ไม่ตกเทรนด์ 2026! เทคโนโลยีที่คลินิก-ธุรกิจชะลอวัยควรจับตามอง

เทรนด์ธุรกิจสุขภาพตั้งแต่ปี 2025 ไปจนถึงปี 2026 จะเน้น 'การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (longevity) แบบเฉพาะบุคคล'
KEY
POINTS
- อัตราความแก่ชราของคนเราแต่ละคนไม่เท่ากัน ซึ่งทีมวิจัยพบว่าเกือบ 20% ของประชากรมีภาวะแก่ก่อนวัยในอวัยวะเดียว น้อยกว่า 2% มีภาวะแก่ก่อนวัยมากกว่าหนึ่งอวัยวะ
- 5 เทรนด์เทคโนโลยีด้าน Longevity ที่มาแรงในปี 2026 และเป็นโอกาสของคลินิกสุขภาพ และธุรกิจชะลอวัย
- การติดตามอายุชีวภาพ , Multi-omics Personalization, ติดตามสุขภาพแบบเรียลไทม์ ,AI Health Coaching และ Longevity-as-a-Service ผู้ประกอบการไม่ควรพลาด
เทรนด์ธุรกิจชะลอวัยตั้งแต่ปี 2025 ไปจนถึงปี 2026 จะเน้น การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน (longevity) แบบเฉพาะบุคคล ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น การตรวจวิเคราะห์ด้วยข้อมูลทางชีวภาพ (biomarker) และการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ นอกจากนี้ยังจะเห็นการเติบโตของ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น Marine Collagen และ Astaxanthin รวมถึง บริการที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้สูงวัย ที่ต้องการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ในยุคที่สังคมไทยและทั่วโลกมีจำนวนประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความสนใจในเรื่อง การยืดอายุขัยอย่างมีคุณภาพ (healthy longevity) กลายเป็นเทรนด์ที่กำลังเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ปี 2026 ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่เทคโนโลยีด้าน Longevity จะเปลี่ยนจากนวัตกรรมเฉพาะกลุ่ม มาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในคลินิก โรงพยาบาล และศูนย์สุขภาพชั้นนำ
เทรนด์ธุรกิจชะลอวัย (Anti-aging) และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุ (Silver Economy) กำลังเติบโตอย่างมาก โดยตลาดเวลเนสทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง $5.61 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2022 และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในไทยนั้น ธุรกิจอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและการชะลอวัยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 2.3 แสนล้านบาทในปี 2569 นอกจากนี้ ธุรกิจความงาม, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, และศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ ก็เป็นตลาดที่น่าจับตาเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
Health Hacks เคล็ดลับสู่ ‘Longevity’ แบบไม่ต้องเสียเงิน
สิ่งที่ไม่ควรพลาด ทำทุกวันตอนเย็น สร้าง 'Longevity' อายุจะยืนยาว
ความแก่ชราของแต่ละคนไม่เท่ากัน
แต่ละคนมีอัตราการแก่ชราที่แตกต่างกัน คนสองคนที่มีอายุเท่ากันอาจแสดงสัญญาณการแก่ชราที่แตกต่างกันอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาแนวคิดเรื่องอายุทางชีวภาพขึ้นเพื่ออธิบายความผันแปรนี้ อายุทางชีวภาพสามารถประเมินได้จากตัวบ่งชี้ทางชีวภาพต่างๆ งานวิจัยในสัตว์พบว่าอวัยวะต่างๆ ในสิ่งมีชีวิตเดียวกันก็สามารถแก่ชราในอัตราที่แตกต่างกันได้เช่นกัน แต่ยังไม่แน่ชัดว่าสิ่งนี้เป็นจริงในมนุษย์หรือไม่ หรือการแก่ชราของอวัยวะส่งผลต่อความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือไม่
ทีมวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจาก NIH นำโดย ดร. โทนี่ วิสส์-โคเรย์ จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มุ่งพัฒนาวิธีการติดตามความชราของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายมนุษย์ โดยวิเคราะห์กิจกรรมของยีนในอวัยวะต่างๆ และวัดระดับโปรตีนเกือบ 5,000 ชนิดในพลาสมาเลือดจากผู้คนมากกว่า 5,600 คนตลอดช่วงชีวิตวัยผู้ใหญ่ ผลการวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Natureเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2566
โดยใช้ข้อมูลกิจกรรมของยีน ทีมวิจัยได้ระบุเบื้องต้นว่าโปรตีนเกือบ 900 ชนิดถูกเสริมสมรรถนะในอวัยวะเดียว จากนั้นจึงฝึกโมเดลการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อประเมินอายุทางชีวภาพโดยใช้ระดับพลาสมาในเลือดของโปรตีนเหล่านี้ในช่วงอายุต่างๆ แบบจำลองถูกฝึกสำหรับอวัยวะ 11 อวัยวะ ได้แก่ เนื้อเยื่อไขมัน หลอดเลือดแดง สมอง หัวใจ เนื้อเยื่อภูมิคุ้มกัน ลำไส้ ไต ตับ ปอด กล้ามเนื้อ และตับอ่อน
เกือบ 20% ของประชากรมีภาวะแก่ก่อนวัยในอวัยวะเดียว
ทีมวิจัยพบว่าเกือบ 20% ของประชากรมีภาวะแก่ก่อนวัยในอวัยวะเดียว น้อยกว่า 2% มีภาวะแก่ก่อนวัยมากกว่าหนึ่งอวัยวะ เมื่อนักวิจัยตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ 9 โรค พวกเขาพบว่าโรคหลายชนิดมีความสัมพันธ์กับภาวะแก่ก่อนวัยในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงและเบาหวานมีไตที่ "แก่กว่า" กว่าคนวัยเดียวกัน หัวใจที่แก่กว่ามีความเกี่ยวข้องกับภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้วและหัวใจวาย ผู้ที่มีภาวะหัวใจแก่ก่อนวัยมีความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวมากกว่าสองเท่าในอีก 15 ปีข้างหน้า สำหรับอวัยวะส่วนใหญ่ การแก่ก่อนวัยทำให้มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากสาเหตุใดๆ เพิ่มขึ้น 15-50%
แนวทางนี้ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความเสื่อมของสมองด้วย โปรตีนที่เรียกว่า pTau-181 เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพในเลือดที่ได้รับการยอมรับสำหรับโรคอัลไซเมอร์ นักวิจัยพบว่าโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับความเสื่อมของสมองสามารถทำนายการดำเนินของโรคอัลไซเมอร์ได้เช่นเดียวกับ pTau-181 ระดับความเสื่อมของสมองและ pTau-181 ที่สูงสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงกว่าระดับที่สูงของปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ โปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดงยังทำนายการเกิดภาวะบกพร่องทางสติปัญญาเล็กน้อย โปรตีนเหล่านี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางโมเลกุลบางอย่างในภาวะเสื่อมถอยทางสติปัญญาระยะเริ่มต้น การระบุกระบวนการทางโมเลกุลที่เป็นสาเหตุของโรคอาจนำไปสู่กลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อป้องกันหรือรักษาโรคเหล่านี้
“เราสามารถประเมินอายุทางชีวภาพของอวัยวะในคนที่ดูมีสุขภาพดีได้” วิสส์-โคเรย์ อธิบาย “ซึ่งจะช่วยทำนายความเสี่ยงของบุคคลที่จะเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะนั้นได้”
เขาตั้งข้อสังเกตว่าเทคนิคนี้จะต้องได้รับการทดสอบกับผู้คนจำนวนมากขึ้นก่อนที่จะสามารถนำไปใช้ในคลินิกได้ หากเทคนิคนี้ได้ผลดี ก็อาจช่วยให้ผู้ให้บริการสามารถรักษาผู้ที่มีความเสี่ยงก่อนที่จะเจ็บป่วยได้
5 เทรนด์เทคโนโลยีด้าน Longevity ที่มาแรงปี 2026
บทความจาก “บริษัท เจ็นโฟลิส จำกัด genfosis” ได้แนะนำ 5 เทรนด์เทคโนโลยีด้าน Longevity ที่มาแรงในปี 2026 และโอกาสที่ธุรกิจสุขภาพควรพิจารณาเพื่อนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้ในการยกระดับบริการให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ที่เน้นข้อมูลที่สามารถวัดผลได้และปรับเปลี่ยนได้เฉพาะบุคคล
1. การติดตามอายุชีวภาพ (Biological Age Tracking)
เทคโนโลยีที่ใช้วัดอายุของเซลล์หรือระบบในร่างกาย เช่น ผ่านการทดสอบ Epigenetics หรือ Biomarker Analysis กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักในการวัดผลลัพธ์ของโปรแกรมสุขภาพ
- วัดผลก่อน-หลัง โปรแกรมชะลอวัย, detox, และโภชนาการ
- ใช้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือของบริการ
- ช่วยให้ลูกค้าเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเข้าใจว่าโปรแกรมนั้นได้ผลจริง
การติดตามอายุชีวภาพช่วยให้คลินิกสามารถแสดงให้ลูกค้าเห็นถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการทำโปรแกรมต่าง ๆ ด้วยวิธีที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ
2. การปรับสุขภาพเฉพาะบุคคลด้วยข้อมูลเชิงลึก (Multi-omics Personalization)
การใช้ข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น DNA, Microbiome, Metabolomics, และ Proteomics มาวิเคราะห์ร่วมกันเพื่อออกแบบแผนสุขภาพที่แม่นยำและเฉพาะบุคคล
- ยกระดับการวิเคราะห์ จากการตรวจ DNA แบบทั่วไป
- เหมาะสำหรับคลินิกที่ต้องการวางตำแหน่งตัวเองในด้านวิทยาศาสตร์
- สร้างความแตกต่างจากคลินิกทั่วไปที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีระดับสูงนี้
คลินิกที่นำการวิเคราะห์แบบ multi-omics มาใช้สามารถสร้างแผนสุขภาพที่เฉพาะเจาะจงและครอบคลุมยิ่งขึ้น โดยใช้ข้อมูลจากหลายมิติทางชีวภาพ
3. การติดตามสุขภาพแบบเรียลไทม์และ Biofeedback
จากการใช้อุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) สู่การพัฒนาเป็นระบบที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพอย่างต่อเนื่องและให้คำแนะนำทันที
- วัดค่า HRV, คุณภาพการนอนหลับ, ดัชนีความเครียด, และ อัตราการเผาผลาญ
- สามารถใช้ข้อมูลที่ได้จากการติดตามมาปรับปรุงการบริการ Coaching หรือ Wellness Journey ตามพฤติกรรมของลูกค้าในชีวิตจริง
- ลูกค้าสามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันที ไม่ใช่แค่ตอนที่มาใช้บริการเท่านั้น
การให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ช่วยให้ลูกค้าติดตามความคืบหน้าและเห็นผลลัพธ์ได้ทุกช่วงเวลาของการดูแลสุขภาพ
4. AI Health Coaching: การให้คำแนะนำด้านสุขภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์
แพลตฟอร์มที่ใช้ AI ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพจากหลายแหล่ง เพื่อให้คำแนะนำและแผนการดูแลสุขภาพที่แม่นยำ
- ลดการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญหรือโค้ชแบบเต็มเวลา
- เพิ่มความแม่นยำในการวางแผนสุขภาพแบบ Dynamic ซึ่งปรับตามพฤติกรรมของลูกค้า ช่วยให้บริการสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันทีเมื่อลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรม
การใช้ AI ในการให้คำแนะนำช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้า ทำให้คลินิกสามารถเสนอบริการที่ทันสมัยและแม่นยำมากยิ่งขึ้น
5. Longevity-as-a-Service: โมเดลบริการรายปีที่ผูกกับการวัดผล
การเปลี่ยนจากการขายโปรแกรมเป็นครั้ง ๆ ไป สู่การให้บริการระยะยาวแบบ subscription หรือ membership ซึ่งลูกค้าสามารถเข้าถึงการดูแลสุขภาพได้อย่างต่อเนื่อง
- สร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับลูกค้า โดยการต่อยอดจากการตรวจเชิงลึกเป็นแผนดูแลสุขภาพรายเดือนหรือรายปี
- เพิ่มการเก็บลูกค้ากลับมาใช้บริการ (Retention) และรายได้ต่อหัว
- ใช้ Data ที่ลูกค้าเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน
โมเดลบริการแบบ Longevity-as-a-Service ช่วยให้คลินิกมีรายได้ที่ยั่งยืนจากการให้บริการที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในระยะยาว
เทคโนโลยี Longevity สำคัญสำหรับธุรกิจสุขภาพ
เทรนด์ Longevity Technology ทั้ง 5 นี้สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดสุขภาพและชะลอวัยกำลังเปลี่ยนจากการขายผลิตภัณฑ์หรือบริการแบบเดิม ๆ ไปสู่การสร้างคุณค่าโดยการใช้ ข้อมูล และ การวัดผลที่แม่นยำ คลินิกหรือธุรกิจสุขภาพที่ต้องการเติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคตต้องเริ่มต้นด้วยการ วางระบบตรวจวัดที่เชื่อถือได้ และนำ เทคโนโลยีที่ลูกค้ายุคใหม่คาดหวัง มาใช้ในการพัฒนาบริการของตนเอง
การปรับตัวตามเทรนด์เหล่านี้จะช่วยให้คลินิกหรือธุรกิจสุขภาพของคุณไม่เพียงแค่ตอบสนองความต้องการของลูกค้ารุ่นใหม่ได้เท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาดที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างยั่งยืน
อ้างอิง: สถาบันสุขภาพแห่งชาติ ,genfosis







