อุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามไทย เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ขับเคลื่อนประเทศ

ขณะที่ภาคธุรกิจอื่นกำลังเผชิญกับความท้าทาย อุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามกลับเป็นดาวเด่นที่เติบโตสวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจ
KEY
POINTS
- ความงามจะไม่ใช่ทุกคนควรผ่าตัดทั้งนี้เคสที่มีปัญหาและถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับศัลยกรรมความงามกว่า 90% เกิดจากแพทย์ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ
- การเร่งผลิตแพทย์ด้วยหลักสูตรระยะสั้นจึงอาจเพิ่มจำนวนผู้ให้บริการ แต่สวนทางกับคุณภาพและความปลอดภัยในระยะยาว
- โรงพยาบาลบางมดเอสเธติคตั้งเป้าเป็นสถาบันที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านความงามโดยเฉพาะ คาดว่าหลักสูตร 3 ปี ครอบคลุมทั้งแพทย์ พยาบาลและผู้ช่วย
ขณะที่ภาคธุรกิจอื่นกำลังเผชิญกับความท้าทาย อุตสาหกรรมศัลยกรรมความงามกลับเป็นดาวเด่นที่เติบโตสวนทางกับสภาวะเศรษฐกิจ และประเทศไทยมีโอกาสเติบโตในอุตสาหกรรมความงามได้อีกมากเมื่อเทียบกับต่างประเทศ ที่สำคัญอุตสาหกรรมนี้สามารถเป็นเครื่องยนต์ตัวใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ เนื่องจากเป็นธุรกิจที่โตสวนทางกับเศรษฐกิจ โดยคนไข้ยังคงสนใจที่จะทำศัลยกรรมความงามแม้เศรษฐกิจจะไม่ดี เพราะมองว่าเรื่องความงามเป็นปัจจัยที่ทำให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แม้ว่าการแพทย์และเทคนิคการผ่าตัดของไทยทัดเทียมกับมาตรฐานสากล แต่การจะพัฒนาให้ถึงระดับเดียวกับประเทศที่อุตสาหกรรมความงามมีมูลค่าหลายแสนล้านบาทและถือเป็นอุตสาหกรรมหลัก อย่างเกาหลีใต้จะต้องมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านความงามโดยตรง ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนน้อย หากไทยทำได้จะสร้างรายได้เป็นแสนล้านให้กับประเทศ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นถึง 20%
“นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล” แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง เเละ CEO โรงพยาบาลบางมดเอสเธติค ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่าโรงพยาบาลบางมดเปิดให้บริการมาแล้ว 40 ปี โดยล่าสุดเพิ่งขยายโรงพยาบาลบางมดเอสเธติค และเปิดให้บริการศัลยกรรมความงามแบบครบวงจร แผนกศัลยกรรมตกแต่ง, แผนกผิวหนัง (Skin), แผนกชะลอวัย (Anti-aging) หรือ Wellness, และแผนกทันตกรรม (Dental) ที่เน้นความงาม และศูนย์ Face Lift Center ได้ประมาณ 4-5 เดือน พบว่าผลประกอบการครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นถึง 20% และตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตถึง 30% ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาดนี้
การเป็นโรงพยาบาลใหม่ ที่มีความพร้อมด้านการแพทย์และอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงการมีเทคนิคใหม่ๆ คือปัจจัยที่ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นไม่ว่าจะเป็น เทคนิคการทำศัลยกรรมดึงหน้าในชั้นลึกและมีการเติมเต็มด้วยไขมัน ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์และเป็นธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันผู้ที่มาทำศัลยกรรมดึงหน้ามีอายุน้อยลง จากเดิมเฉลี่ย 60-70 ปี ลดลงมาเป็น 40-50 ปี เนื่องจากเทคนิคที่พัฒนาขึ้นทำให้สามารถเลือกทำเฉพาะส่วนที่มีปัญหาได้
คนอายุน้อยทำศัลยกรรมมากขึ้น
นอกจากนี้เทรนด์ในปัจจุบันพบว่าคนอายุน้อยลงให้ความสนใจในการทำศัลยกรรมมากขึ้น โดยกลุ่ม Gen Z นิยมปรับโครงหน้า เช่น ทำตา 2 ชั้น เสริมจมูก และเสริมหน้าอก โดยเน้นการผ่าตัดแบบ Minimally Invasive Surgery เพื่อให้แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว และเป็นธรรมชาติ เป็นต้น การทำศัลยกรรม เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตและความมั่นใจ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดศัลยกรรมความงามของไทยยังคงเติบโตได้อีก
“เดิมทีการศัลยกรรมดึงหน้าเป็นที่นิยมในกลุ่มคนอายุ 60-70 ปี แต่ด้วยเทคนิคการผ่าตัดที่ก้าวหน้า ทำให้แผลเล็กลง เจ็บน้อยลง และหายเร็วขึ้น ทำให้ปัจจุบันมีลูกค้าอายุน้อยลง โดยเฉลี่ยเหลือเพียง 40-50 ปี นอกจากดึงหน้า เสริมหน้าอก และปรับรูปร่าง แล้วการดูดไขมันที่ช่วยสร้างร่องกล้ามเนื้อให้รูปร่างดูดีขึ้นแม้ในคนที่มีรูปร่างดีอยู่แล้วก็ได้รับความนิยม”
กลุ่มลูกค้าสหรัฐ ยุโรป แถบเอเชียรวมถึงจีน
สำหรับสัดส่วนลูกค้าที่มาใช้บริการในปัจจุคือจะเป็นคนไทย 70% และคนต่างชาติ 30% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เป็นคนไทย 80% และคนต่างชาติ 20% กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ที่ขยายตัว ส่วนใหญ่มาจากโซนอเมริกา ยุโรป และประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย เช่น CLMV และจีน โดยเฉพาะชาวจีนที่ยังคงเดินทางเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
“มูลค่าตลาดศัลยกรรมความงามในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ในขณะที่ในประเทศผู้นำอย่างเกาหลีและญี่ปุ่นมีมูลค่าตลาดสูงถึงหลักแสนล้านบาท ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตเป็นผู้นำด้านความงามในระดับโลกได้ ซึ่งจะต้องมีการลงทุนด้านทรัพยากรบุคคลและองค์ความรู้”
หลักสูตรระยะสั้นเร่งรัด 3-6 เดือน ไม่ยั่งยืน
นพ.ธนัญชัย กล่าวว่า การผลิตแพทย์ผู้ที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งโดยตรงต้องใช้เวลาเรียนเฉพาะทางถึง 5 ปี หลังจบแพทย์ทั่วไป 6 ปีและใช้ทุนอีก 3 ปี รวมแล้วต้องใช้เวลาอย่างน้อย 14 ปี จึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ ปัจจุบันแพทยสภารับรองผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เพียง 300-400 คนเท่านั้น เพราะการเรียนรู้ศาสตร์การผ่าตัดไม่ได้หมายถึงแค่การทำได้ แต่ต้องเข้าใจการวิเคราะห์คนไข้ การแก้ไขปัญหาแทรกซ้อน และความรู้ที่ครบถ้วน
"ถ้าเป็นสกิลอย่างเดียว หลักสูตรระยะสั้นอาจจะพอได้ แต่ถ้าจะเอาให้แบบความรู้ครบถ้วนและปลอดภัยแล้วผลดีแบบยั่งยืน ก็ต้องเป็นทำนาน เพราะความรู้จริงๆ มันคือการวิเคราะห์ว่า คนไหนควรหรือไม่ควรผ่าตัด เพราะอย่างความงามจะไม่ใช่ทุกคนควรผ่าตัด ทั้งนี้เคสที่มีปัญหาและถูกฟ้องร้องเกี่ยวกับศัลยกรรมความงามกว่า 90% เกิดจากแพทย์ที่ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นการเร่งผลิตแพทย์ด้วยหลักสูตรระยะสั้นจึงอาจเพิ่มจำนวนผู้ให้บริการ แต่สวนทางกับคุณภาพและความปลอดภัยในระยะยาว"
สถาบันเชี่ยวชาญด้านความงามโดยเฉพาะ
นพ.ธนัญชัย กล่าวว่า หากจะพัฒนาหลักสูตรความงามให้ยั่งยืน ควรเป็นหลักสูตรระยะยาวประมาณ 3-5 ปี เพื่อสร้างแพทย์ที่มีคุณภาพ นอกจากนี้ ควรผลิตบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ เช่น พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญด้านความงามโดยเฉพาะ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีในประเทศไทย
ทั้งนี้อุตสาหกรรมความงามของไทยมีศักยภาพสูงที่จะก้าวขึ้นเป็น “บิวตี้ฮับ” หรือศูนย์กลางด้านความงามของโลก โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการ ในแง่ของเทคนิคการผ่าตัดและความรู้ทางการแพทย์ แพทย์ไทยสามารถทัดเทียมและในบางอย่างก็ทำได้ดีกว่าต่างประเทศ
แต่การจะก้าวไปถึงระดับที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้หลักแสนล้านบาทเหมือนประเทศเกาหลีหรือญี่ปุ่น ผลักดันให้อุตสาหกรรมความงามเป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่ยั่งยืน จำเป็นต้องยกระดับบุคลากร ปัจจุบันมีแพทย์ที่จบเฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งน้อย และยังไม่มีสถาบันที่สอนเรื่องความงามโดยเฉพาะที่ถูกต้องตามหลักการแพทย์
ภาครัฐและภาคเอกชนควรลงทุนในทรัพยากรบุคคล โดยร่วมกันจัดทำหลักสูตรการแพทย์เฉพาะทางด้านความงาม และจัดตั้งสถาบันเพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่เพียงแค่แพทย์เท่านั้น แต่รวมถึงพยาบาลและผู้ช่วยด้วย การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งจะทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
การส่งเสริมการตลาดในระดับประเทศ
“โรงพยาบาลบางมดเอสเธติคตั้งเป้าเป็นสถาบันที่ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านความงามโดยเฉพาะในอนาคตและพร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการผลิตผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งคาดว่าจะทำเป็นหลักสูตร 3 ปี ครอบคลุมทั้งแพทย์ พยาบาลและผู้ช่วย”
ทั้งนี้ ธุรกิจความงามเป็นการให้บริการที่ละเอียดอ่อน และไม่ใช่การรักษาแบบเร่งด่วน ดังนั้นการสร้างความประทับใจและความรู้สึกที่ดีจึงสำคัญกว่าการเน้นปริมาณ การให้บริการในบรรยากาศที่อบอุ่น ผ่อนคลาย เพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวกที่ช่วยลดความเครียด และการสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถโปรโมตศักยภาพของประเทศได้อย่างเต็มที่ควรมีการทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบการโฆษณาให้เหมาะสม ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการเน้นมาตรฐานความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจและไม่หลงเชื่อคำโฆษณาที่เกินจริง
“อยากให้ศัลยกรรมความงามเป็นเศรษฐกิจหลักของไทย ถ้าพัฒนาได้จะช่วยให้ประเทศไทยมีเศรษฐกิจที่ดีขึ้นได้”







