'เวลเนสไทย' คือ ความต้องการ ไม่ใช่แค่ 'ความจำเป็น' ไทยมีศักยภาพฮับโลก

'เวลเนสไทย' คือ ความต้องการ ไม่ใช่แค่ 'ความจำเป็น' ไทยมีศักยภาพฮับโลก

ปัจจุบันเวลเนสถูกมองว่าเป็น“New S-curve” สำหรับธุรกิจโลกการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนตระหนักรู้ (awareness) มากขึ้น

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลางเวลเนสโลก แต่ต้องเข้าใจนิยามของ “เวลเนส”คือ “ความต้องการ” (Want) ที่ลูกค้ามาแล้วต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ 
  • เวลเนส เกิดจากความปรารถนาในการผ่อนคลาย พักผ่อน ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ แตกต่างจากการแพทย์ที่เป็น “ความจำเป็น” (need) เมื่อเกิดความเจ็บป่วย
  • การมีบุคลากรที่มี “wellness culture” เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเป็น “จุดหมายปลายทาง”เวลเนสระดับโลกได้

ปัจจุบันเวลเนสถูกมองว่าเป็น“New S-curve” สำหรับธุรกิจโลกการระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้คนตระหนักรู้ (awareness) มากขึ้นว่าการดูแลสุขภาพเชิงรุกมีความสำคัญ ต่างจากเดิมที่เน้น “Sickness Care” คือรอป่วยแล้วค่อยรักษา คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการป้องกันไม่ให้สุขภาพแย่ในระยะยาว มีการลงทุนในการแพทย์แม่นยำและการตรวจเชิงลึกในระดับยีนส์ เพื่อวางแผนป้องกันโรคในอนาคต เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง Value Chain ในอุตสาหกรรมเวลเนส ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ

ประเทศไทยมีศักยภาพมหาศาลที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเวลเนสระดับโลก แต่หัวใจสู่การเป็นผู้นำเวลเนสโลกของไทยคือต้องเข้าใจนิยามของ “เวลเนส”คือ “ความต้องการ” (Want) ที่เกิดจากความปรารถนาในการผ่อนคลาย พักผ่อน ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ หรือแม้กระทั่งการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน ซึ่งแตกต่างจากการแพทย์ที่เป็น “ความจำเป็น” (need) เมื่อเกิดความเจ็บป่วย 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ดันไทยเป็นศูนย์กลาง 'เวลเนสฮับ' ดึงนักท่องเที่ยวพรีเมี่ยม

ไทยปักธง 'ศูนย์กลางสุขภาพโลก' ขาย 'อนาคตที่สุขภาพดี' ให้คนทั่วโลก

 "จุดแข็งไทย" สู่ผู้นำเวลเนสระดับโลก

"หมอปอง-นพ.ทีปทัศน์ ชุณหสวัสดิกุล" แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน และ BALAVI Wellness Business Set Up Consultant ให้สัมภาษณ์“กรุงเทพธุรกิจ”ว่า  ประเทศไทยมีศักยภาพมหาศาลที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเวลเนสระดับโลก ดังนั้น จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจและสื่อสารว่าเวลเนสคืออะไรอย่างแท้จริง จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง กับนักท่องเที่ยวโดยต้องสื่อสารให้ชัดเจนว่า “เวลเนส” มันคือ “ความต้องการ” ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะมาหรือไม่มา และมาแล้วต้องได้ในสิ่งที่ต้องการ 

จริงๆแล้วประเทศไทยมีข้อได้เปรียบที่โดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งหลายประเทศไม่สามารถเทียบเคียงได้ไม่ว่าจะเป็นการบริการที่เป็นเลิศ (Hospitality) มีบุคลากรทางการแพทย์ พยาบาล และผู้ให้บริการที่มีความเต็มใจและมีอุปนิสัยโอบอ้อมอารี ต้นทุนค่าแรงที่เหมาะสม ทำให้ได้ผลตอบแทนการลงทุน (ROI) ที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีค่าแรงสูง เช่น สิงคโปร์ 

'เวลเนสไทย' คือ ความต้องการ ไม่ใช่แค่ 'ความจำเป็น' ไทยมีศักยภาพฮับโลก

ไทยมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกด้านเวลเนส

นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ รีสอร์ทเชิงธรรมชาติ เช่น ภูเขาที่มีน้ำพุร้อน หรือทะเลชายหาด เอื้อต่อการสร้างเวลเนสเซ็นเตอร์ที่ดี ผู้ที่ทำธุรกิจเวลเนสจำเป็นต้องมีธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกได้ถึงการพักผ่อนและฟื้นฟู มีโครงสร้างพื้นฐานที่เสถียร และเป็นจุดศูนย์กลางของการเดินทางของโลก ดึงดูดกลุ่มเศรษฐีที่มีกำลังทรัพย์ให้มองประเทศไทยเป็นบ้านหลังที่สาม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความขัดแย้งทั่วโลก กลุ่มนี้มองหา Cost of Living ที่ถูกกว่า และการแพทย์ไทยที่มีชื่อเสียงจากช่วงโควิด-19 ทำให้ไทยมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกด้านเวลเนสได้มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคนี้

ความท้าทายสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน

หมอปอง กล่าวว่า  แม้มีจุดแข็ง แต่ไทยยังคงเผชิญความท้าทายบางประการที่ต้องเร่งแก้ไขเพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำเวลเนสโลกให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายไทยยังไม่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและความรู้เกือบทั้งหมด การจดทะเบียนวิตามินใหม่ๆ ก็เป็นเรื่องยาก หากมีการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและส่งเสริม “Innovative Culture” จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมได้ทัดเทียมกับต่างชาติ

การพัฒนาบุคลากรแบบบูรณาการ (Interdisciplinary Training) ส่งเสริมให้แพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์แผนไทยทำงานร่วมกัน เข้าใจและเรียนรู้ศัพท์ทางการแพทย์ร่วมกัน เพื่อให้สามารถสื่อสารและพัฒนางานวิจัยร่วมกันได้ บุคลากรในธุรกิจเวลเนสรวมถึงแพทย์ ควรมี “Wellness Mind” หรือใช้ชีวิตแบบเวลเนสจริง ๆ และเป็นส่วนหนึ่งของ “Wellness Culture” การที่พนักงานมีสุขภาพดีและใช้ชีวิตแบบเวลเนสจริง จะส่งผลต่อคุณภาพบริการและความรู้สึกของลูกค้า. ควรมีการ “โมเดิร์นไนซ์” การสื่อสาร คำศัพท์เฉพาะทางให้เป็นภาษาวิทยาศาสตร์ที่เข้าใจได้

นอกจากนี้ควรการนำเทคโนโลยีมาใช้ อย่าง AI และ IoT สามารถเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลพันธุกรรม การเฝ้าระวังสุขภาพเชิงรุก และการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ยังคงต้องมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์คอยตรวจสอบ (Human Interlogue/Expert) โดยเฉพาะในเรื่องสำคัญที่อาจเกิดความเสียหายได้

เน้น Wellness Tourismอย่างแท้จริง

หมอปอง เสนอว่า ควรมีคณะทำงานด้านเวลเนสที่เริ่มต้นจากคนที่เข้าใจเวลเนสเน้นไปที่ Wellness Tourism อย่างแท้จริง มีการตลาดและการสื่อสารที่ตรงจุดโปรโมทเวลเนสของไทยให้ความรู้แก่เอเจนซี่ต่างชาติเกี่ยวกับการบริการเวลเนสที่หลากหลายและมีคุณภาพของไทย เกี่ยวกับภูมิปัญญาไทยที่ผ่านการวิจัยและสามารถแก้ปัญหาได้จริง 

การใช้แพลตฟอร์มและระบบการจัดการที่รวดเร็วและไร้รอยต่อ (Seamless User Journey) จะช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้าได้ เช่นการบริการระดับ World Class  สำหรับลูกค้ากลุ่ม Luxury ต้องสามารถตอบสนองความต้องการได้ภายใน 2 นาทีผ่านระบบที่รองรับจะช่วยสร้างความประทับใจให้ไทยเป็นผู้นำเวลเนสระดับโลก

"หากประเทศไทยมีกฎหมายและระบบนิเวศทางธุรกิจที่เอื้อและควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้แบบองค์รวม และเข้าใจแก่นแท้ของ “เวลเนส” ในฐานะ “ความต้องการ” ของลูกค้า แทนที่จะเป็น “ความจำเป็น” ทางการแพทย์ เราจะสามารถสร้างคุณค่าและกำไรที่ยั่งยืนในอุตสาหกรรมนี้ โมเดลที่เน้นการบริการแบบองค์รวม โดยมีบุคลากรที่มี “wellness culture” จริงๆ และการบริหารจัดการที่ไร้รอยต่อ จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็น “จุดหมายปลายทาง” ด้านเวลเนสระดับโลกได้อย่างแท้จริง"

อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า อาจได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในช่วง 2-3 ปี หลังจากนี้ หากรัฐบาลสามารถรักษาเสถียรภาพและดำเนินกลยุทธ์เหล่านี้ได้อย่างจริงจัง