นมแม่ 6 เดือนแรกดีสุด! ภูมิคุ้มกันพุ่ง สมองปัง แม่ลูกผูกพัน

ทุกคนต่างรู้ดีว่า “นมแม่” มีประโยชน์ต่อลูกน้อยอย่างมาก เพราะนอกจากจะสร้างความผูกพันระหว่างแม่และลูกแล้ว ยังทำให้ลูกมีภูมิคุ้มกัน
KEY
POINTS
- ลูกควรได้กินนมแม่อย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน โดยไม่ต้องเสริมน้ำ และควรกินต่อเนื่องไปจนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น
- นมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วนมากกว่า 300 ชนิด มีภูมิคุ้มกันโรค ป้องกันการเจ็บป่วย ลดเสี่ยงต่อภาวะภูมิแพ้
- เด็กที่กินนมแม่จะมีระดับ IQ เฉลี่ยสูงกว่าเด็กที่กินนมผสม 7-10 จุด ซึ่งเด็กที่กินนมแม่นาน 7-9 เดือน มีระดับ IQ อยู่ที่ 104 จุด
ทุกคนต่างรู้ดีว่า “นมแม่” มีประโยชน์ต่อลูกน้อยอย่างมาก เพราะนอกจากจะสร้างความผูกพันระหว่างแม่และลูกแล้ว ยังทำให้ลูกมีภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสเจ็บป่วย และช่วยพัฒนาการสมอง นอกจากนี้ นมแม่ยังมีสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสมกับความต้องการของทารก ทำให้ลูกเติบโตแข็งแรงและมีพัฒนาการที่สมวัย.
“นมแม่” คือ น้ำนมที่ผลิตจากต่อมน้ำนมของมารดา มีสารอาหารครบถ้วนและมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของทารกอย่างมาก ถือเป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกในช่วงแรกเกิด
องค์การอนามัยโลก (WHO) และยูนิเซฟ แนะนำว่าลูกควรได้กินนมแม่อย่างเดียว ตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 เดือน และควรกินต่อเนื่องไปจนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น ควบคู่กับอาหารตามวัยที่เหมาะสม เนื่องจากนมแม่เป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกด้วยองค์ประกอบด้านโภชนาการ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สารต่อต้านอนุมูลอิสระ วิตามินและยังมีเซลล์สิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งจากเซลล์จากแม่ รวมถึงแบคทีเรียที่ดีต่อระบบทางเดินอาหารของลูกด้วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'เด็กเกิดน้อย' สั่นคลอนอนาคตชาติ ศูนย์มีบุตรยาก-นมแม่ กู้วิกฤติเด็กเกิดน้อย
นมแม่ 6 เดือนแรกเพียวๆ ไม่เสริมน้ำ
เมื่อนมแม่ คือ ของขวัญล้ำค่าจากธรรมชาติ มีสารอาหารครบถ้วน เหมาะสมตามวัย เนื่องด้วยสิงหาคม เป็นเดือนวันแม่แห่งชาติ “กรมอนามัย” ได้แนะให้ชาวเพจ และคุณแม่ทุกท่านได้ทราบถึง ประโยชน์ของน้ำนมแม่ ดังนี้
- สารอาหารครบถ้วน มากกว่า 200 ชนิด
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
- ย่อยง่าย ดูดซึมดี
- ช่วยพัฒนาสมองและระบบประสาท
- ลดความเสี่ยงของโรคเรื้องรังในอนาคต
- สร้างสายใยความรักระหว่างแม่ลูก
- ประหยัดและปลอดภัย
พร้อมแนะนำว่า หลัง 6 เดือน เริ่มกินอาหารตามวัย ควบคู่กับนมแม่ ต่อเนื่องจนลูกอายุ 2 ปี หรือนานกว่านั้น
“นมแม่เพียงอย่างเดียว 6 เดือนแรก คือ เกระาป้องกันลูกน้อย และรากฐานสุขภาพตลอดชีวิต”
สารอาหารในน้ำนมแม่ 3 ระยะ
สารอาหารในน้ำนมแม่มีการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาหลังการคลอดเพื่อให้เหมาะสมกับตัวลูกน้อย ผ่านกระบวนการสร้างน้ำนมในร่างกายของแม่ที่เกิดจากการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นโดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
- น้ำนมระยะที่ 1 (Colostrum)
ระยะหัวน้ำนม เป็นระยะ 1-3 วันแรก น้ำนมจะมีสีเหลือง จนบางคนเรียกว่าน้ำนมเหลือง เนื่องจากมีแคโรทีนสูงกว่านมระยะหลังมาก น้ำนมระยะนี้เป็นน้ำนมที่อุดมสมบูรณ์มากประกอบไปด้วยโปรตีนต่างๆ ที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เกลือแร่ วิตามิน สารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของสมองและการมองเห็นของลูก รวมทั้งยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยในการขับขี้เทาของลูกได้ด้วย
- น้ำนมระยะที่ 2 (Transitional Milk)
เมื่อผ่านช่วง 5 วัน ถึง 2 สัปดาห์แรก น้ำนมจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น ซึ่งจะมีสารอาหารเพิ่มขึ้นทั้งไขมันและน้ำตาลที่มีปริมาณเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
- น้ำนมระยะที่ 3 (Mature Milk)
เมื่อผ่านช่วง 2 สัปดาห์แรกแล้ว น้ำนมแม่จะมีปริมาณที่มากขึ้น และมีสารอาหารหลักที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของลูก ได้แก่
- โปรตีน ที่มีส่วนช่วยในการยับยั้งจากเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด เพิ่มภูมิต้านทาน และเอนไซม์ที่สามารถทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรียได้
- ไขมัน ที่เป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ DHA (Docosahexaenoic Acid) และ AA (Arachidonic Acid) ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็น
- น้ำตาลแลคโตส โดยพบว่าในนมแม่มีโอลิโกแซคคาไรด์หรือคาร์โบไฮเดรตสายสั้น (Human Milk Oligosaccharides หรือ HMOs) มากกว่า 200 ชนิด และมีปริมาณมากกว่าปริมาณที่พบในนมวัวถึง 5 เท่า และยังพบอีกว่า HMOs ในน้ำนมแม่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์และแบคทีเรียที่ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันได้
- วิตามินและแร่ธาตุที่มีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต ได้แก่ A, B1, B2, B6, B12, C, D, E, K และแร่ธาตุซึ่งได้แก่ เหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน เป็นต้น
นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่ส่งผลต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ได้แก่ แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidant) โกรทแฟคเตอร์ (Growth Factor) ที่มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบทางเดินลำไส้ เส้นเลือด ระบบประสาท และระบบฮอร์โมนที่ควบคุมการเจริญเติบโต
เด็กที่กินนมแม่มีระดับ IQ เฉลี่ยสูง
ทั้งนี้ เด็กที่กินนมแม่จะมีระดับ IQ เฉลี่ยสูงกว่าเด็กที่กินนมผสม 7-10 จุด โดยเด็กที่กินนมแม่นาน 1 เดือน มีระดับ IQ อยู่ที่ 99.4 จุด ในขณะที่เด็กที่กินนมแม่นาน 2-3 เดือน มีระดับ IQ อยู่ที่ 101.7 จุด ด้านเด็กที่กินนมแม่นาน 4-6 เดือน มีระดับ IQ อยู่ที่ 102.3 จุด ส่วนเด็กที่กินนมแม่นาน 7-9 เดือน มีระดับ IQ อยู่ที่ 104 จุด
กล่าวได้ว่านมแม่อุดมไปด้วยสารอาหารครบถ้วนมากกว่า 300 ชนิด นอกจากนี้ในน้ำนมแม่ยังมีสารทำลายเชื้อโรค ย่อยง่าย ดูดซึมได้ดี ถ่ายสะดวก ท้องไม่ผูก ที่สำคัญคือ นมแม่มีภูมิคุ้มกันโรค ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยหลายชนิด ช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อภาวะภูมิแพ้
พญ. คัคณางค์ มิ่งมิตรพัฒนะกุล สูติศาสตร์และนรีเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่านมแม่เป็นสุดยอดอาหารที่อุดมไปด้วย ไขมัน โปรตีน แคลอรี่ มีเอนไซม์ (Enzyme) ช่วยฆ่าเชื้อโรค ลดภูมิแพ้ ลดการเกิดการแพ้โปรตีนนมวัว มีสารอาหารที่ช่วยพัฒนาเซลล์สมอง
เมื่อเทียบทารกที่กินนมผสมกับทารกที่กินนมแม่ พบว่าลดโอกาสเกิดโรคต่างๆ ดังนี้
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคลำไส้อักเสบได้ถึง 20 เท่า
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ถึง 3.8 เท่า
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคท้องเสีย ปอดบวมได้ถึง 3.5-4.9 เท่า
- ช่วยลดอัตราการเกิดหูชั้นกลางอักเสบได้ถึง 3-4 เท่า
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคภูมิแพ้ได้ถึง 2.7เท่า
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ถึง 2.6-5.5 เท่า
- ช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ได้ถึง 2-4 เท่า
การเก็บนมลงภาชนะต้องทำอย่างไร?
ปัจจุบัน มีเครื่องปั๊มนมเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้บรรดาแม่ๆ ทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้จึงแนะนำให้เก็บนมลงภาชนะที่เป็นถุงซิปล็อค โดยบรรจุนมให้เท่ากับปริมาณที่ลูกจะกินในแต่ละมื้อ ถ้าปั๊มนมแม่ได้มากให้แยกใส่ถุงหลายๆ ใบ ติดป้ายวันที่กำกับไว้ แล้วนำไปแช่เย็นเก็บไว้ เพื่อนำออกมาให้ลูกกินภายหลัง ทั้งนี้ต้องนำนมที่เก็บลำดับแรกมาให้ลูกกินก่อนเสมอ
อายุการเก็บน้ำนม
- อุณหภูมิห้อง (25 °C = 77°F) เก็บได้นาน 4-6 ชั่วโมง
- ตู้เย็นช่องธรรมดา (4 °C = 9°F) เก็บได้นาน 24-48 ชั่วโมง
- ตู้เย็นช่องแข็ง ตู้เย็น 2 ประตู (-20 °C = 4°F) เก็บได้นาน 3 เดือน
การละลายน้ำนมแม่ที่แช่แข็งไว้
- ละลายในช่วงกลางคืนในตู้เย็นช่องเย็นธรรมดา สามารถเก็บไว้ใช้ได้ภายใน 24 ชั่วโมง เมื่อจะนำมาให้ลูกแกว่งภาชนะที่ใส่น้ำนมในอ่างน้ำอุ่น
- ห้ามละลายในน้ำร้อน เพราะจะเสียคุณค่าโปรตีนและเอนไซม์ในน้ำนมแม่
- ห้ามอุ่นน้ำนมโดยการใส่ไมโครเวฟ
- น้ำนมแม่ที่นำออกมาละลายข้างนอกและยังไม่ได้ใช้สามารถนำเก็บไว้ในตู้เย็นในช่องธรรมดา แต่ควรใช้ภายใน 4 ชั่วโมง
- น้ำนมแม่ที่ละลายแล้วห้ามนำไปแช่แข็งซ้ำ
วิธีสังเกตว่าลูกได้รับน้ำนมอย่างเพียงพอ
- ขณะลูกดูดนม จะได้ยินเสียงกลืนนมของลูก
- เต้านมตึงก่อนให้นมและนิ่มหลังลูกดูดอิ่ม
- แม่รู้สึกมีน้ำนมไหลออกมา
- ลูกปัสสาวะ 6 ครั้งใน 24 ชั่วโมง
- ลูกถ่ายอุจจาระ 4-8 ครั้งใน 24 ชั่วโมง
- แรกเกิด 3 วันแรก ถ่ายอุจจาระเป็นสีเทาหรือสีดำ
- หลัง 3 วันลูกถ่ายเป็นเนื้อเละๆ นิ่มๆ สีเหลือง
- ลูกสงบสบาย พักหลับได้ไม่ร้องกวน
- หลังคลอดวันที่ 3 ลูกเจริญเติบโตดี แข็งแรง น้ำหนักขึ้นดีอยู่ในเกณฑ์ปกติ
เทคนิคให้นมเจ้าตัวเล็ก
คุณแม่ทุกคนจะได้รับการฝึกให้นมลูกหลังคลอด สิ่งสำคัญคือ
- ก่อนและหลังให้นมลูกทุกครั้ง คุณแม่จะต้องเช็ดหรือล้างบริเวณหัวนมและรอบ ๆ ให้สะอาดด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือแล้วเช็ดให้แห้ง จึงให้ลูกดูดนมสลับไปในแต่ละข้างจนอิ่ม ช่วงแรกให้ดูดกระตุ้น 15 – 20 นาทีทั้งสองข้าง (เมื่อน้ำนมมากพอต่อไปดูดทีละข้าง)
- ศีรษะลูกจะต้องอยู่สูงกว่าลำตัวเสมอ
- คอยสังเกตว่าส่วนของเต้านมไม่เบียดจมูกทารกขณะดูด
- เมื่อลูกดูดนมจนอิ่มให้อุ้มลูกพาดบ่าจนลูกเรอลมออกจากกระเพาะอาหารจึงเปลี่ยนท่าอุ้ม
- ช่วงแรกควรงดให้ขวด เพราะเด็กอาจจะปฏิเสธนมแม่
- คุณแม่สามารถปั๊มน้ำนมตนเองใส่ขวดนมที่สะอาดและเก็บไว้ในตู้เย็น แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมง หากลูกดูดนมจากขวดจนอิ่มแล้วน้ำนมเหลือไม่ควรเก็บไว้ เพราะนมจะบูดและเสียโดยง่าย แล้วดูดเสร็จถ้ามีนมเหลือควรบีบหรือปั๊มใส่ขวดเก็บใส่ตู้เย็น
วิธีดูแลเต้านมคุณแม่
- ใส่เสื้อชั้นในแบบพยุงเต้านม
- ทำความสะอาดหัวนมด้วยน้ำสะอาด
- ใช้สบู่ฟอกได้ แต่ไม่ควรบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้แห้งแตก
ความต้องการพลังงานของแม่ขณะให้นม
คุณแม่ที่ให้นมเจ้าตัวน้อยจะต้องใช้พลังงานสูงในการผลิตน้ำนม โดยใช้พลังงานประมาณ 85 แคลอรี่ในการผลิตน้ำนม 100 ซีซี โดยปริมาณน้ำนมแม่ในช่วง 6 เดือนแรกจะอยู่ที่ 700 – 850 มล./วัน ช่วง 6 – 12 เดือน 600 มล./วัน และช่วง 12 – 24 เดือน 550 มล./วัน
ดังนั้น คุณแม่ที่ให้นมจึงต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 500 แคลอรี่ โดยเฉพาะโปรตีนมีความสำคัญมากในการผลิตน้ำนม บำรุงและซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ของคุณแม่ จึงควรได้รับโปรตีนเพิ่มวันละ 25 กรัม
อาหารช่วยเพิ่มน้ำนมแม่
อาหารดังต่อไปนี้มีประโยชน์และช่วยเพิ่มน้ำนมให้คุณแม่ได้
- หัวปลี มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือดและเพิ่มน้ำนม
- กะเพรา มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยขับลม แก้ท้องอืด เพิ่มน้ำนม
- กุยช่าย มีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส แคลเซียม ช่วยเพิ่มน้ำนม ลดการอักเสบ ช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย
- ขิง มีสารจินจิเบน ช่วยย่อยอาหาร ย่อยไขมัน เพิ่มน้ำนม ขับลม แก้คลื่นไส้อาเจียน
- เม็ดขนุน มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยเพิ่มน้ำนม
อ้างอิง:โรคพยาบาลนครธน ,กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข , โรงพยาบาลกรุงเทพ







