'หลอดลมอักเสบ' โรคที่มาพร้อมกับอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย

ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ขณะที่มลภาวะเป็นพิษ PM 2.5 ควันรถ ควันบุหรี่ ล้วนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหลอดลมอักเสบ (Bronchitis)
KEY
POINTS
- โรคหลอดลมอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือสัมผัสกับสารก่อระคายเคืองบ่อยๆ และมักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว
- การป้องกันโรคหลอดลมอักเสบเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง
- ดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น รวมถึงหมั่นสังเกตอาการของตนเอง และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคนี้ได้
เมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ขณะที่มลภาวะเป็นพิษ PM 2.5 ควันรถ ควันบุหรี่ ล้วนเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดภาวะหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) ที่ตามมาด้วยอาการไอนาน ไอแห้ง หายใจลำบาก หอบเหนื่อยได้ ภาวะหลอดลมอักเสบ มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว สามารถพบผู้ติดเชื้อได้ทุกช่วงวัย หากได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง สามารถเกิดภาวะแทรกซ้อน การติดเชื้อจากหลอดลมอาจลามไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดอักเสบ (Pneumonia) และโรคถุงลมโป่งพองได้
“หลอดลมอักเสบ” เป็นหนึ่งในโรคทางระบบทางเดินหายใจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ โดยเฉพาะในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการไอและมีเสมหะจำนวนมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
แพทย์ชี้ 'หืดกำเริบรุนแรง' อาจเกิดจากการใช้ยาผิดวิธี
‘เมืองแพทย์สุดล้ำ’ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพ 6.9 แสนล้าน ดันจีดีพีโต 3.39%
"หลอดลมอักเสบ" โรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย
นพ.ตุลธร วงศ์เมธานุเคราะห์ แพทย์ผู้ชำนาญการ โรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤตระบบการหายใจ โรงพยาบาลวิมุต กล่าวในบทความว่า โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) คือโรคที่เกิดจากภาวะอักเสบของเยื่อบุหลอดลมในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง ทำให้ต่อมเมือก (mucous gland) โตขึ้น และหลั่งเมือกออกมามากกว่าปกติ
กระทั่งเกิดเป็นการอุดตัน ส่งผลให้ช่องทางเดินหลอดลมตีบแคบ เกิดอาการไอ หายใจลำบากและมีเสมหะ ซึ่งโรคหลอดลมอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอหรือสัมผัสกับสารก่อระคายเคืองบ่อยๆ และมักพบได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว
เช็กอาการของหลอดลมอักเสบ
หลอดลมอักเสบสามารถแสดงอาการได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและระยะเวลาของโรค ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเล็กน้อยและสามารถหายได้เองภายในไม่กี่วัน ในขณะที่บางรายอาจมีอาการรุนแรงและกินเวลายาวนาน โดยทั่วไปมีอาการสำคัญที่พบได้บ่อย ดังนี้
- ไอแห้ง หรือไอมีเสมหะ ซึ่งอาจมีสีใส ขาว เหลือง หรือเขียว
- หายใจมีเสียงหวีด หรือรู้สึกแน่นหน้าอก
- มีไข้ต่ำๆ หรือรู้สึกหนาวสั่น
- เจ็บคอ หรือเสียงแหบ
- อ่อนเพลีย หรือรู้สึกไม่สบายตัว
- หายใจลำบาก โดยเฉพาะเมื่อออกแรง
สาเหตุที่ทำให้เกิด "โรคหลอดลมอักเสบ"
โรคหลอดลมอักเสบสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับการติดเชื้อหรือการสัมผัสสารระคายเคืองต่าง ๆ สาเหตุหลักที่พบได้บ่อยมีดังนี้
- การติดเชื้อไวรัส เป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดลมอักเสบ โดยเฉพาะไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ เช่น ไวรัส RSV (Respiratory Syncytial Virus)
- การติดเชื้อแบคทีเรีย แม้จะพบได้น้อยกว่า แต่การติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดก็สามารถทำให้เกิดโรคหลอดลมอักเสบได้
- สารระคายเคืองทางเดินหายใจ เช่น ควันบุหรี่ มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และสารเคมี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบของหลอดลม
- โรคหอบหืด ที่หลอดลมอักเสบมักถูกกระตุ้นจากสารก่อภูมิแพ้
โรคหลอดลมอักเสบมีกี่ชนิด
โรคหลอดลมอักเสบ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1.หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน (Acute Bronchitis) มักมีสาเหตุหลักจากการติดเชื้อไวรัส ส่งผลให้หลอดลมเกิดการบวม อักเสบ อาการมักปรากฏภายในไม่กี่วัน และใช้เวลาประมาณ 1-3 สัปดาห์ กว่าจะหายขาด
2.หลอดลมอักเสบเรื้อรัง (Chronic Bronchitis) มักเกิดจากภูมิแพ้ หอบหืด ปัจจุบันสภาวะมลภาวะอากาศที่เปลี่ยนไป ฝุ่น หรือ PM 2.5 ควัน หรือ สารเคมีกลิ่นฉุน หรือภาวะหลังหายจากการติดเชื้อทางเดินหายใจ จะพบผู้ป่วยกลุ่มนี้มากขึ้น ส่งผลให้มีอาการไอเรื้อรังกว่า 3 เดือน จนถึง 1 ปี หรือนานกว่านั้น
สำหรับผู้ที่สูบบุหรี่หรือเคยสูบอาจมีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรัง ผู้ป่วยมักไอมาก ไอนาน ไอเสมหะมาก เสมหะเหนียวติดคอ ไอออกลำบาก หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง ถ้าไม่ได้รับการรักษา ทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียได้ง่ายขึ้น เสมหะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง หรือเขียว หรือหายใจหอบเหนื่อย มีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน และการรักษาจะยากมากขึ้น
ทั้งนี้ ภาวะหลอดลมอักเสบ พบว่า 50% ไอนานกว่า 2 สัปดาห์ และ 25% ไอนานกว่า 4 สัปดาห์ ผู้ที่มีหลอดลมอักเสบ ร่วมกับอาการสงสัยว่าหลอดลมตีบ เช่น อาการหายใจไม่อิ่ม แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด เหนื่อยง่าย พบว่าสัมพันธ์กับการเป็น หอบหืด หรือ ถุงลมโป่งพอง มากขึ้น ควรได้รับการรักษา ติดตาม และตรวจประเมินเพิ่มเติม เช่น ตรวจสมรรภภาพปอด
ปัจจัยเสี่ยงโรคหลอดลมอักเสบ
- การเกิดโรคหลอดลมอักเสบอาจมีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ ซึ่งบางปัจจัยอาจเกิดจากการใช้ชีวิต หรือสภาพแวดล้อม ในขณะที่บางปัจจัยอาจเกิดจากโรคประจำตัว ดังนี้
- การสูบบุหรี่ หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้นๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบของหลอดลม
- ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว มีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
- การสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ เช่น ฝุ่น ควันเสียจากยานพาหนะ และสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรม
- โรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหืด หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- การเปลี่ยนแปลงของอากาศ โดยเฉพาะช่วงที่อากาศเย็นลง ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้อาการของโรคแย่ลงได้
วินิจฉัยโรค แพทย์จะพิจารณาจากอาการ
การวินิจฉัยโรคหลอดลมอักเสบทำได้โดยการซักประวัติทางการแพทย์และตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยแพทย์จะพิจารณาจากอาการของผู้ป่วยและอาจใช้วิธีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้แน่ใจว่าอาการไม่ได้เกิดจากโรคอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น โรคปอดอักเสบหรือโรคหอบ หืด ซึ่งการตรวจวินิจฉัยได้แก่
- การตรวจร่างกาย โดยแพทย์จะฟังเสียงปอดเพื่อตรวจสอบเสียงผิดปกติ เช่น เสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดที่อาจบ่งบอกถึงการอักเสบของหลอดลม
- การเอกซเรย์ปอด ใช้ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าอาการอาจเกิดจากโรคอื่น เช่น ปอดอักเสบ หรือโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
- การตรวจเสมหะ แพทย์อาจนำเสมหะไปตรวจหาเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัส เพื่อช่วยแยกโรคว่าเกิดจากการติดเชื้อชนิดใด
- การทดสอบสมรรถภาพปอด (Pulmonary Function Test) เป็นการตรวจการทำงานของปอดโดยใช้เครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometer) เพื่อตรวจสอบว่ามีภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรังร่วมด้วยหรือไม่
วิธีรักษาโรคหลอดลมอักเสบ
การรักษาโรคหลอดลมอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค กรณีหลอดลมอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากไวรัส อาการมักจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ แต่หากมีอาการแทรกซ้อนที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แพทย์อาจมีแนวทางบรรเทาอาการให้ดีขึ้น ดังนี้
- ยาปฏิชีวนะ หากแพทย์วินิจฉัยว่าเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจมีการจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยกำจัดเชื้อ
- ยาแก้ไอหรือยาขยายหลอดลม หากมีอาการไอมาก แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาแก้ไอ หรือในกรณีที่หายใจลำบากอาจต้องใช้ยาขยายหลอดลม
- พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายสามารถฟื้นตัวจากการติดเชื้อและลดอาการอ่อนเพลียได้
- ดื่มน้ำมากๆ เพราะน้ำช่วยทำให้เสมหะอ่อนตัวและขับเชื้อออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น โดยควรดื่มน้ำอุ่นเพื่อช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองในลำคอ
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อุณภูมิต่ำ เช่น ห้องแอร์ หรือที่ที่มีอากาศเย็นมากเกินไป
เทคนิคการป้องกันโรคหลอดลมอักเสบ
พญ.สุธาสินี กลั่นแก้ว อายุรศาสตร์โรคระบบการหายใจและภาวะวิกฤตโรคระบบการหายใจ ศูนย์อายุรกรรม โรงพยาบาลนครธน กล่าวว่าการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องจะช่วยป้องกันจากโรคหลอดลมอักเสบได้ อาทิ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำอุ่นบ่อยๆ เพราะน้ำเป็นยาละลายเสมหะที่ดีที่สุด
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- หลีกเลี่ยงการสูดควัน กลิ่นฉุน ควันบุหรี่ สารเคมี ฝุ่น สารระคายเคืองต่างๆ ซึ่งจะทำให้การอักเสบในหลอดลมเป็นมากขึ้น
- ควรพยายามหลีกเลี่ยงอากาศเย็น และแห้ง เนื่องจากอากาศที่เย็นสามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอ
- ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายขณะนอนให้เพียงพอ
- ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
การป้องกันโรคหลอดลมอักเสบเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรให้ความใส่ใจ โดยเฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว ผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่ได้รับควันบุหรี่มือสอง การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น รวมถึงหมั่นสังเกตอาการของตนเอง และเข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ จะช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อ้างอิง: โรงพยาบาลวิมุต ,โรงพยาบาลนครธน







