พฤติกรรมต้องห้าม! 'วัยรุ่น วัยทำงาน' ไม่อยากเสี่ยง 'กระดูกพรุน'

พฤติกรรมต้องห้าม! 'วัยรุ่น วัยทำงาน' ไม่อยากเสี่ยง 'กระดูกพรุน'

เมื่อกล่าวถึง “โรคกระดูกพรุน” หลายๆ คนมักมองว่าจะเกิดในกลุ่มของผู้สูงอายุ  โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

KEY

POINTS

  • "วัยรุ่น วัยทำงาน" เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน ได้ โดยเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ ขาดวิตามินดี แคลเซี่ยม ออกกำลังกายน้อย ใช้ยาบางชนิด และความผิดปกติของฮอร์โมน เป็นต้น
  • “โรคกระดูกพรุน” คือ ภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลงและโครงสร้างภายในของกระดูกเสื่อมสภาพ ทำให้กระดูกเปราะบาง และหักได้ง่าย
  • ลดกาแฟ ชา เครื่องดื่มคาเฟอีนสูง เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์  งดสูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสมตรวจสุขภาพและระดับฮอร์โมน ช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้

 

เมื่อกล่าวถึง “โรคกระดูกพรุน” หลายๆ คนมักมองว่าจะเกิดในกลุ่มของผู้สูงอายุ  โดยเฉพาะผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ทั้งที่ในปัจจุบัน “วัยรุ่นและวัยทำงาน” ก็มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยง อาทิ  ออกกำลังกายไม่เพียงพอ สูบบุหรี่ ดื่มคาเฟอีน หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ขาดแคลเซียม วิตามินดี รวมถึงโรคประจำตัวบางอย่างและยาบางชนิด เป็นต้น

นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมที่อาจจะส่งผลต่อการเกิด “โรคกระดูกพรุน” เท่านั้น สถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนในประเทศไทยปี 2568 พบว่าอุบัติการณ์การเกิดกระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุคาดว่าจะอยู่ที่ 450-780 รายต่อแสนประชากรผู้สูงวัย ซึ่งสูงขึ้นจากเดิม. ขณะที่กรมการแพทย์ระบุว่ามีผู้สูงอายุที่เกิดภาวะกระดูกพรุนและกระดูกหักสูงถึง 30,000 คนต่อปี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ภัยร้าย! ความเครียด ส่งผล 'กระดูกบางเกิดโรคกระดูกพรุน'

'โรคกระดูกและข้อ' ไม่แก่ก็ป่วย เพราะปัจจัยเสี่ยงมีมากกว่าเรื่องอายุ     

ปัจจัยเสี่ยงกระดูกพรุนมีอะไรบ้าง?

 “นพ.เกรียงศักดิ์ เล็กเครือสุวรรณ” แพทย์ผู้ชำนาญการด้านคลินิกระงับปวด และผ่าตัด ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อไหล่ ศูนย์ศัลยกรรมออร์โธปิดิกส์เฉพาะทาง (Advanced Orthopedics Center) โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล กล่าวในบทความว่ากระดูกพรุน เป็นเรื่องที่เรามักได้ยินผู้สูงอายุเป็นกังวลกันบ่อยๆ แต่ปัจจุบัน ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสูงวัยเท่านั้น วัยรุ่นและวัยทำงานก็เสี่ยงต่อการเป็นกระดูกพรุนได้ ด้วยพฤติกรรมเสี่ยงจากการใช้ชีวิต ที่อาจบั่นทอนความแข็งแรงของมวลกระดูกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนมีดังต่อไปนี้ 

  • การดื่มแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีนมากเกินไป

กาแฟ ชา อาจช่วยให้มีแรงทำงาน เหล้า เบียร์อาจเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้การสังสรรค์สนุกขึ้น แต่หากบริโภคมาก นอกจากส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ก็ทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลงได้

  • ขาดวิตามินดี

หากร่างกายขาดวิตามินดีหรือแสงแดดที่ช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกาย สามารถส่งผลต่อให้กระดูกพรุนได้ เพราะวิตามินดีมีส่วนสำคัญในการสร้างแคลเซียมของกระดูก

  • ขาดการออกกำลังกาย

โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีแรงกด (weight-bearing exercise) เช่น วิ่ง เดินเร็ว เวทเทรนนิ่ง

  • อดอาหาร/ลดน้ำหนักผิดวิธี

ทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างมวลกระดูก

  • พันธุกรรม

คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคกระดูกพรุน หรือมีโรคประจำตัว เช่น ไทรอยด์ เบาหวาน

  • การใช้ยาบางชนิดต่อเนื่อง

เช่น ยาสเตียรอยด์ ยากันชัก ยารักษาไทรอยด์

  • ความผิดปกติของฮอร์โมน

กระดูกพรุนเสี่ยงเกิดในผู้หญิงมากกว่า  เนื่องจากฮอร์โมนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูก เมื่อหมดประจำเดือนผู้หญิงจึงมีความเสี่ยงมวลกระดูกสลายเร็วกว่า และในผู้ชาย กระดูกจะเริ่มบางลงเมื่อฮอร์โมนเพศลดลงตามวัย

“โรคกระดูกพรุน” เปลี่ยนชีวิตคุณโดยไม่รู้ตัว

โรคกระดูกพรุน เป็นภัยสุขภาพที่มักไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่กลับนำไปสู่ภาวะกระดูกหักได้ง่าย เพียงล้มแค่เบาๆ หรือแม้แต่คนที่ขาดการดูแลกระดูกอย่างเหมาะสม หากเริ่มปวดเรื้อรัง นั่นอาจเป็น สัญญาณของโรคกระดูกพรุน ที่ไม่ควรมองข้าม เช็กความเสี่ยง พร้อมวิธีป้องกันก่อนจะสายเกินไป

“โรคกระดูกพรุน” คือ ภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดลงและโครงสร้างภายในของกระดูกเสื่อมสภาพ ทำให้กระดูกเปราะบาง และหักได้ง่าย โดยปกติกระดูกของคนเราจะมีการสร้างและสลายอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรือมีปัจจัยบางอย่าง เช่น การขาดแคลเซียม ฮอร์โมนเพศลดลง หรือใช้ยาบางชนิดนานเกินไป กระบวนการสร้างกระดูกจะน้อยลง ทำให้ความหนาแน่นของกระดูกลดลง จนเกิดโรคกระดูกพรุนในที่สุด

การออกกำลังกายที่แนะนำสำหรับคนอายุ 30+

  • การออกกำลังกายเช่น การวิ่ง เดิน หรือแอโรบิก จะทำให้กระดูกได้รับน้ำหนัก จะทำให้มวลกระดูกคงสภาพได้ดีกว่า การไม่ออกกำลังกายเลย

โรคกระดูกพรุนอันตรายแค่ไหน

เมื่อเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกจะหักได้ง่าย ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สะดุดล้ม ใช้มือยันพื้น ตกจากเตียง ก็ทำให้กระดูกแตกหักได้ ความอันตรายขึ้นอยู่กับจุดที่กระดูกหัก เนื่องจากเมื่อกระดูกหักแล้วจะทำให้ปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น ผู้สูงอายุกระดูกสะโพกหักก็จะทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างปกติ

หลังจากที่กระดูกหัก การรักษาจะใช้วิธีการผ่าตัด สำหรับบางคนหลังจากผ่าตัดแล้วอาจไม่สามารถกลับมาเดินได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้เกิดปัญหาในระยะยาว ทำให้การดูแลสุขภาพยากมากขึ้น ในบางรายที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ก็จะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง เสี่ยงต่อการเสียชีวิต และโรคอื่น ๆ ที่จะตามมา

กระดูกที่หักบ่อยที่สุด

  • กระดูกบริเวณสะโพก
  • กระดูกบริเวณข้อมือ
  • กระดูกบริเวณต้นแขนหรือหัวไหล่

การรักษาและป้องกันโดยไม่ใช้ยา

  • รับแคลเซียมให้เพียงพอ สำหรับวัยผู้ใหญ่ ควรได้รับแคลเซียมต่อวัน 800-1000 มิลลิกรัม ซึ่งพบมากในนม โยเกิร์ต ชีส ปลาเล็ก ถั่ว งา
  • กระตุ้นการสังเคราะห์วิตามินดี  รับแสงแดดอ่อนตอนเช้า 10-15 นาทีต่อวัน เพื่อกระตุ้นการสร้างวิตามินดี และเสริมด้วยอาหาร เช่น ไข่แดง ปลาแซลมอน
  • ออกกำลังกายเช่น เดินหรือวิ่งอย่างน้อย 30 นาที เล่นเวทเทรนนิ่ง เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กระดูก

เลี่ยงปัจจัยทำลายกระดูก

  • ลดกาแฟ ชา เครื่องดื่มคาเฟอีนสูง เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์
  • รักษาน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  • น้ำหนักตัวที่มากหรือน้อยเกินไป มีผลต่อความแข็งแรงของมวลกระดูก การรับสารอาหารครบถ้วนและออกกำลังกายจึงสำคัญมาก
  • ตรวจสุขภาพและระดับฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้ที่มีพันธุกรรมโรคกระดูกพรุนและโรคประจำตัว

การรักษาโดยใช้ยา

  • ยาลดการสลายของกระดูก (Antiresorptive agents)
  • มีทั้งชนิดรับประทานและฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนังหรือเส้นเลือดดำ
  • ยาที่กระตุ้นการสร้างกระดูก (Anabolic agents)
  • ยาชนิดฉีดที่ต้องฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนังทุกวัน

ทั้งนี้วิธีการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งตัวผู้ป่วยรวมถึงดุลยพินิจของแพทย์ ดังนั้นการปรึกษาแพทย์ ตรวจมวลกระดูกและตรวจสุขภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน

กระดูกพรุนไม่ใช่เรื่องไกลตัว ที่ผู้สูงอายุควรระวังเท่านั้น การสร้างและรักษามวลกระดูกที่แข็งแรงตั้งแต่อายุยังน้อย ถือเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคกระดูกพรุนในอนาคต การดูแลสุขภาพสม่ำเสมอตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อตัวเราปัจจุบัน แต่เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงวัย”

อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ,โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล