นวัตกรรมสู่ชีวิตไร้ขีดจำกัด เครือ CHG ลุย Wellness-คนไม่อยากแก่

ตามที่รัฐบาลประกาศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (พ.ศ. 2566–2577)
KEY
POINTS
- โรงพยาบาลในเครือ CHG มีโมเดลในการให้บริการทางการแพทย์ด้าน Wellness และนวัตกรรมใหม่แห่งอนาคต เพื่อชีวิตไร้ขีดจำกัด
- สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ส่งผลให้กลุ่มคนไข้ต่างชาติ อย่าง กลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ลดลง
- การที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และทำให้ประชากรไทยมีสุขภาพที่ดีล้วนขึ้นอยู่กับผู้นำ
ตามที่รัฐบาลประกาศขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (พ.ศ. 2566–2577) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับระบบสุขภาพไทยให้สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) ให้เติบโตไม่ต่ำกว่า 6.9 แสนล้านบาท หรือ 3.39% ของ GDP ภายในปี 2568
“ธุรกิจ Health & Wellness” กำลังเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน และต่อให้เกิดภาวะทางเศรษฐกิจ สงคราม หรือความขัดแย้งระหว่างประเทศต่างๆ ก็ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจาก ผู้คนยังคงใส่ใจสุขภาพทางกายและจิตใจของตนเองมากขึ้น
ข้อมูลจาก GWI เปิดเผยว่าธุรกิจ Wellness ในปี พ.ศ. 2568 มีแนวโน้มที่จะเติบโตถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะแตะ 8.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี พ.ศ. 2570 เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่ในโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมถึงประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเรียบร้อยแล้ว โดยปัจจุบันมีผู้สูงวัยจำนวน 13.45 ล้านคน คิดเป็น 20.70% ของประชากรไทยทั้งหมด
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เศรษฐกิจรวน! ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ฉุดคนไข้ต่างชาติลด 'เฮลท์แคร์' ไทยชะงัก
คนยุคใหม่ ไม่อยากแก่ รพ.ต้องปรับตัว
นพ.ยุทธนา สงวนศักดิ์โกศล รองประธานกรรมการบริหารเครือ CHG และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ธุรกิจโรงพยาบาลมีการปรับตัวค่อนข้างมาก เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเทรนด์การดูแลสุขภาพนอกจากเรื่องการดูแล รักษาสุขภาพกายและจิตใจแล้ว ผู้คนจะสนใจเรื่องการป้องกันโรค ต้องการให้ตนเองแก่ช้า หน้าเด็ก และการทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง
ขณะเดียวกันด้วยจำนวนผู้ป่วยกลุ่มโรค NCDs เพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มโรคดังกล่าว นำไปสู่โรคเรื้อรังร้ายแรง อย่าง โรคหัวใจ โรคทางสมอง โรคมะเร็ง และสังคมไทยเข้าสู่สังคมสูงวัย มีจำนวนผู้ใช้บริการทางการแพทย์มากขึ้น โรงพยาบาลส่วนใหญ่ต้องมีการพัฒนาและปรับแผนในการให้บริการทางการแพทย์ที่เน้นการนำนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการดูแล ป้องกัน รักษาโรคให้แก่คนไข้ทั้งไทยและต่างชาติ
โมเดล Wellness ด้วยนวัตกรรมทันสมัย
นพ.ยุทธนา กล่าวต่อว่าเครือกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์(CHG) มีโรงพยาบาลในเครือ กว่า 10 สาขา และมีคลินิกในเครือ ซึ่งมีโมเดลในการให้บริการทางการแพทย์ที่ให้ความสำคัญด้าน Wellness และนวัตกรรมใหม่แห่งอนาคต เพื่อชีวิตไร้ขีดจำกัด อาทิ เทคโนโลยีการบริการตรวจยีน (NICS TEST) ซึ่งเป็นการตรวจยีนเพื่อค้นหามะเร็งระยะเริ่มต้น และยังให้บริการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดมารดา (NIPT) รวมถึง มีบริการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ
รวมถึง การตรวจเชิงลึกทางพันธุกรรม ที่จะทำให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสุขภาพ และลักษณะเฉพาะของบุคคล อันนำไปสู่การป้องกันโรค และปรับไลฟ์สไตล์ให้ตรงจุด เพื่อสุขภาพที่ยั่งยืน นอกจากนั้น ได้นำเทคโนโลยีดีท็อกเลือด Double Filtration Plasmapheresis (DFPP) เป็นกระบวนการทำให้เลือดสะอาดบริสุทธิ์ ใช้ระยะเวลา ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ไม่ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาล
“การดีท็อกซ์เลือดสามารถขจัดสารก่อโรคได้ตรงจุด ลดไขมันและสารเร่งการอักเสบในร่างกายได้ทันทีโดยลดได้มากกว่า 50% ทำให้ลดโอกาสเกิดโรคเกี่ยวกับเส้นเลือด ลดระดับปริมาณไวรัส HIV ไวรัสตับอักเสบบี,ซี สารก่อภูมิแพ้ โรคระบบประสาท ลดการใช้ยาลดไขมัน ชะลอวัย ลดความเสื่อมของหลอดเลือด และทำให้การดูดซับวิตามิน ได้ดียิ่งขึ้น และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการดีท็อกซ์เลือดก่อนให้ Regenerative Cell เพื่อให้ Regenerative Cell ได้ผลลัพธ์ ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้สุขภาพดีจากภายใน”
ขัดแย้ง-เศรษฐกิจคนไข้ CLMV ลดลง
เทรนด์ในการดูแลสุขภาพส่วนใหญ่จะตอบโจทย์ความต้องการของคนไม่อยากแก่ ต้องการปราศจากโรค อยากมีชีวิตที่ไร้โรคเรื้อรัง คนอายุ 40 ปี ขึ้นไปหันมาออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร ตรวจเช็กร่างกาย เพื่อวางแผนในการดูแลสุขภาพตนเองและการป้องกันโรค
นพ.ยุทธนา กล่าวต่อว่า คนไทยและทั่วโลกป่วยกลุ่มโรค NCDs มากขึ้น ซึ่งโรคดังกล่าวก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาจำนวนมาก ขณะเดียวคนก็ต้องการชีวิตที่ยืนยาวมากขึ้น ฉะนั้น การให้บริการทางการแพทย์ การดูแลรักษาคนไข้ต้องมุ่งเน้นการบริการที่ดีมีคุณภาพ ทำให้คนไข้หายจากโรค หรือมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเมื่อมารักษาที่โรงพยาบาล
“รพ.ในเครือ CHG คนไข้ที่มารักษา 90% จะเป็นคนไทย และ 10 % จะเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวตะวันออกกลาง ที่มารักษาที่โรงพยาบาล ด้วยภาวะน้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคข้อและกระดูกสันหลัง โรคทางสมอง ส่วนคนไข้จะมารักษาด้วยกลุ่มโรค NCDs โรคหัวใจ และโรคมะเร็งมากขึ้น ซึ่งสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ และความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา ส่งผลให้กลุ่มคนไข้ต่างชาติ อย่าง กลุ่ม CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) ลดลงจำนวนหนึ่งแต่ลดลงไม่มาก”
เปิด Wellness Center ดูแลเชิงป้องกัน
รพ.จุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต หรือโรงพยาบาลเครือ CHG มีศูนย์รักษาโรคมะเร็งแบบครบวงจร ซึ่งมีทีมแพทย์เฉพาะทาง ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความชำนาญ และมีเทคโนโลยีทันสมัยที่เข้ามาช่วยดูแลรักษาคนไข้ อาทิ หุ่นยนต์ผ่าตัด การนำ AI เข้ามาใช้ และมีการสร้างห้องผ่าตัดใหม่ที่มีเครื่องมือทางการแพทย์ครบครัน และจะมีการขยายห้องผ่าตัดเพิ่มเติม โดยการนำนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ได้มีการฝึกอบรมทีมแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อการดูแลรักษาแก่คนไข้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นพ.ยุทธนา กล่าวต่อไปว่าเครือ CHG มีแผนที่จะเปิด Wellness Center ตรงข้าม รพ.จุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ตในเร็วๆ นี้ โดยจะดูแลสุขภาพในเชิงป้องกัน และฟื้นฟูสุขภาพที่ครอบคลุมทุกจังหวะของชีวิต ตั้งแต่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การตรวจสุขภาพประจำปี การตรวจเชิงลึกในด้านวิตามิน ฮอร์โมน ยีนพันธุกรรม การดูแลเรื่องผิวพรรณ ลดน้ำหนัก เวชศาสตร์ฟื้นฟูสุขภาพ โดยผสมผสานองค์ความรู้ด้านการแพทย์ทั้งแผนปัจจุบัน การแพทย์แพทย์จีน และแพทย์ทางเลือก ร่วมกับยา เทคโนโลยีทางการแพทย์ และนำเทคโนโลยีกำจัดสารก่อโรคต่างๆ วิตามิน และเซลล์บำบัด เพื่อช่วยให้ผู้รับบริการมีสุขภาพที่ดี มีชีวิตที่ยืนยาวได้อย่างไรขีดจำกัด
ทุกสิทธิการรักษาพยาบาล ทั้งสิทธิบัตรทอง สิทธิประกันสังคม สิทธิข้าราชการ และสิทธิประกันสังคม สามารถใช้บริการของโรงพยาบาลในเครือ CHG ได้ ซึ่งโรงพยาบาลทุกแห่งในเครือ เป็นโรงพยาบาลระดับกลางที่ทุกคนสามารถเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในราคาที่เหมาะสม
ไทยก้าวสู่ “ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ” อยู่ที่ผู้นำ
นพ.ยุทธนา กล่าวด้วยว่าแม้ผู้คนให้ความสนใจและใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น แต่จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังมีมากขึ้น ตอนนี้มีผู้ป่วยที่มาใช้บริการ รพ.จุฬารัตน์ 9 ประมาณวันละ 1,200 คน ซึ่งส่วนใหญ่มารักษาด้วยโรคระบาด และกลุ่มโรค NCDs ดังนั้น โรคเหล่านี้สามารถป้องกันได้ จากการปรับพฤติกรรม ทั้งการกิน อย่ากินอาหารที่ไม่ใช่อาหาร เช่น อาหารซอง อาหารกระป๋อง ทานน้ำตาลกลูโคสที่อยู่ในเบเกอรี่ น้ำผลไม้ที่มีลดหวาน และอย่าทานอาหารตลอดเวลา เพราะการทานอาหารเหล่านี้ก่อให้เกิดโรคเบาหวาน โรคอ้วน และโรคมะเร็งได้
ขณะเดียวกัน ควรออกกำลังกาย อย่างน้อยอาทิตย์ละ 150 นาที อย่าใช้มือถือในขณะนอนหลับ ควรนอนก่อน 4 ทุ่ม และนอนให้เพียงพอ 7 ชม. และควรบริหารความเครียดด้วยการพบเพื่อนที่มีคุณภาพ คนเราจะมีอายุยืนได้ สุขภาพกายและสุขภาพใจต้องดี และหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีฝุ่น PM2.5 รวมถึงควรตรวจสุขภาพ เพื่อดูแลสุขภาพที่เหมาะสมกับบุคคล
“ตลาด Wellness ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยมีความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เพราะเรามีทีมแพทย์ที่ดีและเก่ง มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่ทันสมัยในการรักษา มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อ แต่ข้อจำกัดของไทยจะเป็นด้านกฎหมาย เช่น การผลิตอาหารเสริมบางชนิด ผลิตภัณฑ์ชะลอวัย ทีมแพทย์และภาคเอกชนมีความพร้อมแต่ไม่สามารถผลิตได้ ดังนั้น การที่จะทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ และทำให้ประชากรไทยมีสุขภาพที่ดีล้วนขึ้นอยู่กับผู้นำ อยากเห็นภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมการดูแล การป้องกันและรักษาโรคของไทยให้มีคุณภาพ มาตรฐาน ในราคาที่เข้าถึงได้”นพ.ยุทธนา กล่าวทิ้งท้าย