ตลาดสมุนไพรไทยผงาด พุ่ง 14%! รัฐอัดฉีดปั้นแสนล้านสู่ศูนย์กลางโลก

ตลาดสมุนไพรไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเติบโต จากความตระหนักด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวสู่ระดับสากล
KEY
POINTS
- ตลาดสมุนไพรไทยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มมูลค่าตลาดนี้เป็น 100,000 ล้านบาทหรือประมาณ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.ภายใน 5 ปีข้างหน้า
- ไทยมีแผนการขับเคลื่อนสมุนไพร “ไพล- กระชายดำ-กระท่อม" เพิ่มมูลค่าทางการตลาด ส่งเสริมพร้อมขับเคลื่อน สปา wellness และกีฬา
- ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 22 หรือ Thailand Herbal Expo 2025 วันที่ 2 -6 ก.ค. 2568 ที่เมืองทองธานีจะสร้างโอกาสจับคู่ทางธุรกิจ ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โมเดิร์นเทรด ปั๊มน้ำมัน และบริษัทผู้ผลิตที่ต้องการวัตถุดิบคุณภาพ ”
ตลาดสมุนไพรไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งการเติบโต จากความตระหนักด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐที่มุ่งผลักดันอุตสาหกรรมนี้ให้ก้าวสู่ระดับสากล หลังสถานการณ์โควิด-19 ผู้คนทั่วโลกหันมาใส่ใจสุขภาพตนเองและพึ่งพาสิ่งที่มาจากธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งสมุนไพรไทยถือเป็นทางเลือกสำคัญในกลุ่ม “Primary Care” ที่ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้ แนวโน้มนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ได้รับประโยชน์
“ดร.ภญ.มณฑกา ธีระชัยสกุล” ผู้อำนวยการกองเศรษฐกิจสมุนไพร กรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก เปิดเผย “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า จากข้อมูลที่มีอยู่ตลาดสมุนไพรไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี หากย้อนไปตั้งแต่ปี 2563-2567 อัตราการเติบโตอยู่ที่ 14 % ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับ GDP โดยรวมของประเทศ ปัจจุบันมูลค่ารวมของตลาดสมุนไพรไทยในประเทศอยู่ที่ประมาณ 40,000 ถึง 50,000 ล้านบาท โดยปี 2567 อยู่ที่เกือบ 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 5 ของเอเชีย รองจากจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และอินเดีย แต่มีอัตราการเติบโตที่สูงกว่าญี่ปุ่นและเกาหลี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ตรวจธาตุเจ้าเรือน 'อภัยภูเบศร' คืนสมดุลตามเจ้าเรือนรายบุคคล
สุดปัง! GPO โชว์ Plant-Based ใน WORLD EXPO ดันสมุนไพรไทยสู่เทรนด์โลก
รัฐหนุนเต็มที่ตั้งเป้าแสนล้านบาท
ทั้งนี้ ตลาดสมุนไพรของไทยมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต รัฐบาลมีแผนที่จะเพิ่มมูลค่าตลาดนี้เป็น 100,000 ล้านบาทหรือประมาณ 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ.ภายใน 5 ปีข้างหน้าโดยมีความพยายามในการส่งเสริมสมุนไพรผ่านการร่วมมือระหว่างกระทรวงต่าง ๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตร และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อใช้สมุนไพรในบริการสุขภาพมากขึ้น
คณะกรรมการนโยายสมุนไพรแห่งชาติ มีเป้าหมายชัดเจนในการผลักดันสมุนไพรไทยให้เป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ โดยเพิ่มงบประมาณสนับสนุนเฉพาะส่วนของยาสมุนไพร ในวงเงิน 1,000 ล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มงบประมาณให้เป็น 2,000 ล้านบาทให้เกิดการพัฒนาทั้ง กลางน้ำ และต้นน้ำ ตามมา โดยมีแผนการขับเคลื่อนสมุนไพร Herb of the year ปี 2568 – 2570 จำนวน 3 รายการ ได้แก่ ไพล กระชายดำ และกระท่อม นำสมุนไพรสู่การสร้างเศรษฐกิจ
"ไพล-กระชายดำ- กระท่อม" เพิ่มมูลค่า สู่ตลาดโลก
สำหรับแผนการขับเคลื่อนสมุนไพร “ไพล” ระยะ 1 ปี เพิ่มการใช้ไพล เป็น 1,543 ล้านบาทต่อปี สร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นไพลในระบบบริการสุขภาพ คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าการใช้ไพลเพิ่มขึ้น 343 ล้านบาทต่อปี มีโอกาสทางการตลาด 3,433 ล้านบาทต่อปี 2. การส่งเสริมการใช้ไพลควบคูกับการขับเคลื่อนสปา wellness และกีฬา คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า การใช้ไพลเพิ่มขึ้น 1,200 ล้านบาทต่อปี มีโอกาสทางการตลาด 24,000 ล้านบาทต่อปี
กระชายดำในระยะ 1 ปี เพิ่มการใช้กระชายดำ เป็น 629 ล้านบาทต่อปี ดังนี้ 1. การเคลมสรรพคุณกระชายดำ เรื่องลดไขมันในช่องท้อง (ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ประเภท ค.) คาดการณ์ว่าจะมี มูลค่าการใช้กระชายดำเพิ่มขึ้น 305 ล้านบาทต่อปี มีโอกาสทางการตลาด 6,104 ล้านบาทต่อปี 2. การเคลมสรรพคุณหรือส่งเสริมภาพลักษณ์กระชายดำในด้านของ sport nutrition คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า การใช้กระชายดำเพิ่มขึ้น 250 ล้านบาทต่อปี มีโอกาสทางการตลาด 25,154 ล้านบาทต่อปี 3.การเคลมสรรพคุณกระชายดำหรือส่งเสริมภาพลักษณ์ในด้านความงาม คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่าการใช้ กระชายดำเพิ่มขึ้น 74 ล้านบาทต่อปี มีโอกาสทางการตลาด 745 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ การขับเคลื่อน “กระท่อม”ดังนี้ 1.ส่งออกไปต่างประเทศ มูลค่าส่งออกคาดการณ์ปีที่ 1 วงเงิน 1,191 ล้านบาท คาดการณ์ปีที่ 2 วงเงิน 1,400 ล้านบาท 2.ใช้กระท่อมทางการแพทย์ คาดการณ์ 900 ล้านบาท โดยพบว่าปี 2566 มูลค่ายาแก้ปวดในประเทศไทย 17,911.73 ล้านบาท
เทรนด์สมุนไพรโตตามเวลเนส
เทรนด์สมุนไพรยังเติบโตไปกระแสการดูแลสุขภาพของโลกที่เน้นเวลเนส เน้นการมีสุขภาพดีและป้องกันก่อนรักษา สมุนไพรไทยได้รับความนิยมอย่างสูงในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นและตะวันออกกลาง ยกตัวอย่างเช่น ในงานเอ็กซ์โปที่ญี่ปุ่น พาวิลเลียนไทยมีผู้สนใจเข้ามาทดลองผลิตภัณฑ์และต้องการซื้อสินค้าเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์นวดไทยก็ได้รับความนิยมอย่างมากในญี่ปุ่นเช่นกัน
“ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของตลาดเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง เช่น ตลาดญี่ปุ่นชอบกลิ่นที่ละมุนและเป็นธรรมชาติ ไม่ผสมผสาน ในขณะที่ตลาดตะวันออกกลางอาจต้องการกลิ่นหอมของไม้กฤษณา การผลิตสมุนไพรไทยให้ขายได้ในตลาดจึงต้องเน้นที่ตลาดของผู้บริโภคเป็นหลัก”
ทั้งนี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 22 หรือ Thailand Herbal Expo 2025 ระหว่างวันที่ 2 -6 ก.ค. 2568 ณ ฮอลล์ 11 - 12 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี จังหวัดนนทบุรี ภายใต้รูปแบบ “ภูมิปัญญาไทย Soft Power ไทย สร้างเศรษฐกิจไทย” นำเสนอผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่เกิดจากภูมิปัญญาไทย และกระตุ้นการส่งเสริมวัตถุดิบทางการแพทย์จากสมุนไพรท้องถิ่น จะมีการจัดกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้ผลิตสมุนไพรได้พบกับผู้ซื้อซึ่งส่งเสริมการเชื่อมโยงและการสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมนี้ ทำให้เกิดโอกาสทางการตลาดใหม่ๆ
"การจัดงานนี้จึงมีความสำคัญต่อการบูรณาการองค์ความรู้และส่งเสริมธุรกิจสมุนไพรไทยให้เป็นที่รู้จักและยอมรับในระดับโลก สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสนับสนุนการจับคู่ทางธุรกิจ ระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย (matching)โดยกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายในการจับคู่ทางธุรกิจ ได้แก่ โมเดิร์นเทรด ปั๊มน้ำมัน และบริษัทผู้ผลิตที่ต้องการวัตถุดิบคุณภาพ คาดว่าจะมีผู้ซื้่อและผู้ขายให้ความสนใจประมาณ 100,000 คน"







