ดูแลเบาหวานด้วยดิจิทัลโซลูชัน รู้ไว รักษาได้ ช่วยให้โรคสงบ

สถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทยจัดเป็นหนึ่งในห้าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด
KEY
POINTS
- ประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นประมาณ 300,000 คนต่อปี และอัตราการเกิดโรคเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
- การรักษาเบาหวานคือ หากผู้ป่วยรู้ตัวเร็วหรือเป็นเบาหวานมาไม่เกิน 5 ปี สามารถเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า “เบาหวานสงบ” (remission)
- เครื่องมือวัดน้ำตาลปลายนิ้ว เครื่องวัดความดัน และเครื่องตรวจระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (CGM) เป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1
สถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทยจัดเป็นหนึ่งในห้าโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด ในประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานประมาณ 1 ใน 10 คน หรือประมาณ 6.5 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และ 33 % ไม่ทราบว่าตัวเองป่วย
สะท้อนถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการคัดกรองเบื้องต้น การติดตามผล และการเข้าถึงการรักษาที่เท่าเทียมและทันสมัย และมากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยไทยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเหมาะสม เนื่องจาก ช่องว่างในการคัดกรองและการรักษาทำให้ในปัจจุบัน ประเทศไทยเผชิญความท้าทายในการเข้าถึงยารักษาและเทคโนโลยีติดตามอาการใหม่ๆ อย่างเท่าเทียมโดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ผู้ป่วยเบาหวาน 40% ควบคุมน้ำตาลได้ตามเกณฑ์
รศ.นพ.เพชร รอดอารีย์ เลขาธิการสมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย เปิดเผยสถานการณ์โรคเบาหวานในประเทศไทย เปิดเผยสถานการณ์เบาหวานในปัจจุบันว่า ตัวเลขคนไทยที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเบาหวานเคยสูงถึงประมาณ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันลดลงเหลือประมาณ 33% ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดีที่คนมีความตระหนักรู้และให้ความสนใจกับสุขภาพตัวเองมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้ป่วยเบาหวานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นประมาณ 300,000 คนต่อปี และอัตราการเกิดโรคเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จาก 3.8% เป็นประมาณ 11% นอกจากนี้ ตัวเลขประมาณการระดับโลกชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยเบาหวานอาจสูงถึง 853 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2050
"ปัจจุบันมีผู้ป่วยเบาหวานเพียงประมาณ 40% เท่านั้นที่สามารถควบคุมน้ำตาลได้ตามเกณฑ์เป้าหมาย การที่ผู้ป่วยไม่ได้รับการควบคุมที่ดี จำเป็นต้องใช้ยาที่แพงขึ้นเรื่อยๆ หรือต้องฉีดยา ซึ่งสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมหาศาล มีการคำนวนว่ากลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)รวมถึงเบาหวาน ก่อให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจสูงถึงเกือบ 1.6 ล้านล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 9.7 %ของ GDP ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่สะท้อนถึงชีวิตจริงของผู้ป่วยและครอบครัวที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในแต่ละวัน และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น โรคหัวใจ สมองอัมพฤกษ์ อัมพาต และไตวาย ซึ่งต้องฟอกไต ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก"
"เบาหวาน"โรคที่ต้องดูแลเป็นรายบุคคล
เลขาธิการสมาคมเบาหวานแห่งประเทศไทย กล่าวว่าเบาหวานเป็นโรคที่ต้องดูแลเป็นรายบุคคล เนื่องจากพฤติกรรมและการตอบสนองต่อการรักษาของผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกัน เทคโนโลยีช่วยให้สามารถปรับแผนการรักษาให้เข้ากับแต่ละบุคคลได้แม่นยำขึ้น การดูแลผู้ป่วยเบาหวานยุคใหม่เป็นการบูรณาการองค์ความรู้จากหลายฝ่าย เช่น แพทย์ พยาบาล นักโภชนาการ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆการนับคาร์โบไฮเดรต เทคโนโลยีการตรวจน้ำตาลช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 สามารถนับปริมาณคาร์โบไฮเดรตในอาหารที่รับประทาน เพื่อปรับปริมาณอินซูลินที่ฉีดได้เอง ทำให้มีความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตและมีความสุขกับการกินมากขึ้น
รวมทั้งเครื่องมือวัดน้ำตาลปลายนิ้ว เครื่องวัดความดัน และเครื่องตรวจระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitoring - CGM): เป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 สามารถเชื่อมโยงข้อมูลเข้าสู่มือถือของผู้ป่วย และยังสามารถลิงก์เข้าสู่ระบบของโรงพยาบาลได้ ทำให้แพทย์สามารถดูข้อมูลน้ำตาลของผู้ป่วยได้โดยไม่ต้องสอบถามทั้งหมด ลดเวลาในการซักประวัติและเพิ่มเวลาในการดูแลผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
ลดภาระค่าใช้จ่ายระยะยาว
การใช้เทคโนโลยีช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น ซึ่งนำไปสู่การลดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ สมองอัมพฤกษ์-อัมพาต หรือไตวาย ที่ต้องล้างไต ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามากในระยะยาว การลงทุนในเทคโนโลยีสุขภาพจึงคุ้มค่ากว่าการปล่อยให้เกิดโรคแทรกซ้อน ซึ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้การสนับสนุนการเข้าถึงเครื่องตรวจวัดน้ำตาลปลายนิ้วและ CGM สำหรับผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 แล้ว ขณะนี้กรมบัญชีกลางก็กำลังดำเนินการสนับสนุนในลักษณะเดียวกันคาดว่าตุลาคมนี้ น่าจะออกมาจากนั้นก็คาดว่าน่าจะเป็นระบบประกันสังคมตามมาในอนาคต
ทั้งนี้ สมาคมโรคเบาหวาน ซึ่งเป็นสมาคมวิชาชีพ มีบทบาทสำคัญในการประเมินและติดตามเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีงานวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพและความคุ้มค่า เพื่อออกคำแนะนำเวชปฏิบัติ (guidelines) และเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น สปสช. ให้พิจารณาสนับสนุนการใช้ในวงกว้าง โดยมีการอัปเดตคำแนะนำทุก 3 ปี มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยวินิจฉัยและการติดตามผลที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จะช่วยทำให้โรคสงบ และลดภาระงบประมาณในด้านสาธารณสุขของประเทศลงได้
รศ.นพ.เพชร กล่าวว่าภาพใหม่ของการรักษาเบาหวานคือ หากผู้ป่วยรู้ตัวเร็วหรือเป็นเบาหวานมาไม่เกิน 5 ปี สามารถเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า “เบาหวานสงบ” (remission) ซึ่งหมายถึงการที่ผู้ป่วยไม่ต้องกินยาเลยหากดูแลตัวเองดีการบริหารอินซูลินที่ง่ายขึ้น ปัจจุบันปากกาฉีดอินซูลินมีขนาดเล็กและใช้งานง่ายขึ้นมาก ทำให้ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินไม่จำเป็นต้องกลัวการฉีดยาอีกต่อไป
ขณะเดียวกันผู้ป่วยสามารถเรียนรู้และดูแลตัวเองได้ดียิ่งขึ้น เช่น การนับคาร์โบไฮเดรต (carb counting) เพื่อประเมินปริมาณอาหารที่เหมาะสม โรงพยาบาลหลายแห่ง โดยเฉพาะในต่างจังหวัด มีการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับติดตามและให้คำปรึกษา เช่น ให้ผู้ป่วยถ่ายรูปอาหารที่ทานเพื่อปรึกษาพยาบาลหรือนักโภชนาการได้
อย่างไรก็ตามการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยดูแลผู้ป่วยเบาหวานเหล่านี้เป็นควรจะเป็นการลงทุนของรัฐบาลเพื่อสุขภาพของประชาชน องค์กรวิชาชีพ เช่น สมาคมโรคเบาหวานของไทย มีหน้าที่ประเมินเทคโนโลยีใหม่ๆ และออกแนวทางเวชปฏิบัติที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยพิจารณาจากข้อมูลวิจัย ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ และความเหมาะสมกับบริบทของคนไทย
“เทคโนโลยีและนวัตกรรมเหล่านี้ไม่เพียงช่วยในการวินิจฉัยและควบคุมเบาหวานให้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง และทำให้ระบบการดูแลสุขภาพมีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในยุคสมัยใหม่ได้อีกด้วย”
มิไฮ อีริเมสซู (Mihai Irimescu)กรรมการผู้จัดการบริษัท โรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าโรคเบาหวานยังคงเป็นหนึ่งในความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่สุด ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกการมีโซลูชันการวินิจฉัยที่มีความสำคัญ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจทางคลินิกในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การตรวจคัดกรองเบื้องต้น ไปจนถึงการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง จะช่วยให้แพทย์เข้าใจผู้ป่วยและสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และเป็นรายบุคคล
ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าติดตามค่าน้ำตาลในเลือดBGM (Blood Glucose Monitoring)เป็นวิธีที่ประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร ช่วยให้การดูแลเบาหวานในชีวิตประจำวันมีประสิทธิภาพ และลดภาระต่อระบบสุขภาพการใช้BGMร่วมกับแอปดิจิทัล ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ปรับปรุงคุณภาพชีวิต และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่มีค่าใช้จ่ายสูง
รวมทั้งการตรวจน้ำตาลอย่างมีโครงสร้าง แอปพลิเคชันมือถือCGMแบบเรียลไทม์ และระบบติดตามทางไกล จะช่วยให้การดูแลผู้ป่วยเบาหวานในประเทศไทยสามารถตรวจพบปัญหาได้เร็วขึ้น ตอบสนองได้ไวขึ้น และรักษาได้ตรงตามความต้องการเฉพาะบุคคลมากยิ่งขึ้นและเข้าถึงได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
เครื่องตรวจระดับน้ำตาลแบบต่อเนื่อง (Continuous Glucose Monitoring - CGM): เป็นนวัตกรรมสำคัญที่ช่วยให้ผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 1 และผู้ที่ต้องฉีดอินซูลินบ่อยๆ สามารถติดตามระดับน้ำตาลได้ตลอดเวลา ซึ่งมีตัวเซ็นเซอร์มีขนาดเล็กเพียง 4 มิลลิเมตร แปะใต้ผิวหนัง (เช่น ต้นแขน) สามารถใช้งานได้ 7-14 วัน โดยจะตรวจระดับน้ำตาลจากน้ำเหลืองใต้ผิวหนังอย่างต่อเนื่องและแสดงผลเป็นกราฟบนหน้าจอมือถือ ผู้ป่วยสามารถเห็นได้ทันทีว่าอาหารหรือกิจกรรมต่างๆ มีผลต่อระดับน้ำตาลอย่างไร
การมีนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน จะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้และเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น เช่น การกินข้าวขาวหรือขนมจีนจะทำให้น้ำตาลขึ้นเร็ว ในขณะที่ข้าวซ้อมมือจะทำให้น้ำตาลขึ้นช้ากว่า นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ป่วย เบาหวานชนิดที่ 1 สามารถปรับขนาดอินซูลินที่ฉีดเองได้ตามปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่รับประทาน ทำให้การควบคุมน้ำตาลมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความเสี่ยงน้ำตาลตกหรือน้ำตาลสูงเกินไป







