ปี 69 ประกาศ ‘Wellness Hub Thailand’ 5 เทรนด์ Longevity ที่ต้องจับตามอง

“Wellness Economy 5.0” เป็นโลกของเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วย “สุขภาวะผู้คน ที่ไม่ใช่แค่ตัวเลข” ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติระบบสุขภาพจากการรักษาโรคแบบเดิม สู่การสร้างสุขภาวะเชิงรุกด้วยวิทยาศาสตร์และนวัตกรรม
KEY
POINTS
- ปี 2566 ธุรกิจ Wellness ไทยโตอันดับ 1 ของโลก มีมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 28.4%
- ผลักดันไทยให้เป็น “Wellness Hub Thailand” ภาครัฐต้องเป็นแกนกลางในการรวบรวมภาคส่วนต่างๆ และกำหนดธีมระดับประเทศอย่างชัดเจน
- ใช้โอกาสไทยเจ้าภาพจัดงาน Global Wellness Summit (GWS) 2026 ที่ จ.ภูเก็ต ขับเคลื่อนWellness ของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก
“Wellness Economy 5.0” เป็นโลกของเศรษฐกิจขับเคลื่อนด้วย “สุขภาวะผู้คน ที่ไม่ใช่แค่ตัวเลข” ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติระบบสุขภาพจากการรักษาโรคแบบเดิม สู่การสร้างสุขภาวะเชิงรุกด้วยวิทยาศาสตร์ และนวัตกรรม บูรณาการศาสตร์แห่งการแพทย์เชิงป้องกัน เวชศาสตร์ชะลอวัย และวิถีชีวิตอย่างมีคุณภาพ ผสมผสานกับเทคโนโลยีอัจฉริยะ อย่าง AI, IoT, Big Data กับภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างระบบสุขภาพองค์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับแต่ละบุคคล
ปัจจุบัน “Longevity” ไม่ใช่เพียงเทรนด์แต่เป็นการมีชีวิตที่ยืนยาวอย่างมีคุณภาพ (healthspan) ควบคู่ไปกับการยืดอายุขัย (lifespan) โดยมุ่งเน้นให้มีสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพจิตที่ดีตลอดช่วงชีวิต ด้วย Wellness Economy 5.0 เน้น Health Span ยาว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
BDMS Wellness Clinic ชะลอ ‘สัญญาณร่วงโรย’ หนุนไทยสู่ Wellness Country
ไม่ตกเทรนด์ 2026! เทคโนโลยีที่คลินิก-ธุรกิจชะลอวัยควรจับตามอง
Wellness Economy 5.0 เน้น Health Span
ล่าสุด “BDMS Wellness Clinic” ได้จัดงานใหญ่ BDMS Annual Meeting 2025 ภายใต้ธีม “Striving for Healthcare Excellence Across the Lifespan: From Prevention to Precision Medicine” เวทีรวมตัวของเหล่าผู้นำ และตัวจริงจากวงการ Wellness & Healthcare ของประเทศไทย และระดับโลก เจาะลึกอินไซด์ เทรนด์ และโอกาสใหม่ของ Wellness ในระดับ บุคคล สังคม และเศรษฐกิจ
“นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ” ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึง “ Wellness Economy 5.0” ว่าประเทศไทยมีศักยภาพ และโอกาสทางธุรกิจ Wellness อย่างมาก ซึ่งมูลค่าตลาด Wellness โลกคาดว่าจะแตะ 9 ล้านล้านดอลลาร์ ในปี 2571 โดยไทยโตอันดับ 1 ของโลก ปี 2566 ธุรกิจ Wellness ในไทยมีมูลค่า 40,000 ล้านดอลลาร์ เติบโตขึ้น 28.4%
ขณะที่มูลค่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ไทยโตอันดับ 2 ของโลก 119.5% รองจากจีน มีมูลค่าประมาณ 4 แสนล้านบาท และติดอันดับโลกในด้าน Wellness Tourism (อันดับ 15) และ Spa (อันดับ 18) ซึ่งนักท่องเที่ยวเชิง Wellness ใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000-70,000 บาท/ครั้ง มากกว่าการท่องเที่ยวปกติ 5-6 เท่า
“Wellness Economy 5.0 มีวิวัฒนาการ มาจาก Wellness และปัจจุบันเป็น Longevity Economyซึ่งมีเป้าหมายหลักในการมุ่งเน้นให้ Health Span (ช่วงอายุที่แข็งแรง) ยาวที่สุด และมากกว่า Life Span (อายุขัยเฉลี่ย) เพื่อให้ผู้คน “หลับตาย” โดยไม่มีการเจ็บป่วยทรมาน และเป็นการนำข้อมูล เทคโนโลยี (AI) มาใช้ในการป้องกันโรค แต่ต้องบวกความเป็นมนุษย์ (Humanity) และความเห็นอกเห็นใจ (Compassion) เข้าไป โดยไม่เน้น GDP อย่างเดียว แต่ต้องเน้น Health Span” นพ.ตนุพล กล่าว
ประกาศเป็น Wellness Hub ระดับโลก
นพ.ตนุพล กล่าวต่อว่าในปี 2569 ไทยต้องประกาศอย่างชัดเจนว่าเป็น Wellness Hub ระดับโลก ซึ่งการที่ไทยจะเป็น Medical Hub จะเป็นการมุ่งเน้นไปที่รักษาคนป่วย แต่แตกต่างกับ Wellness Hub ที่เน้นการดูแล คนไม่ป่วย ซึ่งถือเป็นภาพลักษณ์ใหม่ที่มีขอบเขตกว้างขวางกว่ามาก เนื่องจากประชากรโลกส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่ไม่ป่วย ดังนั้น การนำทั้งสองคำมาผูกรวมกัน อาจทำให้เกิดความไม่ชัดเจน
“การแพทย์ในยุคก่อนหน้านี้ รวมถึง Medical Hub มักสอนในเชิงรักษาเป็นหลัก คือ ป่วยแล้วค่อยมาพบแพทย์ แต่ Wellness เน้นที่การป้องกันก่อนรักษา โดยความแข็งแรงในแนวคิดเวลเนสต้องครอบคลุม 3 ส่วน ได้แก่ สุขภาพกาย (ไม่เจ็บไม่ป่วย) สุขภาพใจ (Mental Health) และ สุขภาพจิตวิญญาณ (Spiritual Health) ฉะนั้น หากรัฐบาลมีการขับเคลื่อนเป็นธีมระดับประเทศ เช่น Wellness Hub Thailand จะช่วยสนับสนุนการเติบโตได้มาก โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของโลกด้าน Wellness Tourism เป็นต้น” นพ.ตนุพล กล่าว
การส่งเสริมเศรษฐกิจเวลเนสต้องเปลี่ยนตัววัดจากแค่ GDP (ความเร็วในการผลิต) ไปเป็นตัววัดที่เน้น Health Span และการเพิ่มคุณค่าของชีวิต นอกจากนี้ยังต้องรวมถึงการใช้เทคโนโลยี และ AI เพื่อการป้องกันโรค โดยที่เทคโนโลยีนั้นต้องไม่มาแทนที่ความเป็นมนุษย์ (Humanity) ในการดูแลสุขภาพ
เทรนด์ธุรกิจ Wellness 2569 ที่เติบโตสูง
นพ.ตนุพล กล่าวต่อไปว่ากลุ่มธุรกิจเวลเนสที่เติบโตสูงในปี 2569 มี 5 เทรนด์ที่น่าสนใจ ได้แก่ 1. Wellness Real Estate การสร้างโรงแรม คอนโดมิเนียม หรือบ้านที่เน้นสุขภาพและความอยู่ดี 2. Mental Wellness ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความเครียดและการนอนหลับ ปัจจุบันโต 12.2% เช่น การขายเตียง หมอน โคมไฟ หรือแอปพลิเคชันนั่งสมาธิ 3. Wellness Tourism and Retreat การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและพักผ่อน 4.สมุนไพรและ Functional Food (อาหารสุขภาพ)ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ และ 5.การท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณ อย่าง การปฏิบัติธรรม, วิปัสสนา, นั่งสมาธิ เป็นต้น
“คาดว่าปีหน้าจะเป็น “ปีของ Mental Wellness” เพราะมนุษย์จะมีความเครียดสูงขึ้นจากสงคราม ความวุ่นวาย และความกดดันทางเศรษฐกิจ อีกทั้ง พฤติกรรมการจัดการความเครียดของคนส่วนใหญ่มักใช้การ “กิน” (หวาน มัน เค็ม) เป็นวิธีจัดการความเครียดที่ง่ายที่สุด ซึ่งนำไปสู่โรค NCDs เพราะฉะนั้น ธุรกิจ Mental Wellness มีการเติบโตสูง และส่วนใหญ่เกินครึ่งเกี่ยวข้องกับ ปัญหาการนอนไม่หลับ ดูแลจิตใจ การบริการสุขภาพเฉพาะทางของไทย อาทิ การนวดไทย จำเป็นต้องมีการผสานเทคโนโลยี เช่น X-Ray/Shockwave เพื่อเพิ่มมูลค่า , สปา มีเครื่องมือ Hyperbaric\ Oxygen หรือ Cryotherapy เข้าไปเสริม ยกระดับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมด้วยภูมิปัญญาไทย และนวัตกรรมทางการแพทย์” นพ.ตนุพล กล่าว
ลดหย่อนภาษี หนุนคนไทยสุขภาพดี
การผลักดันไทยให้เป็น “Wellness Hub Thailand” ภาครัฐต้องเป็นแกนกลางในการรวบรวมภาคส่วนต่าง ๆ และกำหนดธีมระดับประเทศอย่างชัดเจน เพื่อสร้างการรับรู้ และภาพลักษณ์ในระดับโลก โดยต้องจัดตั้งศูนย์กลาง (Center) เพื่อให้ผู้ประกอบการด้านสุขภาพทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ (สปา, โยคะ, วัด) เข้ามารวมตัวกัน และโฆษณาในทิศทางเดียวกัน
นพ.ตนุพล กล่าวด้วยว่าควรใช้โอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงาน Global Wellness Summit (GWS) 2026 ที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสุขภาพ (Wellness) ของไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก รวมถึง ควรมีการออกกฎหมายหรือมาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับการใช้จ่ายด้านสุขภาพของประชาชน เช่น การลดหย่อนภาษีได้ถึง 50,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การสมัครฟิตเนส, คลาสโยคะ/มวยไทย, หรือการซื้อคอร์สตรวจสุขภาพ เพื่อสร้างแรงจูงใจสำหรับคนสุขภาพดี
“อาจพิจารณาการให้เงินคืน (Indentive) แก่ประชาชนที่ไม่ป่วย และไม่ได้ใช้สิทธิ 30 บาทรักษาทุกโรค อาทิ การแจกเงินคืน 1,000 บาท หรือ 10,000 บาทเมื่อปลายปี จูงใจให้คนดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณการรักษาของประเทศโดยรวม และพิจารณาเก็บภาษีให้มากขึ้นสำหรับธุรกิจที่ก่อให้เกิดโรค เช่น ร้านขายไก่ทอดที่ใช้น้ำมันซ้ำ ร้านหมูกระทะ หรือร้านชาไข่มุก คล้ายกับภาษีเหล้า และบุหรี่ อีกทั้ง ควรมี Fast Track และ BOI สำหรับธุรกิจ Wellness โดยเฉพาะ เพื่อส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านสุขภาพ” นพ.ตนุพล กล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







