โตสวนกระแส! เศรษฐกิจไทยโตต่ำ ‘ศัลยกรรมไทย’สู่ Medical Hub เอเชีย

ธุรกิจศัลยกรรมความงามของไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปี 2568 มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท
KEY
POINTS
- เทรนด์ศัลยกรรมในโรงพยาบาลจะให้บริการที่เน้นการผ่าตัดศัลยกรรมใหญ่ เช่น การดึงหน้า การเสริมหน้าอก และการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก
- กลุ่มผู้เข้ารับบริการส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนช่วงวัยทำงาน (Gen Y) หรือช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป และกลุ่ม GenZ ซึ่งผู้มาใช้บริการจะมีอายุที่น้อยลง
- ภาครัฐควรส่งเสริมทำให้มาตรฐานการผ่าตัดความงามของไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลก และส่งเสริมให้แพทย์ต่างชาติที่มีความชำนาญสามารถเข้ามาทำงานในไทยได้
ธุรกิจศัลยกรรมความงามของไทยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยปี 2568 มูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามของไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 76,500 ล้านบาท โต 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากจำนวนการใช้บริการ รวมถึงอัตราค่ารักษาและบริการที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ด้วยภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อและการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง ส่งผลให้อัตราการเติบโตในปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อน ไม่ได้เร่งตัวเช่นในอดีต
หากมองผลตอบแทนจากกำไรสุทธิต่อรายได้รวม (Net Profit Margin: NPM) ของธุรกิจ จะพบว่า ค่าเฉลี่ยในช่วงหลังโควิด-19 (ปี 2564-2566) อยู่ที่ 2.3% ลดลงจากช่วงก่อนโควิด-19 (ปี 2560-2562) ที่ 2.7% สะท้อนว่า แม้มูลค่าตลาดจะยังโต แต่ก็ต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรง จากจำนวนผู้เล่นมากราย โดยเฉพาะกับรายใหญ่ที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง ความพร้อมด้านการลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ และบุคลากรทางการแพทย์
ปัจจุบันมูลค่าตลาดธุรกิจศัลยกรรมและเสริมความงามกว่า 85% จะมาจากกลุ่มคลินิก แต่มีแนวโน้มลดลงจากการแข่งขันที่รุนแรง ปี 2568 คาดว่า สัดส่วนมูลค่าตลาดของกลุ่มคลินิกจะอยู่ที่ 85% ลดลงจากปี 2564 ที่ 90% โดยเป็นผลมาจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% จากจำนวนลูกค้าชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจุดแข็งด้านมาตรฐานการรักษาและความมีชื่อเสียงของศัลยแพทย์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
อุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามไทย เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ขับเคลื่อนประเทศ
KPS ครึ่งปีแรก รายได้เกือบ 300%
“หมอโน้ต - นพ.สุเมธ บุญญเจตน์พงษ์” ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ผิวพรรณและศัลยกรรมตกแต่ง KPS Kasemrad Plastic Surgery ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า KPS โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ถือเป็นการทำศัลยกรรมในโรงพยาบาล ทำให้มีความน่าเชื่อถือ รวมถึงการบอกต่อแบบปากต่อปากของผู้เข้ารับบริการ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของ KPS ที่ในครึ่งปีแรก 2568 สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ารายได้ทั้งปีจะไม่ต่ำกว่า 300%
“ปีที่ผ่านมามีรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 400% ซึ่งภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ซบเซา หรือความขัดแย้งต่างๆ มีผลกระทบต่อธุรกิจความงามแต่ไม่มากนัก อีกทั้ง KPS เป็นการทำศัลยกรรมในโรงพยาบาล ทำให้มีผู้เข้ามารับบริการจากการมาใช้บริการต่างๆของโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ร่วมด้วย โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติ ฉะนั้น ในปีนี้ คาดว่าสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 5-10% ในปีที่แล้ว เป็นประมาณ 30% ของรายได้ทั้งหมด”
กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มาใช้บริการศัลยกรรมที่ KPS จะมาจากหลากหลายประเทศ และสนใจศัลยกรรมที่แตกต่างกันไปตามประเภทของการผ่าตัด เช่น ลูกค้าชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จะสนใจการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหาร ขณะที่ลูกค้าจากจีน อินโดนีเซีย และสิงคโปร์จะสนใจการเสริมหน้าอกและดึงหน้า เป็นต้น
ผ่าตัดใหญ่ “เทรนด์ศัลยกรรม”ในรพ.
หมอโน้ต อธิบายต่อว่าเทรนด์การศัลยกรรมในปัจจุบันที่โรงพยาบาลจะให้บริการที่เน้นการผ่าตัดศัลยกรรมใหญ่เป็นหลัก เช่น การดึงหน้า การเสริมหน้าอก และการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งการผ่าตัดใหญ่ในโรงพยาบาลจะได้รับความนิยมมากกว่าการทำในคลินิก เนื่องจากผู้รับบริการมองว่าการทำในโรงพยาบาลจะปลอดภัยมากกว่า รวมถึงการบริการของ KPS โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ จะมีการเพิ่มผลิตภัณฑ์ บริการใหม่ๆ ทันสมัยที่เกี่ยวข้องกับความงามของร่างกายมากขึ้น เช่น มีเครื่องดูดไขมันและเครื่องกระชับผิวหนัง เป็นต้น
“ผู้คนไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงศัลยกรรมใบหน้าเท่านั้น แต่เน้นดูแลรูปร่างร่วมด้วย เช่น การดูดไขมัน การตัดหนังหน้าท้อง ยิ่งทาง KPS มีความร่วมมือกับสมาคมแพทย์ศัลยกรรมความงามเกาหลี (KCCS) ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเกาหลี และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับการผ่าตัดโครงหน้า โดยความร่วมมือนี้ทำให้ทีมแพทย์ของโรงพยาบาลได้เรียนรู้เทคนิคการผ่าตัดใหม่ๆ และสามารถนำมาปรับใช้กับคนไข้ชาวไทยได้โดยไม่ต้องเดินทางไปไกล”
วัยทำงาน-GenZ ศัลยกรรมมากขึ้น
ปัจจุบันโรงพยาบาลมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่งภายในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 4 สาขา ซึ่งทั้งหมดตั้งอยู่ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะไปดูพื้นที่ในประเทศลาวเพื่อขยายธุรกิจในอนาคตร่วมด้วย
หมอโน้ต กล่าวอีกว่ากลุ่มผู้เข้ารับบริการส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนช่วงวัยทำงาน (Gen Y) หรือช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป และกลุ่ม GenZ ซึ่งผู้มาใช้บริการจะมีอายุที่น้อยลง เนื่องจากค่าบริการศูนย์ KPS ในโรงพยาบาลกับคลินิกไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และผู้รับบริการส่วนใหญ่จะมองหาความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย โดยสัดส่วนของผู้เข้ารับบริการที่มีอายุเกิน 50 ปีอยู่ที่ 30% ช่วงวัยทำงานอยู่ที่ 40-50% และกลุ่มเด็กรุ่นใหม่อยู่ที่ 20-30%
“จุดเด่นของ KPS โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ คือ ทีมแพทย์ที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูง รวมถึงความน่าเชื่อถือของโรงพยาบาลที่มีแพทย์เฉพาะทางทุกสาขา การมีแพทย์ที่ครบวงจรทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหรือโรคแฝงที่อาจส่งผลต่อการผ่าตัดศัลยกรรมได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้โรงพยาบาลยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมือทางการแพทย์ใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดอบรมภายในเพื่อให้ทีมแพทย์สามารถใช้งานเครื่องมือใหม่ๆ ได้อย่างชำนาญ ซึ่งขณะนี้ มีแพทย์ประจำอยู่ที่ศูนย์ประมาณ 5 ท่าน และมีการเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการของผู้ใช้บริการ”
ความพร้อมศูนย์กลางศัลยกรรมในเอเชีย
หมอโน้ต กล่าวถึงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางศัลยกรรมในเอเชียว่า ไทยมีความพร้อมในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะศัลยแพทย์ที่มีคุณภาพ มีความเชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์สูง อีกทั้งมาตรฐานความปลอดภัยของโรงพยาบาล และการสนับสนุนจากภาครัฐในการผลักดันตลาดศัลยกรรมความงามของไทย แต่ก็ยอมรับว่ามีข้อจำกัดในบางเรื่อง ดังนั้น ภาครัฐควรส่งเสริมเพื่อทำให้มาตรฐานการผ่าตัดความงามของไทยเป็นที่รู้จักในระดับโลก และส่งเสริมให้แพทย์ต่างชาติที่มีความชำนาญสามารถเข้ามาทำงานในไทยได้
“ก่อนที่จะตัดสินใจทำศัลยกรรมควรพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบหลัก คือ ตัวคนไข้เอง ศัลยแพทย์ และสถานพยาบาล โดยผู้เข้ารับบริการควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับศัลยแพทย์ว่ามีความชำนาญและมีประสบการณ์จริงหรือไม่ รวมถึงเลือกสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ มีแพทย์เฉพาะทางครบครัน และอย่าการตัดสินใจเลือกทำศัลยกรรมโดยดูจากราคาที่ถูกเพียงอย่างเดียว เพราะนั่นอาจทำให้เกิดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนได้”
ธุรกิจศัลยกรรมและความงามเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจซึ่งไทยมีความพร้อมในการ Medical Hub ระดับเอเชีย โดยเฉพาะในกลุ่มโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ มีทีมแพทย์ บุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และมีบริการที่ครบวงจร อย่างการบริการให้คำปรึกษาออนไลน์ (Telemedicine) หรือในกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะมีรถรับ-ส่งจากสนามบินมายังโรงพยาบาลสำหรับผู้ที่ซื้อแพ็กเกจแบบครบวงจร มีการประสานงานกับโรงแรมใกล้เคียงเพื่ออำนวยความสะดวกในการพักฟื้นหลังการผ่าตัด ในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ มีความปลอดภัย และผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ







