'ได้ยิน ได้กลิ่น หลับไม่สนิท' ชีวิตเสี่ยง 'สมองเสื่อม'

“อัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease)” เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่ทำให้การทำงานของสมองค่อยๆ เสื่อมถอยลงอย่างถาวร
KEY
POINTS
- ภาวะหูตึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมขึ้นเกือบ 2 เท่า ขณะที่การรับกลิ่น การนอนไม่พอ อดนอน ล้วนเพิ่มความเสี่ยงอัลไซเมอร์ได้
- ผู้ป่วยสมองเสื่อม 2 ใน 5 คน ที่สามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ หากสามารถกำจัดปัจจัยเสี่ยงออกไปได้
- การนอนหลับที่มีคุณภาพสำคัญต่อสุขภาพกายและจิตใจ เนื่องจากเราใช้เวลาประมาณหนึ่งในสามของชีวิตกับการนอน
“อัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease)” เป็นโรคสมองเสื่อมชนิดหนึ่งที่ทำให้การทำงานของสมองค่อยๆ เสื่อมถอยลงอย่างถาวร ส่งผลให้ความจำ การคิด พฤติกรรม และการใช้ชีวิตประจำวันลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยสาเหตุหลักมาจากโปรตีนผิดปกติชื่อ "เบตา-อะไมลอยด์" และ "ทาว" สะสมในเนื้อสมอง ทำให้เซลล์สมองตายและสมองฝ่อลง ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาจะมุ่งเน้นที่การชะลอโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และดูแลผู้ป่วยให้ดียิ่งขึ้น
21 กันยายนของทุกปีเป็น "วันอัลไซเมอร์โลก" ซึ่งในแต่ละปีมีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในปัจจุบันการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ผู้คนอายุยืนยาวมากขึ้น หากไม่ได้รับการป้องกัน ดูแลตนเองให้ดี อาจมีภาวะเสี่ยงเกิด “โรคอัลไซเมอร์” ได้ เพราะในทุกๆ 7 วินาที จะมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้น 1 คน และขณะนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลกถึง 4.6 ล้านคนต่อปี
ประเทศไทยแม้จะยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน แต่คาดการณ์ว่าประชากรไทยที่อายุเกิน 60 ปี จะมีโอกาสพบภาวะสมองเสื่อมประมาณ 8.2% และขณะนี้ไทยได้เข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์แล้ว โดยมีผู้สูงวัยอายุเกิน 60 ปี จำนวน 14 ล้านคน ประเมินว่ามีผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมประมาณ 900,000 คน ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทุกๆ 7 วินาที ผู้ป่วยอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น 1 ราย สูงวัยเสี่ยงสมองเสื่อม 8.2%
รู้ปัจจัยเสี่ยง ป้องกันอัลไซเมอร์
ในงาน “เสวนากิจกรรมวันอัลไซเมอร์โลก ประจำปี 2568” ที่ทาง ศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับชมรมสมองใส่ใจสบาย และหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกสภากาชาดไทย จัดโครงการรณรงค์อย่างต่อเนื่องทุกปี ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)กรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ปีนี้จัดขึ้นด้วยแนวคิด "กล้าถามเปิดใจ เข้าใจอัลไซเมอร์
เจาะลึกปัญหาสุขภาพกับความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ “ได้ยิน ได้กลิ่น หลับไม่สนิท ชีวิตเสี่ยงสมองเสื่อม” หนึ่งในกิจกรรมที่จัดขึ้น เพื่อทำความเข้าใจ และสร้างการตระหนักรู้ การป้องกันดูแลตัวเองลดความเสี่ยงเกิดโรคอัลไซเมอร์
ดร.นพ.ชาวิท ตันวีระชัยสกุล จิตแพทย์ประจำศูนย์ภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า จากการรวบรวมการศึกษาทั่วโลก (ปี 2024) ได้มีการแบ่งปัจจัยเสี่ยงของภาวะสมองเสื่อมที่สามารถจัดการได้ออกเป็น 3 ช่วงวัย โดยมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่า 10 อย่าง
แต่ละช่วงวัยเกิดภาวะสมองเสื่อมได้อย่างไร?
ปัจจัยเสี่ยงหลักของภาวะสมองเสื่อมที่สามารถจัดการได้ในแต่ละช่วงวัย มีดังนี้
1. วัยเด็ก (Childhood) ปัจจัยเสี่ยงหลักที่สามารถจัดการได้ในวัยเด็กคือเรื่องของ การศึกษา พบว่า คนที่ได้รับการศึกษาเยอะ ๆ จะมีความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมน้อยกว่าคนที่มีการศึกษาน้อย ๆ และต่อให้มีโอกาสได้รับการศึกษาในวัยเด็กน้อย แต่การเรียนรู้เพิ่มเติมเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวัยกลางคนหรือวัยสูงอายุ ก็น่าจะดีกว่าการไม่ได้มีการเรียนรู้เพิ่มเติมเลย
2. วัยผู้ใหญ่ (Adulthood) ในวัยผู้ใหญ่ ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ โรคประจำตัว อาทิ ไขมันในเลือดสูง ภาวะซึมเศร้า โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะอ้วน (Obesity) การบาดเจ็บทางสมอง (Traumatic Brain Injury)และพฤติกรรมสุขภาพ อย่าง การไม่ออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป การรักษาและจัดการโรคเหล่านี้จะทำให้ความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมลดลงได้
“หลายคนที่เป็นไขมันสูง เบาหวาน หรือความดันสูง มักจะรู้สึกโอเคในช่วง 5 ปีแรก และไม่ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือไม่กินยา แต่หลังจากนั้น ไขมัน น้ำตาล และความดันที่สูง จะทำลายหลอดเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ซึ่งผลลัพธ์หนึ่งที่ตามมาคือโรคสมองเสื่อม”
3. วัยสูงอายุ (Older Age) ปัจจัยเสี่ยงหลักในวัยสูงอายุมีความเกี่ยวข้องกับปฏิสัมพันธ์ทางสังคม สภาพแวดล้อม และการดูแลร่างกาย เช่น การอยู่โดดเดี่ยว มลพิษทางอากาศ (Air Pollution): หากเรามีโอกาสเลือกได้ การใช้เครื่องฟอกอากาศหรือเครื่องกรองอากาศอาจช่วยได้ และเรื่องการมองเห็น/สายตา ซึ่งสายตาที่ไม่ดี โดยเฉพาะในวัยสูงอายุ พบว่าเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้
“การลดความเสี่ยงเป็นแนวทางที่สำคัญที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในการช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อม ซึ่งรวมถึงการดูแลสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงและจัดการโรคประจำตัว ในขณะที่การใช้ยาช่วยได้บ้างแต่ยังมีข้อจำกัดและไม่ควรหวังผลมากนัก ส่วนอาหารเสริมนั้นมีประสิทธิภาพน้อยที่สุด และไม่สามารถหวังพึ่งพาในการป้องกันหรือรักษาโรคสมองเสื่อมได้”
“หูตึง”ปัจจัยเสี่ยงสมองเสื่อมที่ป้องกันได้
ผศ.ดร.พญ.นัตวรรณ อุทุมพฤกษ์พร อาจารย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯและ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการได้ยินและทรงตัว หน่วยโสตประสาทวิทยา ฝ่ายโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่าภาวะหูตึง (Hearing loss) ถูกระบุว่าเป็น ปัจจัยเสี่ยงสูงสุดที่สามารถป้องกันได้ของภาวะสมองเสื่อม ซึ่งความเสี่ยงนี้เป็นสิ่งที่ทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก
โดยผลกระทบของภาวะหูตึงต่อความเสี่ยงสมองเสื่อมที่ป้องกันได้ ได้แก่
1. การเพิ่มขึ้นของความเสี่ยง ซึ่งภาวะหูตึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมขึ้นเกือบ 2 เท่า จากการศึกษาในเปเปอร์ของศาสตราจารย์จิลล์ ลิฟวิงตัน (Professor Jill Livingston) ระบุว่ามีการเพิ่มความเสี่ยงขึ้น 1.94 เท่า
2. การป้องกันและความเสี่ยงที่หายไป: ความสำคัญสูงสุดของการจัดการภาวะหูตึงคือ หากเรารักษาภาวะหูตึงตั้งแต่แรกเริ่ม ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่านี้จะหายไป การป้องกันและตัดปัจจัยเสี่ยงนี้ออกไปเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการภาวะสมองเสื่อม เนื่องจากเมื่อเป็นสมองเสื่อมแล้วการรักษาให้หายด้วยยาจะทำได้ยาก
3. ความชุกของปัญหา: นอกจากจะเป็นความเสี่ยงสูงสุดแล้ว ภาวะหูตึงยังเป็นความเสี่ยงที่ พบเจอได้เยอะที่สุด ด้วย
“จากสถิติของผู้ป่วยสมองเสื่อม มี 2 ใน 5 คน ที่สามารถป้องกันภาวะสมองเสื่อมได้ หากสามารถกำจัดปัจจัยเสี่ยงออกไปได้ ซึ่งความเสี่ยงสูงสุดนั้นคือเรื่องของหูตึง และองค์การอนามัยโลก (WHO) สมาคมหมอหูคอจมูกแห่งประเทศอเมริกา จึงออกคำแนะนำให้บุคคลทุกคนที่มีอายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจเช็กว่าตนเองมีปัญหาหูตึงหรือไม่ เพื่อรีบทำการรักษาแก้ไขและลดความเสี่ยงของสมองเสื่อม หากตรวจพบและรักษาได้เร็ว เช่น ตั้งแต่อายุ 50 ปี อาจช่วยลดความเสี่ยงได้มากกว่าการแก้ไขปัญหาเมื่ออายุ 60 หรือ 70 ปี”
ปัจจัยผู้มีปัญหาหูตึง ไม่เข้ารับการรักษา
ผศ.ดร.พญ.นัตวรรณ กล่าวอีกว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้มีปัญหาหูตึงไม่เข้ารับการรักษา เกิดจากการปฏิเสธหรือการเข้าใจผิดเกี่ยวกับปัญหาการได้ยิน เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจใช้เวลา 7- 10 ปี หลังจากเริ่มมีอาการหูตึง กว่าจะรู้ตัวและเข้ารับการรักษา อีกทั้งสิ่งแรกที่ผู้ป่วยมักคิดคือปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตนเอง แต่อยู่ที่ผู้อื่น พวกเขาเชื่อว่าคนที่อยู่รอบตัว โดยเฉพาะคนสมัยนี้ "พูดเร็ว พูดรัว" หรือ "พึมพำ" ทำให้พวกเขาฟังไม่รู้เรื่อง
ขณะเดียวกัน ในบริบทของประเทศไทย มีการช่วยเหลือจากลูกหลาน เช่น รับโทรศัพท์แทน, กดออด, หรือออกไปซื้อของตามห้างให้ ทำให้ผู้สูงอายุไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องได้ยินหรือต้องดูแลตัวเอง นอกจากนั้น หลายคนยังกลัวปฏิกิริยาของสังคมและการเสียความมั่นใจ อย่าง การเครื่องช่วยฟังถูกมองว่าเป็นสติกมา (stigma) หรือหมายถึงความผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากการใส่แว่นตาที่คนไม่ค่อยรู้สึกเช่นนั้น
"งานวิจัยที่ตีพิมพ์พบว่า ผู้สูงอายุในไทยส่วนใหญ่กลัวว่าคนอื่นจะมอง แต่ในทางกลับกัน เมื่อพวกเขาเห็นเพื่อนใส่หูฟัง กลับรู้สึกเฉย ๆ จริง ๆ แล้วหลายท่าน "คิดไปเอง" ว่าคนอื่นจะสนใจหรือมองพวกเขาในแง่ลบ กลัวค่าใช้จ่าย: บางคนกังวลว่า "ไม่เอา" ไม่ไปโรงพยาบาลเพราะ "เดี๋ยวเสียเงินเสียทองเยอะแยะ" หรือ "ไม่อยากจ่ายเงิน"
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน เครื่องช่วยฟัง สามารถเบิกได้ทุกสิทธิ์การรักษา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ข้าราชการ ครอบครัวข้าราชการ ประกันสังคม หรือสิทธิ สปสช. (ผ่านกองทุนอุปกรณ์เสริมสำหรับผู้พิการ)
กลิ่นกับสมอง ตัวบ่งชี้ภาวะสมองเสื่อม
ศ.พญ.สุพินดา ชูสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และนายกสมาคมแพทย์โรคจมูก(ไทย) กล่าวว่าการรับกลิ่นที่บกพร่องหรือสูญเสียไป (การสูญเสียการรับรู้กลิ่น) มีความสัมพันธ์กับโรคและภาวะต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาทและสมอง อย่าง ภาวะสมองเสื่อม ,โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน การรับกลิ่นลดลงมีความเกี่ยวข้องกับภาวะสมองเสื่อม และอาจมา "ก่อน" ภาวะสมองเสื่อมด้วยซ้ำ
"การรับกลิ่นบกพร่องส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต และเป็นสัญญาณเตือนโรค เช่น การรับรู้ถึง กลิ่นที่เป็นพิษ หรือกลิ่นอันตราย,การไม่ได้รับรู้เมื่อ ลืมเปิดแก๊สทิ้งไว้ ,การไม่รู้ว่า อาหารบูด หรือเน่าเสียแล้ว ทำให้กินเข้าไป ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย และกาารรับกลิ่นที่เสียไปยังทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่า กินอาหารไม่อร่อย เนื่องจากกลิ่นมีความสัมพันธ์กับการรับรส"
ฝึกดมกลิ่น ฟื้นฟูประสาทและกระตุ้นการทำงานสมอง
ศ.พญ.สุพินดา กล่าวต่อว่ากลิ่นที่ถูกนำมาใช้ในการฝึกดมกลิ่น เพื่อฟื้นฟูประสาทการรับกลิ่นและกระตุ้นการทำงานของสมอง คือ กลิ่นมาตรฐาน 4 กลิ่น ดังนี้ กลิ่นกุหลาบ ,กลิ่นมะนาว,กลิ่นกานพลู และกลิ่นยูคาลิปตัส ซึ่งการฝึกดมกลิ่น จัดเป็นการรักษาหลักในผู้ที่สูญเสียการรับรู้กลิ่นจากระบบประสาท โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ชุดกลิ่นทั้ง 4 กลิ่นที่แตกต่างกันนี้ กระตุ้นประสาทรับกลิ่นในตำแหน่งที่แตกต่างกัน
"ผู้ฝึกจะต้องดมกลิ่นทั้ง 4 กลิ่นนี้เป็นประจำ วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน โดยระหว่างการดมกลิ่น ให้สูดหายใจเข้าลึก ๆ ทางจมูกประมาณ 10-15 วินาที และในระหว่างที่ดมนั้น ให้ผู้ฝึก นึกถึงภาพหรือความทรงจำเกี่ยวกับกลิ่นนั้น ๆ ด้วย พัก 10 วินาที แล้วจึงหยิบกลิ่นถัดไปมาดมจนครบ 4 กลิ่น ซึ่งผลการวิจัยทั่วโลกพบว่า การฝึกดมกลิ่นช่วยให้ 30 ถึง 50% ของผู้ที่สูญเสียการรับรู้กลิ่นได้กลิ่นดีขึ้น"
นอนไม่พอ นอนไม่ดี ส่งผลต่อสมอง
พญ.ปุณฑริก ศรีสวาท จิตแพทย์ด้านจิตเวชทั่วไป ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่าการนอนไม่พอหรือการมีคุณภาพการนอนหลับที่ไม่ดีส่งผลเสียต่อร่างกายและจิตใจอย่างครอบคลุม เนื่องจากเราใช้เวลาประมาณหนึ่งในสามของชีวิตกับการนอนหลับ ดังนั้น ถ้าการนอนไม่ดีก็จะ มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต สุขภาพสมอง และความจำ
"การนอนหลับ คือ ช่วงเวลาที่สมองทำหน้าที่สำคัญในการฟื้นฟูและจัดการของเสีย เมื่อนอนไม่พอหรืออดนอน กลไกเหล่านี้จะบกพร่อง เพิ่มความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ ความจำและสมาธิแย่ลง อารมณ์หงุดหงิดและวิตกกังวลได้ง่าย และ การนอนไม่เป็นเวลา ทำให้นาฬิกาชีวิต ทำงานผิดปกติ เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ภูมิคุ้มกันตก น้ำหนักเพิ่ม และภาวะอักเสบของร่างกาย"
สัญญาณการนอนเริ่มมีปัญหา
สัญญาณที่บ่งชี้ว่าการนอนหลับอาจเริ่มมีปัญหาหรือผิดปกติ สามารถสังเกตได้จากอาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ดังนี้
1. สัญญาณความผิดปกติในเวลากลางวัน
• ง่วงนอนกลางวันมากผิดปกติ
2. สัญญาณความผิดปกติเกี่ยวกับการเข้าสู่การนอนหลับและการตื่นกลางดึก
• นอนหลับยาก: คือการใช้เวลา มากกว่า 30 นาที หลังจากที่เข้านอนแล้ว แต่ยังไม่สามารถนอนหลับได้
• ตื่นกลางดึกแล้วกลับไปหลับต่อไม่ได้: หากตื่นกลางดึกแล้วใช้เวลา มากกว่า 30 นาทีต่อครั้ง ในการกลับเข้าสู่การหลับ ถือเป็นสัญญาณที่ต้องมาหาสาเหตุ (ข้อควรจำคือ หากตื่นกลางดึก ลุกมาเข้าห้องน้ำ แต่กลับไปหลับต่อได้ในระยะเวลาอันสั้น อันนี้ไม่ได้เป็นปัญหา)
• สมองไม่ชัตดาวน์: มีอาการ ความวิตกกังวล หรือ สมองทำงานไปเรื่อย ๆ ปิดสวิตช์ความคิดไม่ได้สักที
3. ความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับการหายใจและการเคลื่อนไหวขณะหลับ
• นอนกรน / หยุดหายใจขณะหลับ
• มีอาการนอนละเมอ
• รู้สึกยุกยิกในขา
4. สัญญาณความผิดปกติเกี่ยวกับวงจรการนอนหลับ
• เวลาของการนอนหลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก: หากมีการเปลี่ยนแปลงถึงขั้น กลับกลางวันกลางคืนไปเลย ถือเป็นปัญหา
• นอนหลับเป็นช่วงสั้น ๆ: มีอาการนอนหลับเป็นช่วงสั้น ๆ เช่น 2-3 ชั่วโมง แล้วตื่นมาทำกิจกรรม แล้วก็กลับไปหลับอีก 2-3 ชั่วโมง
การนอนหลับที่มีคุณภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตในทุกช่วงวัย เนื่องจากเราใช้เวลาประมาณหนึ่งในสามของชีวิตกับการนอน ดังนั้น หากการนอนไม่ดี ย่อมส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยรวมอย่างแน่นอน การนอนหลับที่ดีจะทำให้เรา ตื่นดี และเมื่อเราตื่นดี เราก็จะ หลับดีไปด้วย







