สัญญาณ 'เลือดข้นหนืด' ที่คนนอนน้อยต้องระวัง สุขภาพแย่ จิตใจพัง

สัญญาณ 'เลือดข้นหนืด' ที่คนนอนน้อยต้องระวัง สุขภาพแย่ จิตใจพัง

หากมี ‘อาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนหัวบ่อยๆ คลื่นไส้ อาเจียน มือเท้าชา  ปลายมือปลายเท้าเย็น ตาพร่า ใจสั่น’ อย่าปล่อยไว้

KEY

POINTS

  • ภาวะเลือดข้นหนืดมีหลายประเภท จะแบ่งตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น น้ำหนักตัวเกิน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ปัญหาจากผลิตเซลล์เม็ดเลือด เป็นต้น
  • การรักษานั้นมีหลายวิธีการขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ ตั้งแต่การถ่ายเลือด (Blood letting) จนถึงการให้ยาเพื่อลดการสร้างเม็ดเลือด และให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น
  • ดูแลตนเองเมื่อเป็นเลือดข้นหนืด ต้องกินยาที่แพทย์แนะนำถูกต้อง ครบถ้วน รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ รักษาความสะอาดผิวหนัง และแผลไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ ควรพบแพทย์

หากมี ‘อาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนหัวบ่อยๆ คลื่นไส้ อาเจียน มือเท้าชา  ปลายมือปลายเท้าเย็น ตาพร่า ใจสั่น’ อย่าปล่อยไว้ เพราะนั่นอาจเสี่ยง ‘ภาวะเลือดข้น เลือดหนืด’ ที่มีสาเหตุมาจากการใช้ชีวิต และพฤติกรรมทั้งการดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ หรือน้ำหนักตัวเกิน

ภาวะเลือดหนืด ( Polycythemia ) โดยทั่วไปภาวะเลือดหนืดในระยะแรกมักไม่มีอาการ ตรวจพบได้จากการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด หรือการตรวจซีบีซี CBC จากการตรวจสุขภาพทั่วไป แต่เมื่อเป็นมากขึ้น คือ ปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงขึ้นมาก จะมีอาการมีเม็ดเลือดแดงที่สูงขึ้น ส่งผลให้เลือดข้นหรือเลือดหนืดขึ้น เลือดจึงไหลเวียนได้ช้าลง ทำให้เกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดได้ง่าย ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดช้าลงหรือเลือดติดขัด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ขี้เกียจ ง่วง หงุดหงิด ทำ ‘ฮอร์โมนรวน หมวกไตทำงานผิดปกติ'ได้อย่างไร?

มือชาบอกโรค 'วัยทำงาน'ควรรู้ '4 ตำแหน่ง' มีโรคอะไรซ่อนอยู่

อาการที่เรียกว่า ‘ภาวะเลือดข้นหนืด’

โดยทั่วไปอาการที่นำมานั้น มีได้ตั้งแต่

  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ 
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • อ่อนเพลีย อ่อนแรง
  • การมองเห็นผิดปกติ
  • หน้าแดงผิดปกติ
  • เหนื่อยง่าย เจ็บแน่นหน้าอก
  • จุดแดง ๆ เป็นจ้ำ ๆ ทั่วตัว หน้าแดง
  • ตาแดงที่ไม่ได้เกิดจากลูกตาติดเชื้อ
  • ปวดเมื่อย บวม

แต่ก็มีบางกลุ่มที่ไม่ได้มีอาการนำใดๆ มาก่อนเลย แต่ตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจเลือด CBC (Com plete Blood Count)

'ภาวะเลือดข้น เลือดหนืด' เกิดจากอะไร ?

ภาวะเลือดข้นมีหลายประเภท แต่ละประเภทจะแบ่งตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ เช่น น้ำหนักตัวเกิน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ปัญหาจากการผลิตเซลล์เม็ดเลือด การใช้ยาขับปัสสาวะ หรือเป็นผลมาจากภาวะขาดน้ำในร่างกาย หรือเป็นผลมาจากโรคต่างๆ 

ภาวะเลือดข้นที่มีสาเหตุจากไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงออกมาในปริมาณที่มากเกินไป (Absolute Polycythemia) แบ่งได้ 2 ประเภท ดังต่อไปนี้

  • ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงมากผิดปกติ (Primary Polycythemia หรือ Polycythemia Vera) ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสารพันธุกรรมเจเอเคทู (JAK2) ทำให้ไขกระดูกผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดงในปริมาณที่มากผิดปกติ และผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและเกล็ดเลือดในปริมาณที่มากผิดปกติด้วยเช่นกัน มักเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ
  • การผลิตฮอร์โมนอีริโทโพอิติน (Erythropoietin) ในปริมาณที่มากเกินไป (Secondary Polycythemia) หรืออาจเกิดขึ้นจากสาเหตุอื่น ๆ เช่นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Sleep Apnoea) ส่งผลให้ออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้ไม่เพียงพอ จึงผลิตฮอร์โมนอีริโทโพอิตินมากขึ้น

ปัญหาที่เกี่ยวกับไต เช่น เนื้องอกในไต หรือการตีบของหลอดเลือดแดงในไต เป็นต้น

เลือดข้น ตรวจเจอได้ ด้วยวิธีไหนบ้าง ?

การตรวจภาวะเลือดข้นทำได้ 5 วิธี แต่มีวิธีที่นิยมทำด้วยกันหลักๆ 3 วิธี คือ การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด การตรวจสเมียร์เลือด หรือการตรวจอีริโทโพอิติน โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count: CBC)

เป็นการวัดจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดแดง เซลล์เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด ระดับความเข้มข้นของฮีโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง รวมถึงปริมาณของเซลล์เม็ดเลือดแดง

  • การตรวจสเมียร์เลือด (Blood Smear)

จะแสดงลักษณะของเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้สามารถตรวจพบเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติ ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกับโรคนี้ได้

  • การตรวจอีริโทโพอิติน (Erythropoietin Test)

ในผู้ที่มีภาวะเลือดข้นอาจมีจำนวนของฮอร์โมนอีริโทโพอิตินในเลือดผิดปกติได้

  • การตรวจไขกระดูก

วิธีนี้จะทำโดยการดูดและเจาะเนื้อเยื่อไขกระดูก (Bone Marrow Aspiration and Biopsy) แล้วนำไปวิเคราะห์ผลโดยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยในผู้ที่มีภาวะเลือดข้นมักจะพบจำนวนเซลล์เม็ดเลือดที่มากกว่าปกติ

  • การตรวจหาสารพันธุกรรมเจเอเคทู (JAK2)

ประมาณร้อยละ 95 ของผู้ที่มีภาวะเลือดข้นจากการทำงานผิดปกติของไขกระดูก จะมีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสารพันธุกรรมเจเอเคทู (Polycythemia Vera) ซึ่งตรวจพบได้จากการตรวจเลือดและการดูดและเจาะเนื้อเยื่อไขกระดูก

ภาวะเลือดข้น เลือดหนืด รักษาอย่างไร ?

สำหรับการรักษานั้นมีหลายวิธีการขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์ ตั้งแต่การถ่ายเลือด (Blood letting) จนถึงการให้ยาเพื่อลดการสร้างเม็ดเลือด เพื่อให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นและลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในอนาคต

  • การลดปริมาณเม็ดเลือดแดง ที่ได้ผลรวดเร็ว ลดอาการต่าง ๆ ได้รวดเร็ว

คือ การเจาะเลือดออกทิ้ง ที่เรียกว่า Phlebotomy ซึ่งการเจาะเอาเลือดออกจะทำเป็นระยะ ๆ ถี่หรือห่างขึ้นกับจำนวนเม็ดเลือดแดงในเลือดสูงมากหรือสูงน้อย อาการ และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย นอกจากนั้น คือ การให้ยาชนิดต่าง ๆ เพื่อลดการทำงานของไขกระดูก เช่น ยาเคมีบำบัด ยากระตุ้นภูมิคุ้มกันต้านทานโรค ยาน้ำแร่รังสี ซึ่งการจะเลือกยาตัวใดขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ โดยดูจากความรุนแรงของอาการ ปริมาณเม็ดเลือดแดง และการตอบสนองหรือการดื้อต่อยา ผลการรักษาจากยาชนิดต่าง ๆ

  • การรักษาประคับประคองตามอาการ

เช่น การให้ยาลดความดันโลหิตที่สูง การให้ยาลดการแข็งตัวของเลือดหรือลดการเกิดลิ่มเลือด เช่น ยาแอสไพริน เป็นต้น

ผลข้างเคียงจากภาวะเลือดหนืด

ภาวะเลือดหนืดอาจเกิดจากการล้มเหลวของการไหลเวียนเลือดจากเลือดที่ข้นขึ้นมากและจากภาวะลิ่มเลือด โดยผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า อาการคันผิวหนังโดยเฉพาะ รวมถึงเกิดแผลต่าง ๆ ได้ง่ายที่บริเวณผิวหนังและที่เยื่อเมือกบุอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร

นอกจากนั้น ยังมีโอกาสที่โรคนี้จะเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ประมาณ 15% โดยมักเกิดหลังการวินิจฉัยโรคเลือดหนืดได้ประมาณ 10 ปีขึ้นไปแล้ว

ดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคเลือดหนืด

  • กินยาที่แพทย์แนะนำให้ถูกต้อง ครบถ้วน
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงควันบุหรี่
  • รักษาความสะอาดผิวหนังเสมอ
  • รักษาร่างกายให้อบอุ่น ไม่ร้อนจัดหรือหนาวจัด
  • เมื่อเป็นแผลตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และแผลไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ ควรพบแพทย์

วิธีป้องกันเลือดหนืด

ปัจจุบันยังไม่มีวิธีป้องกันเลือดหนืด แต่การตรวจสุขภาพประจำปี โดยการตรวจเลือดซีบีซี จะช่วยให้พบโรคนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การรักษาควบคุมโรคได้ผลดีมากกว่าเมื่อมีอาการมากแล้วจึงไปพบแพทย์

อ้างอิง: โรงพยาบาลพญาไท , เมดิคอลไทม์