษาความสะอาดในเรื่องการกำจัดขยะมูลฝอย การกำจัดอุจจาระ ปัสสาวะที่ถูกต้อง
6. หลีกเลี่ยงการถ่ายอุจจาระในน้ำที่ท่วมเพราะจะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อโรคได้ (ในภาวะน้ำท่วมสูงควรถ่ายใส่ถุงดำแล้วโรยปูนขาว ปิดปากถุงให้แน่น รอเรือเก็บขยะมาเก็บ)
7. ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายเองควรปรึกษาแพทย์
3. โรคตาแดง
เป็นโรคติดต่อที่ระบาดได้ง่ายมาก เกิดจากเชื้อไวรัส โรคนี้จะไม่ทำให้เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ถ้าไม่รีบรักษาอาจเกิดโรคแทรกซ้อนได้
- สาเหตุ
1. ใช้มือสกปรกที่อาจมีเชื้อโรคขยี้ตา
2. ใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ที่เป็นโรค หรือเล่นกับผู้ป่วย
3. แมลงวันหรือแมงหวี่ตอมตา หรือฝุ่นละอองเข้าตามาก ๆ จนตาอักเสบ
4. อาบน้ำในคลองสกปรก หรือที่มีตาแดงระบาด
- การป้องกัน
ไม่คลุกคลีกับผู้ป่วยโรคตาแดง ล้างหน้าและมือให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่ควรเอามือขยี้ตา
- อาการ
เคืองตา น้ำตาไหล มีขี้ตามาก อาการจะมีประมาณ 10 วัน
- การรักษา
พักสายตาบ่อย ๆ ประคบตาด้วยผ้าเย็น และเช็ดตาด้วยสำลีชุบน้ำอุ่น
4. โรคฉี่หนู Leptospirosis
เชื้อนี้สามารถพบได้สัตว์หลายชนิด แต่พบมากในหนู โดยเชื้อโรคในตัวหนูจะออกมากับฉี่ของหนู และปนเปื้อนอยู่ตามแหล่งน้ำ ซึ่งเชื้อที่อยู่ตามแหล่งน้ำนี้ สามารถเข้าทางผิวหนังของผู้ป่วยที่มีบาดแผล หรือรอยถลอกที่ผิวหนัง และหากบริเวณบาดแผลไปสัมผัสกับน้ำที่มีเชื้อโรคฉี่หนู เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ตัวผู้ป่วย และก่อโรคได้
- สาเหตุ
เกิดจากเชื้อ Leptospira interogans มักจะพบการระบาดในเดือนตุลาคม และพฤศจิกายน เนื่องจากเป็นฤดูฝนและมีน้ำขัง
- การติดต่อ
โดยเชื้อที่ปนในน้ำ ในดิน เข้าสู่คนทางผิวหนัง หรือเยื่อบุ ที่ตา ปาก จมูก
หลังจากได้รับเชื้อ โดยเฉลี่ย 10 วันผู้ป่วยก็จะเกิดอาการของโรค คือ
- ปวดศีรษะทันที มักจะปวดบริเวณหน้าผาก หรือหลังตา บางรายปวดบริเวณขมับทั้งสองข้าง
- ปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะบริเวณ ขา น่อง เวลากด หรือจับจะปวดมาก
- ไข้สูงร่วมกับหนาวสั่น อาการต่าง ๆ อาจอยู่ได้ 4-7 วัน
นอกจากอาการดังกล่าวผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน บางรายมีอาการถ่ายเหลว ปวดท้อง การตรวจร่างกายในระยะนี้อาจพบว่าผู้ป่วยมีอาการตาแดง
- การป้องกัน
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ แช่หรือลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะของสัตว์นำโรค ถ้าจำเป็นควรสวมรองเท้าบู๊ท
- ล้างเท้าหรือส่วนที่แช่อยู่ในน้ำเมื่อขึ้นจากการแช่น้ำทุกครั้งและรีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที
- เมื่อมีอาการน่าสงสัย เช่น มีไข้ ปวดศรีษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อน่อง โคนขา หลังหรือมีอาการตาแดง ให้รีบพบแพทย์ด่วน
- การรักษา
ก่อนอื่นผู้ป่วยจะต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และยาที่มักจะได้รับ คือ ยาปฏิชีวนะ เช่น เพนนิซิลิน หรือ doxycycline (อย่างไรก็ตาม ห้ามซื้อยารับประทานเองเด็ดขาดเพราะอาจเกิดอันตรายถึงชีวิต)
5. โรคเครียด
ในภาวะเช่นนี้ ทุกคนที่ประสบภัยน้ำท่วม หรือกำลังอยู่ในที่ที่มีความเสี่ยงที่อาจถูกน้ำท่วม ก็จะเกิดภาวะเครียดเป็นธรรมดา จะมากหรือน้อยขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยส่วนตัวของผู้นั้นเองว่ามีความมั่นคงทางอารมณ์มากน้อยเพียงใด แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีเพียงใด และอีกปัจจัยที่มีผลต่อความรุนแรงของความเครียด คือขนาดของความเสียหาย หากขนาดของความเสียหายมาก ก็มีโอกาสที่จะมีความเครียดรุนแรงได้ หากมีอาการเครียดมากจน ทำให้การทำกิจวัตรประจำวันเสียไป นอนไม่หลับ ก็ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำ และแพทย์อาจให้ยาคลายเครียดช่วย ในรายที่มีอาการมาก จนรบกวนการดำรงชีวิตประจำวัน และในรายที่อาการมาก อาจต้องพบจิตแพทย์
“ ข้อมูลข้างต้นที่ได้นำเสนอไปนั้น หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์ในช่วงวิกฤตเช่นนี้ไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตาม ผมและกองบรรณาธิการวารสารศิริราชประชาสัมพันธ์ ขอร่วมเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบอุทกภัยทุกท่านให้มีกำลังใจฟันฝ่าอุปสรรคนี้ไปอย่างมั่นคง และอย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพท่านด้วยนะครับ ”
นอกจากโรคแล้ว ยังมีอันตรายรอบตัว อาทิ ระวังไฟฟ้ารั่วหรือสายไฟชำรุด อย่าลุยน้ำในจุดที่มีกระแสไฟ ตรวจดูสัตว์มีพิษ เช่น งู แมงป่อง ตะขาบ ที่อาจหนีน้ำเข้าบ้าน ดูแลเด็ก ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยให้ห่างจากพื้นที่ลื่นหรือจุดที่เสี่ยง
รวมถึง ผลกระทบต่อจิตใจ การสูญเสียบ้าน การย้ายที่อยู่ หรือขาดแคลนของใช้จำเป็น อาจทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล และซึมเศร้าได้ อย่าลืมดูแลใจของตัวเองและคนรอบข้าง
หลังน้ำลด…อย่าชะล่าใจ
เมื่อระดับน้ำเริ่มลดลง ก็ยังต้องดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ต้องทำทันที คือ
- ทำความสะอาดบ้านให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคและสัตว์มีพิษ
- เก็บขยะอย่างถูกวิธี แยกขยะใส่ถุงมัดให้แน่น รอเจ้าหน้าที่มาเก็บ
- ตรวจสอบเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนใช้งานทุกครั้ง
- สวมรองเท้าเดินเสมอ เพื่อป้องกันของมีคมหรือเศษแก้ว
- สังเกตตัวเอง หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ ปวดเมื่อย หรือมีแผลติดเชื้อ ควรรีบพบแพทย์
น้ำอาจท่วมบ้าน…แต่ไม่ควรปล่อยให้ท่วมใจ
เมื่อเจอน้ำท่วม สิ่งที่เราควบคุมได้คือ “การดูแลตัวเอง” แค่ดูแลสุขภาพกาย ล้างมือ เท้าให้สะอาด กินอาหารปลอดภัย พักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลสุขภาพใจ พูดคุย แบ่งปันกำลังใจให้กันและกัน อย่าเก็บความเครียดไว้คนเดียว เมื่อเรารู้วิธีดูแลตัวเอง เราก็จะผ่านทุกสถานการณ์ไปได้อย่างปลอดภัย
8 วิธีเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมอย่างปลอดภัย
- ช่วงฤดูฝน หลายพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม การเตรียมความพร้อมรับมือน้ำท่วมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
- ติดตามข่าวสาร สถานการณ์น้ำท่วม จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
- หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง ควรเตรียม กระสอบทราย เพื่อใช้อุดปิดทางที่น้ำจะไหลเข้าบ้าน
- เตรียมยกของขึ้นชั้นบนหรือที่สูง ให้พ้นจากระดับน้ำท่วม
- เรียนรู้เส้นทางการอพยพ ไปที่ปลอดภัยในพื้นที่
- รู้หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน ของหน่วยงานท้องถิ่น
- เตรียมอุปกรณ์สิ่งจำเป็นต่างๆ ให้พร้อม เช่น โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ทำอาหาร อาหารแห้ง น้ำดื่มสะอาด ยารักษาโรค เป็นต้น
- ควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า เตาแก๊ส ยกเบรกเกอร์ ปิดบ้านให้เรียบร้อยก่อนออกจากบ้าน
- เขียนหรือระบุที่ฟิวส์หรือเบรกเกอร์ว่า ตัวใดควบคุมการใช้ไฟฟ้าจุดใดในบ้าน
สิ่งที่ต้องระวัง
- งดเล่นน้ำ หรืออยู่ใกล้ทางน้ำหลาก
- ห้ามขับรถเข้าไปในพื้นที่น้ำท่วมหรือบริเวณที่มีน้ำหลาก ให้ออกจากรถและไปอยู่ที่สูงทันที
- สอนให้เด็กเล็กรู้จักป้องกันตนเอง เช่น ขณะน้ำท่วม ไม่สัมผัสปลั๊กไฟ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
- ศึกษาแผนฉุกเฉินของพื้นที่ เพื่อเตรียมความพร้อม
อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ,คลังสื่อความรู้สุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ,สื่อมัลติมีเดียกรมอนามัย







