ทุกๆ 7 วินาที ผู้ป่วยอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น 1 ราย สูงวัยเสี่ยงสมองเสื่อม 8.2%

ทุกวันที่ 21 กันยายนของทุกปีเป็น "วันอัลไซเมอร์โลก" ซึ่งมีการรณรงค์ให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญ เข้าใจ “โรคอัลไซเมอร์” มากขึ้น
KEY
POINTS
- อายุยืนมากขึ้น เสี่ยง "โรคอัลไซเมอร์" มากขึ้น ซึ่งทุกๆ 7 วินาที พบผู้ป่วยเพิ่ม 1 ราย
- การนอนหลับ การได้ยิน สุขภาพฟัน ขาดการใช้สมอง ขาดออกกำลังกาย ความเครียด ภาวะซึมเศร้า พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ขาดปฎิสัมพันธ์ทางสังคม ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงอัลไซเมอร์
- อัลไซเมอร์สามารถป้องกันได้หากปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง หรือตรวจพบเร็ว เพื่อชะลอการเสื่อมของสมองได้
ทุกวันที่ 21 กันยายนของทุกปีเป็น "วันอัลไซเมอร์โลก" ซึ่งมีการรณรงค์ให้ทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญ เข้าใจ “โรคอัลไซเมอร์” มากขึ้น ทั้งในด้านการส่งเสริมป้องกันและการดูแลผู้ป่วยสมองเสื่อม เนื่องจากโรคดังกล่าวพบจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้น ทุกๆ 7 วินาที จะมีผู้ป่วยอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้น 1 คน และขณะนี้มีผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลกถึง 4.6 ล้านคนต่อปี
ประเทศไทย ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด แต่ประมาณการว่า ประชากรไทยที่อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป มีโอกาสเป็นสมองเสื่อมประมาณ 8.2% ยิ่งไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแบบสมบูรณ์ มีผู้สูงวัยเกิน 60 ปี จำนวน 14 ล้านคน คาดว่ามีผู้สูงอายุที่มีภาวะสมองเสื่อมในประเทศไทยประมาณ 900,000 คน หรือเกือบ 1 ล้านคน ที่ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
วันนี้ (16 กันยายน 2568) ที่อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ร่วมกับชมรมสมองใส่ใจสบาย และหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกสภากาชาดไทย จัดโครงการรณรงค์เนื่องในวันอัลไซเมอร์โลกอย่างต่อเนื่องทุกปี ภายใต้การสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)กรุงเทพมหานคร เขตปทุมวัน ด้วยแนวคิด "กล้าถามเปิดใจ เข้าใจอัลไซเมอร์"
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ทำงานซ้ำซากจำเจ อาจเสี่ยง ‘อัลไซเมอร์’ เพิ่มขึ้น 37% อาชีพไหนเข้าข่าย?
อายุยืนยาว เสี่ยงอัลไซเมอร์พุ่ง
รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์มีความสำคัญอย่าง โดยเน้นย้ำถึงการป้องกัน การดูแลตนเอง และการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและญาติ เพราะภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์เป็นปัญหาด้านสุขภาพและปัจจุบันพบผู้ป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากผู้คนในขณะนี้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น
“โรคอัลไซเมอร์ สามารถป้องกันได้หากปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง หรือตรวจพบเร็ว เพื่อชะลอการเสื่อมของสมองได้ แต่หากผู้ป่วยแล้วจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยผู้ป่วย ญาติ แพทย์ผู้ดูแล และสังคมรอบข้างมีความเข้าใจโรคมากขึ้น โดยต้องมุ่งเน้น Self-care เพื่อสร้างความยั่งยืนของการดูแลสุขภาพในปัจจุบันต้องอาศัยการดูแลตนเองเป็นหลัก”
การจัดงานในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมให้ทุกคน "กล้าถามเพื่อจะเข้าใจ" เกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์มากขึ้น และหากรู้ถึงความเสี่ยงว่ามีโอกาสเป็นโรค หรือไม่ จะนำไปสู่การดูแลตนเองช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพในอนาคต และมุ่งหวังให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และพัฒนาความเข้าใจและการดูแลผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมให้มีประสิทธิภาพ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วยและญาติ
หลงลืมตามวัย VS อัลไซเมอร์
รศ.นพ.สุขเจริญ ตั้งวงษ์ไชย หัวหน้าศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวถึง “รู้ทัน ป้องกันอัลไซเมอร์ได้” ว่าคนสมองเสื่อมแล้ว ไม่สามารถเรียนรู้ใหม่ได้ แต่จะจำเรื่องราวเดิมที่มีอยู่ ความจำที่เสื่อมถอยจนนำไปสู่การใช้ชีวิตปกติไม่ได้ ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคสมองเสื่อมที่พบบ่อย คือ เป็นไปตามวัย , อัลไซเมอร์ และโรคหลอดเลือดสมอง
ความแตกต่างระหว่างการหลงลืมทั่วไป/หลงลืมตามวัย,ภาวะสมองเสื่อม และโรคอัลไซเมอร์ นั้น โดย
- ความหลงลืมทั่วไป/หลงลืมตามวัย
ถือเป็นเรื่องปกติที่ความจำเสื่อมถอยลงตามวัย เนื่องจากสมองก็เหมือนอวัยวะอื่นๆ ที่เสื่อมลงเมื่ออายุมากขึ้น เช่น การจำชื่อคนใหม่ๆ ยากขึ้น หรือลืมว่าเดินมาหยิบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ชั่วขณะหนึ่ง โดยรวมแล้วการหลงลืมตามวัย จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน
- ภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
เป็นคำกว้างๆ ที่หมายถึงการเสื่อมถอยของความสามารถทางสมอง6ด้าน (Cognitive domains:การรู้คิด) และที่สำคัญคือ การถดถอยนี้ต้องมากพอที่จะมีผลกระทบกับความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน
- โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer's Disease)
เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของภาวะสมองเสื่อม
6 ความสามารถ ‘ภาวะสมองเสื่อม’
หัวหน้าศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย อธิบายต่อว่าภาวะสมองเสื่อมที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันจะมีทั้งหมด 6 ด้าน ซึ่งภาวะสมองเสื่อมเกิดจากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดคือ เป็นไปตามวัย ,โรคอัลไซเมอร์ (ซึ่งมักจะเริ่มด้วยปัญหาความจำก่อน )และ โรคหลอดเลือดสมอง (อาจมีปัญหาด้านสมาธิและการบริหารจัดการมากกว่าความจำโดยตรง)
ทั้งนี้ ภาวะสมองเสื่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันผ่านความสามารถทางสมอง 6 ด้าน ได้แก่
1. ความจำ (Memory) ผู้ป่วย ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้ แม้ความจำเก่าๆ อาจยังดีอยู่มาก การพยายามแก้ไขหรือบอกว่าสิ่งที่พูดไปไม่จริงมักจะไม่ได้ผลและอาจนำไปสู่การทะเลาะกันได้
2. สมาธิ (Attention/Concentration) ผู้ป่วยมีปัญหาในการจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานๆ ทำให้ ไม่สามารถลงทะเบียนข้อมูลใหม่ๆ ได้ดี เช่น เดินไปกลางทางแล้วลืมว่าจะหยิบอะไร และไม่สามารถนึกออกได้เลย
3. ความสามารถในการบริหารจัดการ (Executive Function / Management Ability) ผู้ป่วยมีการใช้เหตุผลและการตัดสินใจที่แย่ลงมาก ทำให้ เป็นคนใจร้อน ขี้โมโห ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้เหมือนเด็กเล็ก และ ถูกหลอกง่าย โดยคอลเซ็นเตอร์หรือแก๊งค์หลอกลวง บางคนอาจกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว
4. ภาษา (Language) ผู้ป่วยบางรายมีปัญหาเรื่องภาษาเป็นอาการนำ อาจพูดจา ฟังไม่รู้เรื่อง คำศัพท์หายไป ไวยากรณ์ผิด หรือบางคนพูดคล่องแต่ ไม่เข้าใจความหมาย ที่สื่อสารกัน ตัวผู้ป่วยเองอาจไม่รู้ตัวว่าตนเองสื่อสารได้ไม่ดี
5. การรับรู้และทิศทาง (Perception and Orientation) ผู้ป่วยมองเห็นสิ่งของแต่ หาไม่เจอ หรือไม่สามารถตีความได้ว่าคืออะไร มีปัญหาในการรับรู้เชิง 3 มิติ ทำให้ หลงทางบ่อยๆ โดยเฉพาะในสถานที่คุ้นเคย มีความสามารถในการกะระยะและความเร็วลดลง ทำให้ ขับรถเกิดอุบัติเหตุง่าย และอาจทำกิจกรรมที่เป็นขั้นตอนซับซ้อนไม่ได้ เช่น แปรงฟัน หรือแต่งตัวไม่ถูกลำดับ
6. ความสามารถในการเข้าสังคม (Social Interaction Ability) ผู้ป่วยไม่สามารถรับรู้อารมณ์ของตนเองและคู่สนทนา ไม่มีความเข้าอกเข้าใจ ขาดการใช้เหตุผลและการยับยั้งชั่งใจ ทำให้กลายเป็น คนเห็นแก่ตัว ไม่มีเหตุผล และควบคุมตัวเองไม่ได้
ปัจจัยเสี่ยงเกิด “อัลไซเมอร์”
รศ.นพ.สุขเจริญ กล่าวต่อว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น มีการค้นพบมาตั้งแต่ในปี 1906 โดย Dr. Alois Alzheimer จากกรณีของ Auguste Deter ที่มีอาการความจำสั้น หวาดระแวง และเสียชีวิตตั้งแต่อายุ 50 ปี โดยกลไกการเกิดโรค มาจากการสะสมโปรตีน 2 ชนิดในสมอง ได้แก่ อะไมลอยด์ (Amyloid protein) และโปรตีนเทาว์ (Tau protein) ซึ่งโปรตีนผิดปกติเหล่านี้จะสะสมตัวเป็นเวลานาน (เช่น 20-25 ปี) ก่อนแสดงอาการ
“ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ ได้แก่ อายุที่เพิ่มขึ้น, เพศหญิง (พบในผู้หญิง 2 ใน 3 ราย), และประวัติครอบครัว พันธุกรรม (มีความเสี่ยงสูงขึ้น 1 เท่าตัว) รวมถึง ปัจจัยเสี่ยงใหม่ๆ ที่สามารถป้องกันได้ คือ การนอนหลับ ซึ่งการนอนหลับลึกโดยเฉพาะ 3 ชั่วโมงแรก มีบทบาทสำคัญในการล้างของเสีย (โปรตีนผิดปกติ) ออกจากสมองผ่านระบบน้ำเหลืองในสมอง และไม่ควรงีบหลับกลางวันเกิน 1 ชั่วโมง (แนะนำ 30 นาที) รวมทั้ง ท่านอนตะแคงดีกว่านอนหงาย เพราะลดความเสี่ยงภาวะหยุดหายใจขณะหลับ”
นอกจากนั้น เรื่องของสุขภาพช่องปาก การที่ฟันผุและการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องปากสามารถกระตุ้นการอักเสบและเร่งการเกิดอัลไซเมอร์ได้ การเคี้ยวด้วยฟันกรามช่วยกระตุ้นสมอง การใช้ฟันกรามน้อยลงอาจเพิ่มความเสี่ยง,แสงสว่าง ควรนอนในห้องที่มืดสนิท เพื่อรักษาวงจรการตื่น-หลับตามธรรมชาติ
อย่าขาดการใช้สมอง ออกกำลังกาย
หัวหน้าศูนย์ดูแลภาวะสมองเสื่อม โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวอีกว่าหากอายุมากขึ้น
- ควรจะมีการใช้สมองอย่างต่อเนื่อง เพราะสมองก็เหมือนอวัยวะอื่นๆ ที่หากทำงานมากก็จะแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะผู้เกษียณควรพยายามใช้สมองอยู่เสมอ
- อย่าขาดการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายช่วยให้โปรตีนผิดปกติถูกเคลียร์ได้ดีขึ้น และช่วยให้สมองเติบโตได้ดีขึ้น
- ลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์
- โรคประจำตัวที่ไม่ได้รับการควบคุม เช่น ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และความดันโลหิตสูง
- พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี การกินอาหารรสหวานจัด เค็มจัด มันจัด
- การใช้สารเสพติด แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ ควรหยุดพฤติกรรมเหล่านี้เพราะเป็นอันตราย
- การขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การไม่ออกไปท่องเที่ยวนอกบ้าน การขาดกิจกรรมทางสังคม ทำให้จิตใจไม่เบิกบาน
- การสูญเสียการได้ยิน
- ปัญหาการดมกลิ่น การสูญเสียการได้กลิ่นอาจเป็นอาการนำของสมองเสื่อมบางชนิด เช่น อัลไซเมอร์และพาร์กินสัน
ตรวจวินิจฉัย-แนวทางการรักษา
รศ.นพ.สุขเจริญ กล่าวด้วยว่า สำหรับการตรวจวินิจฉัย และการรักษาในปัจจุบัน จะมีการตรวจเลือด ซึ่งแม้เทคโนโลยีจะพัฒนาขึ้น แต่ยังมีความผิดพลาด (ผลบวกเทียม/ลบเทียม) ซึ่งการตรวจเลือด ไม่ควรตรวจในผู้ที่ยังไม่มีอาการ หรือผู้ที่สมองยังปกติ การตรวจเลือดนี้จะทำเฉพาะในผู้ที่มีอาการแล้วเท่านั้น เพราะหากตรวจพบในคนปกติ ก็ยังไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรต่อ และอาจทำให้เกิดความร้อนใจโดยไม่จำเป็น
การทำเพทสแกน (PET Scan) เป็นการตรวจเอกซเรย์สมองโดยการ ฉีดสารกัมมันตรังสี เข้าไปในกระแสเลือด ซึ่งสารนี้จะไป จับกับโปรตีนผิดปกติ เช่น อะไมลอยด์โปรตีน ที่สะสมอยู่ในสมอง ทำให้สามารถถ่ายภาพการสะสมของโปรตีนนั้นได้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ถือว่าเป็นการ "จับผู้ร้าย" โดยตรงที่สุด แต่มีข้อจำกัด คือ มี ค่าใช้จ่ายสูงมาก โดยการทำเพทสแกนแต่ละครั้งอาจมีค่าใช้จ่ายถึง "เกือบครึ่งแสนบาท" และมีข้อจำกัดด้านโรงพยาบาลที่สามารถให้บริการได้ ดังนั้น การทำเพทสแกนจะทำเฉพาะในคนที่มีอาการที่สงสัยว่าเป็นภาวะสมองเสื่อมแล้วเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่มีอาการ
ส่วนการยาใหม่ (Lecanemab) ซึ่งเป็นยาฉีดเข้าเส้นทุก 2 สัปดาห์ (นาน 18 เดือน) มีราคาแพงมาก (กว่าล้านบาท) ทำหน้าที่เคลียร์โปรตีนอะไมลอยด์ในสมอง ช่วยชะลอการเสื่อมถอยได้บ้าง แต่ไม่ได้รักษาให้หายขาด และมีผลข้างเคียง เช่น สมองบวมหรือมีเลือดออกในสมอง (10-30%)
ดูแลตนเอง ป้องกัน ชะลอภาวะสมองเสื่อม
การป้องกันและชะลอภาวะสมองเสื่อมมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพองค์รวม ดังนี้
- กระตุ้นสมอง: ใช้สมองอย่างต่อเนื่อง เช่น การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
- ออกกำลังกาย: ช่วยให้สมองแข็งแรงและล้างของเสียได้ดีขึ้น
- จัดการความเครียด/ภาวะซึมเศร้า: ลดความเสี่ยงต่อการเสื่อมถอยของสมอง
- ควบคุมโรคประจำตัว: จัดการโรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, ไขมันในเลือดสูงให้ดี
- โภชนาการ: รับประทานอาหารสุขภาพ ลดหวาน, เค็ม, มัน
- งดสารเสพติด: หยุดแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
- นอนหลับอย่างมีคุณภาพ: นอนหลับให้ดีและเพียงพอ นอนหลับอย่างมีคุณภาพ
- ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม: ออกไปท่องเที่ยวและทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น
- ดูแลประสาทสัมผัส: ตรวจสุขภาพการได้ยินและการได้กลิ่น
- ดูแลสุขภาพช่องปาก: ตรวจฟันเป็นประจำ
- ฝึกสมาธิ: ช่วยให้จิตใจสงบและสมองดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีความก้าวหน้าในการตรวจและรักษา แต่การป้องกันและดูแลสุขภาพแบบองค์รวมยังคงเป็นแนวทางที่เข้าถึงได้และมีประสิทธิภาพที่สุดในการรับมือกับภาวะสมองเสื่อมและโรคอัลไซเมอร์







