โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย ดาวรุ่งศักยภาพแข่งขันตลาดโลก

โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย  ดาวรุ่งศักยภาพแข่งขันตลาดโลก

จากข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต หรืออาหารที่ปลอดภัยเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ

KEY

POINTS

  • อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต ได้แก่  1.โปรตีนจากพืชและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ 2.โภชนาการเฉพาะบุคคล  3. เทคโนโลยีการหมัก และ4.เทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ
  • พัฒนาโพรไบโอติกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับคนเอเชียโดยเฉพาะ
  • โพรไบโอติก 2 สายพันธุ์ ป้องกันไขมันพอกตับ มีความเหมาะสมกับคนไทยมากกว่าสายพันธุ์ที่นำเข้า

จากข้อมูลสิทธิบัตรทั่วโลกชี้ให้เห็นว่า อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต หรืออาหารที่ปลอดภัยเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ตอบสนองวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ เช่น อาหารเสริมสุขภาพ อาหารเชิงฟังก์ชัน (Functional Food) โปรตีนทางเลือก และอาหารออร์แกนิก เป็นต้น และสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

ประมาณการว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 5 แสนล้านบาทในไทยในปี 2570 และแม้ว่าปัจจุบันเริ่มเข้าสู่ระยะทรงตัว ไม่พุ่งแรง แต่ยังคงมีการแข่งขันสูงต่อเนื่อง โดยประเทศที่มีจำนวนสิทธิบัตรนวัตกรรมดังกล่าวสูง ได้แก่ จีน (ครองสิทธิบัตรมากที่สุด มากกว่า 1,500 ฉบับ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา) ญี่ปุ่น สหรัฐ และเกาหลีใต้ ขณะที่ประเทศที่น่าจับตาในตลาดนี้ ได้แก่ อินเดีย ซึ่งมีการเติบโตสูงกว่า 26%ต่อปี และฟิลิปปินส์ ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่เริ่มมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ปลูกถ่ายหัวใจไทยเทียบเท่าโลก ศักยภาพแพทย์สูง ขาดแคลนอวัยวะ

สิ่งที่ไม่ควรพลาด ทำทุกวันตอนเย็น สร้าง 'Longevity' อายุจะยืนยาว

อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคตในไทย

“อรมน ทรัพย์ทวีธรรม” อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่าเมื่อเจาะลึกในรายละเอียด จะพบ 4 เทคโนโลยีกลุ่มย่อยที่กำลังมาแรงหรือเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่ 

 1.โปรตีนจากพืชและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ (Plant-based Proteins & Bioactive Compounds) ซึ่งเคยถึงจุดอิ่มตัว ก่อนกลับมาเติบโตอีกครั้งหลังช่วงโควิด-19 จากเทรนด์รักสุขภาพทั่วโลก นโยบายสิ่งแวดล้อมและสวัสดิภาพสัตว์โดยสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยเป็นผู้ถือสิทธิบัตรหลักมากกว่าภาคเอกชน ส่งผลให้ในภาพรวมมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 2,100 - 2,900 ฉบับต่อปี

2.โภชนาการเฉพาะบุคคล (Personalized Nutrition) อยู่ในระยะเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงมีการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อออกแบบสูตรอาหารหรืออาหารเสริมที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคลโดยสาขานี้มีผู้เล่นหลากหลาย ทั้งบริษัทยาชีวภาพ และสถาบันวิจัย รวมผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 800 - 900 ฉบับต่อปี ตัวอย่างเช่น ระบบห้องครัวอัจฉริยะ การปรับเวลา อุณหภูมิ และสูตรอาหารเฉพาะบุคคล 

3. เทคโนโลยีการหมัก (Fermentation Technology) คือกระบวนการใช้จุลินทรีย์เปลี่ยนวัตถุดิบอาหารให้มีคุณสมบัติใหม่ ทั้งในแง่เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและการปรับรสชาติอาหารให้ดีขึ้น ปัจจุบันถูกพัฒนาสู่เทคนิคขั้นสูง เพื่อสร้างสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ภาพรวมของตลาดนี้อยู่ในช่วงอิ่มตัวหากมองในเชิงปริมาณ

ซึ่งมีผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 - 300 ฉบับต่อปี แต่มีการแข่งขันในเชิงคุณภาพนวัตกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นศูนย์กลางสำคัญของโลกที่มีสิทธิบัตรด้านการหมักจำนวนมาก เนื่องจากมีวัตถุดิบและองค์ความรู้ที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การหมักสมุนไพรจีนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพยา

โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย  ดาวรุ่งศักยภาพแข่งขันตลาดโลก

4.เทคโนโลยีการพิมพ์อาหาร 3 มิติ (3D Food Printing and Precision Nutrition) นับเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้ในการออกแบบอาหารโดยการขึ้นรูปทีละชั้น ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโครงสร้างซับซ้อนหลากหลายรูปทรง และสามารถเติมสารอาหารต่างๆ เข้าไป เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและควบคุมปริมาณองค์ประกอบต่างๆ ได้อย่างละเอียดและแม่นยำ เช่น การพิมพ์แท่งอาหารที่ปรับสัดส่วนโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินให้ตรงความต้องการของนักกีฬาแต่ละคน การพิมพ์อาหารบดสำหรับผู้สูงอายุที่เคี้ยวยาก พร้อมเสริมสารอาหารที่จำเป็นอย่างแคลเซียมและโพรไบโอติกลงไปได้อย่างแม่นยำ เป็นต้น

นวัตกรรมดังกล่าวมีโอกาสขยายตัวสูง โดยมีทั้งบริษัทยาและแบรนด์อาหารระดับโลกเข้ามาร่วมพัฒนา ผู้เล่นในเทคโนโลยีนี้เชื่อมโยง 3 วงจรนวัตกรรม ตั้งแต่งานวิจัยต้นน้ำ เทคโนโลยีดิจิทัลกลางน้ำ และแบรนด์อาหารปลายน้ำ รวมผู้ถือสิทธิบัตรประมาณ 200 - 300 ฉบับต่อปี

อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา มองว่า “Future Food” ไม่ใช่เพียงกระแส แต่เป็นสนามแข่งขันระดับโลกที่ไทยต้องเร่งปรับตัว โดยเฉพาะการใช้ทรัพย์สินทางปัญญาประเภท “สิทธิบัตร” เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ตามนโยบาย Quick Big Win ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ผลักดันการเสริมแกร่งให้กับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs

ทั้งนี้ ไทยมีจุดแข็งด้านภูมิปัญญาและทรัพยากรท้องถิ่นที่หลากหลาย ซึ่งผู้ประกอบการสามารถจับมือกับมหาวิทยาลัยและสตาร์ตอัป เพื่อบ่มเพาะนวัตกรรมในเชิงพาณิชย์ เช่น การวิจัยเพื่อค้นหาสารออกฤทธิ์ใหม่ๆ จากพืช อาทิ กระชายที่ช่วยต้านการอักเสบ ใบบัวบกที่ช่วยเสริมความจำ รวมทั้งการสร้างนวัตกรรมการหมักเพื่อต่อยอดสินค้า GI ในกลุ่มอาหารและพืชผลทางการเกษตร เป็นต้น จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยสามารถใช้ต้นทุนความหลากหลายทางชีวภาพ แปลงเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงที่ไปได้ไกลในตลาดโลก

คนไทยตื่นตัวดูแลสุขภาพลำไส้เชิงป้องกัน

นพ.สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต กล่าวว่า ปัจจุบัน สถานการณ์มะเร็งลำไส้ในประเทศไทยกำลังน่าวิตกอย่างยิ่ง โดยข้อมูลจาก Thaihealth Watch ชี้ให้เห็นว่าอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ของคนไทยเพิ่มขึ้นถึง 2.4 เท่าในช่วง 10 ปี โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุดถึง 15 คนต่อประชากร 100,000 คน นอกจากนี้ ปัญหาสุขภาพลำไส้อื่นๆ อย่างโรคลำไส้แปรปรวน (IBS) และกรดไหลย้อนก็มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โรงพยาบาลวิมุต จึงร่วมมือกับ AMILI บริษัทวิจัยด้านไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหารแห่งแรกในเอเชีย ซึ่งมีฐานข้อมูลไมโครไบโอมที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค เพื่อพัฒนาโพรไบโอติกที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสำหรับคนเอเชียโดยเฉพาะ

โดยใช้ฐานข้อมูลไมโครไบโอมจากการศึกษาประชากรเอเชียกว่า 100,000 ตัวอย่าง ผ่านเทคโนโลยีการวิเคราะห์ระดับโมเลกุลเพื่อช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนไทยในระยะยาว นวัตกรรมใหม่นี้สอดคล้องกับพันธกิจของโรงพยาบาลวิมุตในการนำเสนอนวัตกรรมด้านสุขภาพที่มีคุณภาพและเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในแนวทางที่เหมาะสม

โพรไบโอติกป้องกันไขมันพอกตับ

ขณะที่บริษัท อินโนบิก(เอเชีย) ร่วมมือกับ บริษัท ที.แมน เพื่อนำนวัตกรรมโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยที่พัฒนาขึ้นสู่สเกลเชิงพาณิชย์ โดยมุ่งเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อการป้องกัน โดยผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกที่ร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการใช้ โพรไบโอติก 2 สายพันธุ์ ในเรื่องของไขมันพอกตับโดยเฉพาะ มีความเหมาะสมกับคนไทยมากกว่าสายพันธุ์ที่นำเข้า เนื่องจากมาจากเชื้อในประเทศ สอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมและอาหารไทย ทนทานต่ออุณหภูมิในเขตร้อนได้ดีกว่า ทำให้โพรไบโอติกมีชีวิตอยู่ได้นาน

ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกเกี่ยวกับไขมันพอกตับนี้ กลุ่มเป้าหมายหลักจึงเป็นกลุ่มนักดื่ม (drinker) หรือสายปาร์ตี้ รวมถึง กลุ่มที่มีปัญหาจากการกิน เช่น การรับประทานอาหารประเภททอด หรืออาหารที่มีแป้งสูง ซึ่งทำให้เกิดภาวะโรคอ้วนและไขมันพอกตับได้ เบื้องต้นจะขึ้นทะเบียนอย.เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คาดว่าในไตรมาส 1 หรือภายในไตรมาส 2 ปี 2569 จะสามารถวางตลาดได้ ซึ่งการอัปเกรดเป็นยาความเสี่ยงต่ำ จะต้องใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลความคงตัว (Stability) และเตรียมเอกสารเพื่อขึ้นทะเบียนกับ อย. อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี

ปรับกฎหมาย ลดขั้นตอนอย.

ภกญ.สุภัทรา บุญเสริม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า กระแสรักสุขภาพเชิงป้องกันส่งผลให้ตลาดโพรไบโอติกในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปี 2568 มีมูลค่าประมาณ 8,600 ล้านบาท และคาดว่าจะขยายตัวไปถึง 12,700 ล้านบาท ภายในปี 2573 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 8% จึงตลาดที่น่าจับตามองของผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศแต่ในปัจจุบันจุลินทรีย์โพรไบโอติกที่ใช้ในอาหารส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์นำเข้าจากต่างประเทศ

ดังนั้น เพื่อสนับสนุนการพัฒนาจุลินทรีย์โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยให้มีการนำไปใช้ในอาหารอย่างแพร่หลายมากขึ้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ภายใต้โครงการ “การประเมินความปลอดภัยและคุณสมบัติของจุลินทรีย์สายพันธุ์ไทย” เพื่อผลักดันให้ “โพรไบโอติกสายพันธุ์ไทย" เป็นสินค้าดาวรุ่งที่มีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก

โดยมีเป้าหมาย คือ ลดเวลา เพิ่มรายการโพรไบโอติกสายพันธุ์ไทยที่ผ่านการรับรองแล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปผลิตอาหารได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มความมั่นใจทวนสอบสายพันธุ์จุลินทรีย์ในตลาดและขอข้อมูลทางเทคนิคจากผู้ประกอบการ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการลดขั้นตอนการอนุญาตผลิตภัณฑ์ที่มีโพรไบโอติกเป็นส่วนประกอบในอนาคต

นอกจากนี้ อย. ยังเร่งปรับปรุงประกาศกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยการใช้จุลินทรีย์โพรไบโอติกในอาหาร ให้สอดคล้องกับหลักการขององค์การอนามัยโลก (WHO) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการให้สามารถนำโพรไบโอติกไปใช้ในอาหารได้สะดวก เป็นมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น เพื่อสนับสนุนนักวิจัยและภาคอุตสาหกรรมไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนภายใต้มาตรฐานสากล