สหรัฐเก็บภาษีนำเข้า 19% ฉุดตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชะลอตัว

ทิศทางของโครงสร้างตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแตกต่างไปจากเดิม ผู้ประกอบการต้องปรับตัว และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สุขภาพ และความงามต้องมีการรับรองคุณภาพจากหน่วยงานต่างๆ
KEY
POINTS
- การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของประเทศสหรัฐอเมริกา ต่างกระทบกับทุกอุตสาหกรรมในไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ประคับประคองได้ แต่ชะลอการเติบโต
- ภาครัฐต้องทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ พร้อมอัดฉีดให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสุขภาพ และความงามที่จะเป็น Soft Power ไปสู่ตลาดโลก
- อยากให้ผู้ประกอบการติดตามข่าวสารของ ส.อ.ท.ถึงแนวทางการส่งเสริม การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพร สุขภาพ และความงาม
“ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Dietary supplement)”เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตเภสัชภัณฑ์ที่เติบโตโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงหลังการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้
พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทั้งในด้านความใส่ใจด้านสุขภาพ และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน รวมถึงความตระหนักเรื่องความงาม และการชะลอวัยที่เพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัยนับเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยังมีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง
มูลค่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยในปี 2567 อยู่ที่ราว 83,330 ล้านบาท มีแนวโน้มเติบโตดีต่อเนื่อง สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี(CAGR) ที่ 8.2% แรงหนุนสำคัญจากกระแสการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน การเข้าถึงช่องทางออนไลน์ที่สะดวก และกว้างขวางส่งผลให้แบรนด์ที่มีกลยุทธ์ดิจิทัลเข้มแข็งสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภควัยทำงาน และเจเนอเรชัน Z โดยความนิยมในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ตลาดเสริมอาหารแตะ 133.6 แสนล้าน ชวน SMEs ร่วม 'Vitafoods Asia2025'
รีวิว“ผลิตภัณฑ์สุขภาพ” ไม่ปังแต่พัง รื้อ กม.เอาผิดอินฟลูฯ-คนเขียนสคริปต์
ปรับขึ้นภาษีนำเข้า กระทบทุกอุตสาหกรรม
นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานกิตติมศักดิ์กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่าการปรับอัตราภาษีนำเข้าจากประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะ 36% หรือน้อยกว่านั้น ล้วนส่งผลกระทบกับทุกอุตสาหกรรมในประเทศไทย ซึ่งอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ทั้งที่น่าจะเป็นขาขึ้นของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดังนั้น วิกฤติเศรษฐกิจ อัตราการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา รวมถึงความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่างทำให้อุตสาหกรรมในประเทศไทยทำได้เพียงประคองตัว แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมีโอกาสมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ
“แต่ละอุตสาหกรรมมีการส่งออก และตลาดที่แตกต่างกัน ซึ่งเราไม่แน่ชัดว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะโดยดึงภาษีนำเข้าจากอเมริกาเท่าไร เพราะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาค่อนข้างดี เข้าถึงได้ง่าย หากมีการดึงภาษีนำเข้าที่น้อยลง จะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร” นายนาคาญ์ กล่าว
ลงทุนพัฒนาคนเชี่ยว AI แข่งขันได้
ขณะเดียวกัน ภาพรวมของเศรษฐกิจถึงแม้จะบอกว่า อยู่ในช่วงที่ดีหรือไม่ดี แต่ในอนาคตด้วยการดิสรัปค่อนข้างเร็วมาก ไม่มีทางทราบได้ว่า ประเทศจีน หรือประเทศอื่นๆ จะมีการปรับตัวอย่างไร คงต้องมีการพึ่งพาภาครัฐที่ต้องมาทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ พร้อมอัดฉีดให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมสุขภาพ และความงามที่จะเป็น Soft Power มีสินค้าและบริการไปสู่ระดับโลก สู่ในตลาดโลกได้
“ตอนนี้ภาพรวมตลาดสุขภาพ และความงามคาดว่ามีมูลค่าหลายล้านล้านบาท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอาง ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่สูงมาก และหากพ้นวิกฤติต่างๆ ที่เกิดขึ้น จะส่งผลให้แนวโน้มของตลาดดีขึ้น เพราะจะได้มีการพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ และอาจทำให้อัตราการเติบโตมากกว่า 26% อีกทั้งการปรับอัตราขึ้นภาษีที่ได้รับ เป็นตัวเลขที่ไม่ได้เสียเปรียบเพื่อนบ้านมากนัก แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพยุงตัวของแต่ละผู้ประกอบการ และอุตสาหกรรมร่วมด้วย” นายนาคาญ์ กล่าว
นายนาคาญ์ กล่าวต่อไปว่าด้านการลงทุนกับแรงงาน และเทคโนโลยี เป็นอีกหนึ่งส่วนของผู้ประกอบการแต่ละอุตสาหกรรมต้องให้ความสำคัญ อย่างในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จะมุ่งเน้นให้ทุกคนได้ศึกษาเกี่ยวกับAI ต้องอัปสกิลพนักงาน แรงงานให้เก่งมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เด็กจบใหม่ที่ต้องเพิ่มทักษะ AI การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะทุกคนต้องใช้ AI ในการทำงาน และAI จะทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะจบดอกเตอร์ ปริญญาเอก หรือ จบป.6 ถ้าใช้ AI เป็น ไม่แน่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ฉะนั้น ทักษะ AI ช่วยยกระดับให้แก่คนทุกระดับให้ใช้เครื่องมือ AI พร้อมทั้งเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ของโลก จะทำให้คนในประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด
“กลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพ และความงาม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คงไม่มานั่งถกเถียงกันว่าจะเอา AI หรือหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนที่คน หรือลดคนเพื่อเอา AI เข้ามา แต่จะมี AI และหุ่นยนต์ ทำงานร่วมกันคน เพื่อให้อัตราการผลิตต้นทุนที่ต่ำลง โดยที่อัตราค่าแรงของคนสูงขึ้นได้แต่คนก็ต้องมีทักษะ AI และเรียนรู้ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพในราคาที่สามารถจับต้องได้ เพราะการแข่งขันของโลกตอนนี้อยู่ที่ราคา ยิ่งราคาต่ำแต่คุณภาพดีจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น” นายนาคาญ์ กล่าว
โครงสร้างตลาดเปลี่ยน ผู้ประกอบการปรับ
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในปัจจุบันมีหลากหลายให้ผู้ประกอบการได้ก้าวกระโดดลงมาในตลาด ซึ่งสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องทำ คือ การประเมินตนเองว่าเราเหมาะกับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในแบบไหน เช่น หากมีทุนหนาจะอยากแข่งขันในตลาดคอลลาเจนก็สามารถทำได้ แต่ถ้าทุนไม่หนาควรดูว่าตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแบบไหนเหมาะ หรือจะเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย ในการทำแบรนด์ หรือให้แก่อินฟลูเอนเซอร์ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันการทำผลิตภัณฑ์เป็นเจ้าใหญ่อย่างเดียวอาจจะลดน้อยลง
“ทิศทางของโครงสร้างตลาดนั้นแตกต่างไปจากเดิม ตอนนี้ บริษัทใหญ่ๆ หรือแบรนด์ดังๆ ที่มีอยู่ในตลาด จะถูกกลุ่มผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการรายย่อย หรือกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ดึงยอดออกไป สิ่งที่ควรเกิดขึ้น คือ บริษัทใหญ่ๆ ต้องหาเครือข่ายของตนเอง และกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ หรืออินฟลูเอนเซอร์ จะออกแบรนด์ตนเองมากขึ้น ซึ่งทุกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สุขภาพ และความงามจะต้องมีการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ” นายนาคาญ์ กล่าว
ดันสมุนไพร พัฒนาสู่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สุขภาพ และความงาม จะรวมถึงสมุนไพรร่วมด้วย ซึ่งปัจจุบันสมุนไพรได้รับความนิยมมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มต่างประเทศที่สนใจสมุนไพรไทย อยากได้สมุนไพรไปเป็นส่วนผสมในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สุขภาพ และความงามมากขึ้น
นายนาคาญ์ กล่าวอีกว่า สมุนไพรไทยจะสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้นั้น ต้องมีความเฉพาะ และต้องเพิ่มกรรมวิธีการสกัด เพิ่มหน่วยงานที่ต้องมาทำวิจัย และนำไปประกวดในต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะสร้างชื่อให้แก่สมุนไพรแล้ว ยังสร้างชื่อให้แก่คนไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ข้อจำกัดของประเทศไทยคือ การประชาสัมพันธ์ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคทั้งในไทย และต่างประเทศได้มากพอ ภาครัฐต้องมีเร่งประชาสัมพันธ์ให้เข้าถึงผู้บริโภค มีความน่าสนใจ รวมถึงต้องมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการอยากจะลงมาเล่นในตลาดสมุนไพรมากขึ้น โดยสมุนไพรที่ควรส่งเสริมมากที่สุด ได้แก่ ไพล กระชายดำ และเห็ด ซึ่งน่าจะเป็นคีย์หลักของภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันให้สมุนไพรไทยเหล่านี้ตัวชูโรง เป็นสารสกัดในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ และความงามมากขึ้น
“อยากให้ผู้ประกอบการติดตามข่าวสารของ ส.อ.ท.ถึงแนวทางการส่งเสริม การพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สมุนไพร สุขภาพ และความงาม รวมถึงอยากเห็นผู้ประกอบการรวมกลุ่มในการสร้างความร่วมมือในการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ของไทยไปสู่ตลาดโลก แข่งขันในตลาดสากลได้ ด้วยการรับรองมาตรฐานจากทั้งในไทย และสากล” นายนาคาญ์ กล่าว
ตั้งคลัสเตอร์ 7 อุตสาหกรรมสุขภาพและความงาม
ส.อ.ท. ได้จัดตั้งคลัสเตอร์อุตสาหกรรมสุขภาพ และความงาม ซึ่งประกอบด้วย 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ยา อาหารและเครื่องดื่ม ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ สมุนไพร เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเทคโนโลยีชีวภาพ ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ส.อ.ท. และกระทรวงสาธารณสุข ที่จะช่วยผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพ และความงามในเชิงนโยบาย และภาคปฏิบัติ
โดยจะขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายผ่าน 4 นโยบายสำคัญ ได้แก่ 1.การสร้างความเข้มแข็งในเครือข่ายภาคอุตสาหกรรม 2.การยกระดับสู่อุตสาหกรรมใหม่ 3.การปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย กฎระเบียบ เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ และ4.การเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย
นอกจากนี้ ยังมีการแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ ส.อ.ท. เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และการลงทุนในประเทศ โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมดังนี้ 1.การส่งเสริมนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ 2. การสร้างกลไกความร่วมมือในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ระหว่างภาครัฐ และเอกชน และ3. แถลงข่าวดัชนีอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สุขภาพ
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







