ตัดใจจาก 'ของทอด ของมัน' ไม่ได้! ลองดูแลตัวเองแบบนี้ ลดโรค

คุณไม่ได้เป็นคนเดียวที่ชื่นชอบ ‘ของทอด’ แต่เป็นคนส่วนใหญ่ที่หลงใหล ‘อาหารมันๆ ของทอดกรอบๆ’ เพราะยิ่งกรอบยิ่งกินเพลิน ยิ่งอร่อย ทั้งหมูกรอบ ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์
KEY
POINTS
- กินของทอดเยอะๆ เสี่ยงปัญหาสุขภาพร้ายแรงชนิดที่ไม่รู้ตัว อย่าง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง และเบาหวาน โรคมะเร็ง น้ำตาลในเลือดสูง และโรคอ้วน
- ควรจำกัดการบริโภคของทอดให้น้อยที่สุด หรือ ไม่ควรเกิน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะ การกินของทอดทุกวันหรือบ่อยครั้งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในระยะยาว
- เมื่อเลิกทานของทอดไม่ได้ ควรเลือกใช้การทอดในกระทะแต่พอดี หันมาใช้การทอดด้วยลมร้อน ระวังอาหารที่คุณไม่ได้ทอดเอง และลดอาหารทอดกรอบ
คุณไม่ได้เป็นคนเดียวที่ชื่นชอบ ‘ของทอด’ แต่เป็นคนส่วนใหญ่ที่หลงใหล ‘อาหารมันๆ ของทอดกรอบๆ’ เพราะยิ่งกรอบยิ่งกินเพลิน ยิ่งอร่อย ทั้งหมูกรอบ ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ อาหารเหล่านี้มักเป็นของโปรดที่ยากจะห้ามใจได้ และเชื่อว่าใครๆ ก็รู้ว่าหากกินอาหารประเภทนี้บ่อย ๆ อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่เราไม่คาดคิด
“ของมัน ของทอด” ไม่ใช่เพียงทำให้รูปร่างดูใหญ่ขึ้นหรือหุ่นพังเท่านั้น ยังเสี่ยงเป็นอันตรายร้ายแรงต่อร่างกายแบบไม่ทันได้ตั้งตัว พอรู้ตัวอีกทีก็เริ่มมีอาการที่ส่งสัญญาณของโรคเรื้อรัง โดยข้อมูลทางการแพทย์พบว่า ไม่เพียงแต่คนอายุเยอะที่มีความเสี่ยงเท่านั้น แต่ในเด็ก ๆ และวัยรุ่นต่างก็มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพด้วยเช่นกันหากเลือกกินของทอดเป็นประจำ
ทำไมถึงห้ามกินของทอด
การกินของทอดทุกวันหรือกินบ่อย ๆ ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง รวมถึงส่งผลต่อรูปร่างและสัดส่วนจากไขมันส่วนเกินสะสมอีกด้วย ซึ่งในอาหารประเภทที่ต้องทอดในน้ำมันจะทำให้ร่างกายได้รับไขมันในปริมาณที่สูงเกินไป มีแคลอรีสูง รวมถึงในน้ำมันที่ใช้ทอดด้วยอุณหภูมิที่สูงนั้น ส่งผลให้เกิดกระบวนการสร้างไขมันทรานส์ซึ่งเป็นชนิดไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ และเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังร้ายแรงตามมาได้
อาหารทอดจะมีรสชาติดี แต่ยังมี:
- แคลอรี่สูง
- บางครั้งมีไขมันทรานส์สูง
- ทำให้เกิดการอักเสบและความเครียดออกซิเดชันในร่างกาย
- ส่งผลเสียต่อสุขภาพลำไส้ของคุณ
- เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะต่างๆ เช่น โรคอ้วนและโรคหัวใจ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ถ้าจะเลี่ยงสารก่อมะเร็งปนเปื้อนในอาหารทอด ต้องทอด ต้องกิน อย่างไร
กินของทอดเยอะ ๆ เป็นอันตราย
หลายคนที่ติดกินของทอดเป็นประจำ ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นเมนูโปรด แต่ถ้ากินบ่อยและกินในปริมาณที่มากเกินพอดี อาจนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพร้ายแรงชนิดที่ไม่รู้ตัว
1. เสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
การกินของทอดบ่อย ๆ ทำให้ร่างกายได้รับไขมันทรานส์และไขมันอิ่มตัวสูง ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และลดคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ในร่างกาย โดยจะนำไปสู่การสะสมของคราบพลัคในหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและตีบแคบลง เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ภาวะหัวใจวาย และโรคหลอดเลือดสมอง
2. เสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง และเบาหวาน
นอกจากนี้ การเลือกกินของทอดทุกวัน ยังเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน เพราะในอาหารทอดมักมีปริมาณโซเดียมสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงหากกินเป็นประจำยังส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกระบวนการทอดอาหารมักทำลายใยอาหารและเพิ่มดัชนีน้ำตาลของอาหาร ส่งผลให้ตับอ่อนทำงานหนักขึ้นในการผลิตอินซูลิน และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเบาหวานประเภท 2
3. เสี่ยงโรคมะเร็ง
การทอดอาหารด้วยน้ำมันที่อุณหภูมิสูง ก่อให้เกิดสารประกอบที่เป็นอันตรายหลายชนิด เช่น อะคริลาไมด์ (Acrylamide) และเฮเทอโรไซคลิก เอมีน (Heterocyclic Amines – HCAs) สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็งที่พบได้ในอาหารทอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารที่ทอดจนมีสีน้ำตาลเข้มหรือไหม้ การบริโภคอาหารที่มีสารเหล่านี้เป็นประจำจึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
เสี่ยงน้ำตาลในเลือด และโรคอ้วน
4. น้ำตาลในเลือดสูงขึ้น
แม้ว่าอาหารทอดจะไม่ได้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักโดยตรง แต่กระบวนการทอดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น มันฝรั่งทอด แป้งทอด จะเปลี่ยนโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรตให้ย่อยง่ายขึ้น ทำให้ร่างกายดูดซึมกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากกินอาหารทอด โดยหลายคนอาจสังเกตได้ว่า กินของทอดแล้วเวียนหัว หรือรู้สึกอ่อนเพลียโดยไม่มีสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกถึงระดับน้ำตาลในเลือดที่ขึ้น-ลงอย่างรวดเร็ว
5. เสี่ยงเป็นโรคอ้วน
อาหารทอดมีปริมาณแคลอรี่สูงมาก นั่นเป็นเพราะอาหารจะดูดซับน้ำมันในระหว่างการทอด หากเลือกกินของทอดเป็นประจำโดยไม่ได้ควบคุมปริมาณ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานเกินความจำเป็นและสะสมเป็นรูปแบบของไขมันส่วนเกิน มีไขมันสะสมใต้ชั้นผิวหนัง ทำให้รูปร่างใหญ่ขึ้น สัดส่วนที่ไม่สมดุล และส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เสี่ยงต่อภาวะโรคอ้วน ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังอื่น ๆ ตามมาอีกมากมาย
'ของมัน-ของทอด'เพิ่มความเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี
อาหารที่มีไขมันสูง เช่น ของมันและของทอด เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในน้ำดีเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สารเหล่านี้ตกตะกอนและกลายเป็นนิ่วได้ นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีไขมันมากเกินไปยังทำให้ถุงน้ำดีต้องทำงานหนักในการย่อยสลายไขมัน ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดนิ่วได้มากขึ้น
-
อาการที่ควรระวัง
อาการของนิ่วในถุงน้ำดีมักไม่แสดงชัดเจนในช่วงแรก แต่เมื่อมีอาการ อาจรู้สึกปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงด้านขวาหรือกลางท้อง อาการปวดอาจลามไปถึงหลังหรือไหล่ขวา และมักเกิดขึ้นหลังจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาการอื่น ๆ ที่ควรระวังได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน และรู้สึกแน่นท้อง
-
การตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดี
การตรวจวินิจฉัยนิ่วในถุงน้ำดีสามารถทำได้หลายวิธี โดยแพทย์จะพิจารณาจากอาการของผู้ป่วยและใช้เทคโนโลยีการตรวจที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึง
- อัลตราซาวด์ (Ultrasound): เป็นวิธีการตรวจที่ใช้กันมากที่สุด โดยใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพของถุงน้ำดีและสามารถมองเห็นนิ่วได้อย่างชัดเจน
- การสแกนด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้แพทย์สามารถมองเห็นตำแหน่งของนิ่วได้ดี และสามารถเห็นนิ่วในท่อน้ำดีได้ด้วย
- การสแกนด้วยเครื่องแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): ใช้ในการสร้างภาพที่ละเอียดของถุงน้ำดีและอวัยวะรอบ ๆ ซึ่งมีประโยชน์ในการวินิจฉัยนิ่วที่อาจไม่ปรากฏในอัลตราซาวด์
- การตรวจเลือด: การตรวจเลือดสามารถช่วยตรวจหาการอักเสบหรือการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นจากนิ่วในถุงน้ำดีได้
วิธีป้องกันนิ่วในถุงน้ำดี
- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง: ลดการรับประทานของทอด อาหารมัน และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง เพื่อป้องกันการตกตะกอนในถุงน้ำดี
- รับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์: ผัก ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ดช่วยในการย่อยอาหารและลดการสะสมของคอเลสเตอรอลในน้ำดี
- รักษาน้ำหนักให้เหมาะสม: การลดน้ำหนักอย่างถูกวิธีและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วได้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหารและช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอล
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี
ถึงแม้ของมันและของทอดจะเป็นของโปรดที่ยากจะต้านทาน แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ห่างไกลจากนิ่วในถุงน้ำดีได้ การเลือกอาหารที่มีประโยชน์และมีไขมันต่ำ การดื่มน้ำให้เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคนี้
อย่าลืมว่า สุขภาพที่ดีเริ่มต้นจากการดูแลตัวเอง การหลีกเลี่ยงของมันของทอดก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ง่ายที่สุดที่จะทำให้ถุงน้ำดีของคุณแข็งแรง ห่างไกลจากนิ่วที่ไม่พึงประสงค์ ลองปรับการกินและดูแลสุขภาพกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อป้องกันปัญหานิ่วในถุงน้ำดีในอนาคต
ของทอดควรกินกี่ครั้ง กินได้บ่อยแค่ไหน
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีการแนะนำที่ตายตัวว่าควรกินของทอดกี่ครั้ง กินได้บ่อยแค่ไหน หรือกินในปริมาณเท่าไหร่ เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เช่น สุขภาพโดยรวม กิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน และวิธีการปรุงของทอด อย่างไรก็ตาม ควรจำกัดการบริโภคของทอดให้น้อยที่สุด หรือ ไม่ควรเกิน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และเลือกทานในปริมาณที่พอเหมาะ การกินของทอดทุกวันหรือบ่อยครั้งจะเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพในระยะยาว
หลังกินของทอดควรกินอะไร
ในบางคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทานอาหารประเภททอดได้ หรือสามารถลดความถี่และลดปริมาณลงได้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลกระทบอันตรายที่จะตามมา แนะนำให้ทานอาหารเหล่านี้หลังกินของทอด
- ผักและผลไม้ที่มีกากใยไฟเบอร์สูง เช่น แอปเปิล กล้วย ส้ม มะละกอ ซึ่งจะช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติและช่วยลดการสะสมของไขมันส่วนเกิน
- ดื่มน้ำเปล่าและเครื่องดื่มสมุนไพร แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าตามเยอะ ๆ หลังกินของทอด หรือเลือกดื่มน้ำสมุนไพร เช่น ชาเขียว น้ำมะนาวอุ่น น้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาลและจากผลไม้ที่มีรสชาติหวานน้อย
- อาหารที่มีโพรไบโอติกส์ เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ชนิดที่ไม่มีน้ำตาล และคอมบูชา (ชาหมัก) ช่วยรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งอาจถูกรบกวนจากการกินของทอดที่มีไขมันสูง
ทางเลือกอื่นที่ดีต่อสุขภาพแทนการทอดอาหาร
คุณไม่จำเป็นต้องเลิกกินอาหารทอดไปเลยหรือตลอดไป แต่การเลือกอาหารทอดและความถี่ในการรับประทานจะช่วยลดผลกระทบจากอาหารทอดได้
- งดอาหารทอดกรอบ
อาหารทอดทุกชนิดอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ แม้จะไม่มากเท่าๆ กัน “ยิ่งอาหารจมอยู่ในน้ำมันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูดซับไขมันได้มากขึ้นเท่านั้น” เพิร์ตกล่าว “ดังนั้นการทอดกรอบจึงทำให้บริโภคไขมันและแคลอรีมากขึ้น” นอกจากนี้ การทอดกรอบยังใช้ความร้อนสูง ซึ่งก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า สารก่อมะเร็ง
- เลือกใช้การทอดในกระทะแต่พอดี
การทอดในกระทะเป็นวิธีการปรุงอาหารที่ใช้อุณหภูมิต่ำกว่าการทอดแบบจุ่มน้ำมัน และโดยทั่วไปจะใช้น้ำมันน้อยกว่าด้วย แม้ว่าจะดีต่อสุขภาพมากกว่าการทอดแบบจุ่มน้ำมัน แต่ก็ยังไม่ดีต่อสุขภาพเท่ากับวิธีการปรุงอาหารอย่างการทอดด้วยลมร้อนหรือการอบ “ถ้าคุณทอดในกระทะ ลองใช้น้ำมันมะกอกสำหรับอุณหภูมิต่ำ หรือใช้น้ำมันอะโวคาโดสำหรับอุณหภูมิสูง” เพิร์ตแนะนำ “ไขมันเหล่านี้ยังคงมีแคลอรีสูง แต่เป็นไขมันที่ดีต่อหัวใจ”
- หันมาใช้การทอดด้วยลมร้อนกันเถอะ
สำหรับเฟรนช์ฟรายส์และปีกไก่ การทอดด้วยลมร้อน เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพที่สุด อุปกรณ์ที่มีประโยชน์เหล่านี้จะ “ทอด” อาหารโดยการหมุนเวียนอากาศร้อนและใช้ น้ำมัน น้อย ลง ทำให้มีแคลอรีและไขมันน้อยลงมาก “ฉันราดหรือทาอาหารด้วยน้ำมันมะกอก และใช้สมุนไพรอย่างพริกไทยดำบดและปาปริก้า” เพิร์ตกล่าว
- ระวังอาหารที่คุณไม่ได้ทอดเอง
“ในบริการอาหาร น้ำมันที่ใช้มักจะเป็นน้ำมันราคาถูกกว่า อิ่มตัวกว่า และดีต่อสุขภาพน้อยกว่า” เพิร์ตเตือน (เรากำลังพูดถึงคุณอยู่นะ คอร์นด็อกในงานเทศกาลประจำเขต)
แน่นอนว่ายังมีวิธีการปรุงอาหารอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากการทอดด้วยน้ำมันพืชแล้ว คุณควรเลือกใช้วิธีการอบ ย่าง อบ ผัด หรือผัด ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้ไขมันน้อยกว่า และอย่าลืมใส่ใจวัตถุดิบของคุณด้วย เพื่อสุขภาพหัวใจที่ดีโดย เปลี่ยนจากน้ำมันมะกอก เป็นเนย และใช้สมุนไพรแทนเกลือ
นอกจากนี้ การเลือกกินของทอดยังไงไม่ให้อ้วน แนะนำให้เลือกชนิดอาหารที่เป็นโปรตีนสูง หรือเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันแทรก และเลือกใช้หม้อทอดไร้น้ำมันแทน หรือใช้วิธีการทอดแบบไร้น้ำมันหรือการจี่ในกระทะโดยตรง สำหรับใครที่สังเกตว่า หลังกินของทอด แล้วเจ็บคอ ซึ่งอาจเกิดจากการระคายเคืองจากไขมันสูง และยังอาจกระตุ้นให้เกิดอาการกรดไหลย้อน ดังนั้น ควรเดินเล่นเบา ๆ เพื่อให้อาหารย่อย และไม่ควรนอนเลยในทันทีหลังทานอาหาร เพื่อลดความเสี่ยงของอาการกรดไหลย้อน
ลดไขมันส่วนเกิน กู้หุ่นพังให้เพรียวสวย
แน่นอนว่าหลังกินของทอดในปริมาณเยอะและกินเป็นประจำ ส่งผลให้ร่างกายเกิดการสะสมของไขมันส่วนเกินที่ทำให้หุ่นพัง สัดส่วนดูใหญ่ขึ้น ส่งผลให้ขาดความมั่นใจ โดยแนะนำให้ใช้วิธีการหลีกเลี่ยงของทอด ลดหรือเลี่ยงอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (ข้าวหรือแป้งที่ขัดสี) ลดน้ำตาล และนับแคลอรีเพื่อควบคุมไม่ให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินกว่าที่ต้องการในแต่ละวัน รวมถึงออกกำลังกายประเภทคาร์ดิโอ เพื่อเร่งการเผาผลาญไขมันส่วนเกิน ช่วยกระชับสัดส่วน ลดน้ำหนักให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
แต่ทั้งนี้ ในบางคนที่มีปัจจัยทางร่างกายที่ไม่ค่อยตอบสนองต่อการออกกำลังกาย หรือแม้แต่การควบคุมอาหารแล้วแต่ยังมีไขมันเฉพาะจุดที่ลดได้ยาก การลดไขมันเพื่อลดสัดส่วนด้วยเทคนิคทางการแพทย์ อย่างการดูดไขมัน นับว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกู้หุ่นพังให้กลับมาดูดีขึ้นได้ ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดโดยแพทย์ ผสานกับการเลือกใช้เทคโนโลยีดูดไขมัน เช่น พลังงานอัลตราซาวด์ พลังงานคลื่นวิทยุ หรือพลังงานน้ำ ซึ่งแพทย์สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับรูปร่างและลักษณะไขมันสะสมที่แตกต่างในแต่ละบุคคล
อ้างอิง:โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล อ้อมน้อย , AM Internation Hospital ,health.clevelandclinic







