เศรษฐกิจรวน! ขัดแย้งไทย-กัมพูชา ฉุดคนไข้ต่างชาติลด 'เฮลท์แคร์' ไทยชะงัก

มุมมองของรพ.วิมุต ต่อเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ที่กำลังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลัก คือการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจโลก
KEY
POINTS
- การผันผวนทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ส่งผลให้คนไข้ต่างชาติลดลง จาก 10% เหลือ 8% และกระทบต่อ "ธุรกิจเฮลท์แคร์"
- เศรษฐกิจแย่เป็นข้อดีของโรงพยาบาลขนาดกลาง เพราะคนไข้จากโรงพยาบาลระดับไฮเอนด์จะย้ายมาอยู่โรงพยาบาลระดับกลางถึงบน อย่าง รพ.วิมุต
- “คนไข้สำคัญที่สุด” คือหัวใจสำคัญในการบริหารโรงพยาบาล โดยคนไข้ต้องได้รับการบริการและ การรักษาที่ดีที่สุด ขณะที่พนักงานขององค์กร ต้องมีความสุขในการทำงาน
เศรษฐกิจโลกในปี 2025 เผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอน โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลัก คือการเปลี่ยนแปลงนโยบายเศรษฐกิจโลก, ความตึงเครียดทางการค้า และความมั่นคงทางการเงินของแต่ละประเทศ ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก คาดว่าชะลอตัวลง และมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ขณะเดียวกันภาวะสงคราม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจ อย่าง สหรัฐอเมริกา-จีน , สงครามบานปลายระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน และล่าสุดความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อ “ธุรกิจเฮลท์แคร์” ของไทย เพราะชาวต่างชาติชะลอเข้ารับบริการ และความสามารถในการใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนในประเทศก็หดตัวลงอย่างชัดเจน
แม้ไทยยังดึงดูดคนไข้ต่างชาติได้กว่า 3 ล้านคนต่อปี แต่รายได้กลับเติบโตต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึง ผู้ผลิตในประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากต่างประเทศ กำลังเผชิญปัญหาชิ้นส่วนขาดแคลน ขนส่งล่าช้า และต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง วัตถุดิบและอุปกรณ์การแพทย์หลายรายการขาดตลาด หรือมีราคานำเข้าเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าและค่าขนส่งที่ผันผวนค่าเงินที่ไม่แน่นอน ค่าแรง และต้นทุนโลจิสติกส์ที่เพิ่มขึ้น ยิ่งซ้ำเติมการผลิตในประเทศให้ประสบความยากลำบาก กระทบต่อทั้งระบบสาธารณสุขและต้นทุนในการให้บริการของโรงพยาบาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
พิษขัดแย้ง คนไข้ต่างชาติลด
“นพ. สุวาณิช เตรียมชาญชูชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวิมุต” ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงการปรับตัวของโรงพยาบาลว่า จากการเปลี่ยนแปลงและความผันผวนทางเศรษฐกิจได้สร้างผลกระทบทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษีทรัมป์ สงครามที่เกิดขึ้น และความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาที่ส่งผลต่อสัดส่วนคนไข้ชาวต่างชาติ ปัจจุบันคนไข้ต่างชาติที่มาใช้บริการที่วิมุต มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประมาณ 10% แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะความขัดแย้งไทย-กัมพูชา พบว่าอัตราการเติบโตของจำนวนผู้ป่วยต่างชาติลดลงเหลือประมาณ 8%
“หลังจากเกิดกรณีความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ทำให้คนไข้กัมพูชาลดลง 1-2% ทั้งที่คนไข้กัมพูชาต้องมาโรคยากและซับซ้อน ต้องเช็กอัพสุขภาพที่ไทย แต่พวกเขาต้องพิจารณาและตัดสินใจยากขึ้น เพราะมีต่อให้ไทยบอกว่าด่านของเราไม่ปิด คนไข้อาการหนักสามารถมารักษาที่ไทยได้ แต่คนไข้มีความกังวลอย่างมากว่าหากมารักษาแล้วจะเดินทางกลับไปประเทศตนเองไม่ได้ ดังนั้น อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหานี้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่คนไข้กัมพูชาได้เข้าถึงการรักษาทางการแพทย์ ส่วนคนไข้ชาวจีนลดลงอย่างชัดเจน ขณะที่คนไข้ชาวตะวันออกกลาง อย่าง อาหรับ ยังคงมาใช้บริการทางการแพทย์ของไทยอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้น” นพ. สุวาณิช กล่าว
ขณะที่คนไข้ชาวไทย ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทำให้คนไทยไม่กล้าที่จะจับจ่ายใช้สอย ซึ่งสุขภาพเจ็บป่วยเฉียบพลัน หรือการรักษาตามโรคที่เป็นอยู่ยังคงมีการใช้จ่ายปกติ แต่การตรวจเช็กอัพสุขภาพ หรือใช้บริการทางการแพทย์ เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันโรคทั้งด้าน Wellnessและ Healthy ต่างๆ ก็จะลดลง
“รพ.วิมุต” ปรับแผน คุมค่าใช้จ่าย
ผอ.โรงพยาบาลวิมุต กล่าวต่อว่ารพ.วิมุตให้บริการผู้ป่วย โดยเน้นการรักษาโรคยากและซับซ้อนด้วยนวัตกรรม และการบริการด้วยใจ ซึ่งได้มีการเปิดศูนย์หัวใจ ศูนย์ทางเดินอาหาร ศูนย์ปอด และศูนย์กระดูก เพื่อรองรับการดูแลผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติที่มาใช้บริการค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้านี้ แต่ขณะนี้เมื่อสัดส่วนคนไข้ลดลง ทางโรงพยาบาลได้มีการปรับแผนการให้บริการต่างๆ
โดยในส่วนของตลาดต่างชาติ มีทีมการดูแลตลาดต่างชาติได้หารือกับทางเอเจนท์ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย และมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยด้านการบริการ เช่น Telemedicine เพื่อจะได้ดูแลลูกค้าอย่างต่อเนื่อง และรักษาลูกค้าไว้ พยายามเน้นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย อาทิ การตรวจสุขภาพประจำปี หรือมารักษาด้วยอาการใดอาการหนึ่งก็จะมีการบริการตรวจสุขภาพครบวงจร เพื่อขยายการรักษาให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดีที่สุด
“รพ.วิมุต ได้มีแผนในการควบคุมค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล และมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ เช่น AI ที่เข้ามาช่วยในด้านการตลาด อย่าง การวางแผนการตลาด การทำอาร์ตเวิร์ค จะได้ไม่ต้องเพิ่มคนมาก ,เทคโนโลยีการชำระเงิน ตู้คีออส(KIOSK) ที่คนไข้สามารถสแกนจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลได้ด้วยตัวเอง ,ใช้ AI ในการจัดเวร-ช่วยอ่านเอกซเรย์ในบางเรื่องแทนที่การจ้างหมอตลอดเวลา และมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมอาคารสถานที่ การป้องกันแผ่นดินไหว การควบคุมมอนิเตอร์ทั้งตึก การลดใช้พลังงาน ซึ่งที่ผ่านมาสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านการใช้พลังงาน ได้เดือนละ 500,000 -600,000 บาท เป็นต้น” นพ. สุวาณิช กล่าว
รพ.ระดับกลาง ราคาเข้าถึงได้
“รพ.วิมุต” มีทีมแพทย์ ประมาณ 400 กว่าท่าน แบ่งเป็นแพทย์ Full Time 40 ท่าน แพทย์ Part Time ประมาณ 400 กว่าท่าน และมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทั้งหมดประมาณ 500 กว่าคน โดยปีนี้โรงพยาบาลมีมูลค่าการเติบโตอยู่ที่ 30% แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์สงคราม ความขัดแย้ง ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ทำให้ 1-2 เดือนที่ผ่านมาอัตราการเติบโตชะลอตัว
“การผันผวนทางเศรษฐกิจ ความขัดแย้งและสงครามที่เกิดขึ้น ทำให้คนทั่วโลกมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งรพ.วิมุต เป็นโรงพยาบาลที่อยู่ในตำแหน่งดี เพราะเราไม่ใช่โรงพยาบาลระดับ 'ไฮเอนด์' ที่แพงมาก แต่เราเป็นโรงพยาบาลระดับกลางถึงบน และราคาเข้าถึงได้ ดังนั้น คนไข้จะรู้สึกว่าคุ้มค่ามากกว่าเมื่อมาใช้บริการที่รพ.วิมุต อันนี้ถือว่าเป็นจุดดีของเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดี คนไข้ก็จะย้ายจากโรงพยาบาลระดับไฮเอนด์มาโรงพยาบาลระดับกลางถึงบน อย่าง รพ.วิมุต มากขึ้น ขณะที่ คนไข้ในกลุ่มระดับกลาง ตอนนี้มีประมาณ 5% ที่ตัดสินใจขอย้ายไปอยู่รพ.ของรัฐ”นพ. สุวาณิช กล่าว
แม้ว่าโรงพยาบาลจะต้องลดต้นทุนในส่วนอื่นๆ แต่สิ่งที่ “รพ.วิมุต” ไม่ลดอย่างแน่นอน คือ เรื่องมาตรฐานการรักษาพยาบาล และการนำนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาบริการรักษาคนไข้ ไม่ว่าจะเป็น AI หุ่นยนต์หรือเครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ เพื่อให้คนไข้ได้รับการบริการที่ดีที่สุด อาทิ ViMUT Application ที่ใช้ในการสื่อสาร การพบแพทย์ออนไลน์ และจะมีการลงทุนด้านนวัตกรรมทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง
ไม่เพิ่มค่ารักษา เจาะตลาดใหม่ “แอฟริกา”
นพ. สุวาณิช กล่าวอีกว่าเรื่องค่ารักษาพยาบาลนั้น เบื้องต้นยังไม่มีการเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลง แต่ทางโรงพยาบาลจะมีการติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโลกว่ามีผลกระทบหรือไม่ เพราะโรงพยาบาลในไทยยังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเครื่องมือทางการแพทย์ และการนำเข้ายาจากต่างประเทศที่อาจต้องเสียภาษีเพิ่ม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทางโรงพยาบาลต้องลงทุนสูงขึ้น แต่ในส่วนของค่ารักษาพยาบาลอื่นๆ ทางรพ.วิมุต จะพยายามแบ่งเบาภาระของคนไข้ และช่วยประเทศชาติ เพื่อไม่ให้ค่ารักษาพยาบาลสูงจนเกินไป
“รพ.วิมุต”วางตำแหน่งของโรงพยาบาลในราคาที่สามารถเข้าถึงได้ เราไม่ทำให้ค่ารักษาพยาบาลกระโดดมากเกินไป ซึ่งปี 2568 นี้ รพ.วิมุต จะทำการตลาด 3 ศูนย์หลัก คือศูนย์หัวใจ ศูนย์ทางเดินอาหาร และศูนย์ปอด พร้อมทั้งมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย แนวทางการรักษาใหม่ๆ มาให้บริการคนไข้ เพื่อประโยชน์แก่คนไข้ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงจะพยายามทำการตลาดเพื่อดึงให้คนไข้จากประเทศจีน กัมพูชา และประเทศอื่นๆ มาใช้บริการทางการแพทย์ของไทย โดยที่ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากภาครัฐร่วมด้วย
“รพ.วิมุต จะทำการตลาดใหม่ในกลุ่มของตลาดแอฟริกา อาทิ เอธิโอเปีย และแอฟริกาใต้ รวมถึงออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่จะเพิ่มสัดส่วนคนไข้ต่างชาติในประเทศเหล่านี้เพิ่มขึ้น และในอีก 3-5 ปีข้างหน้า เทคโนโลยีมีบทบาทในกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์มากขึ้น โดยเฉพาะ AI โรงพยาบาลจะลงทุนด้านนี้ และจะทำความร่วมมือกับโรงพยาบาลภาครัฐ มากขึ้น จากเดิมที่มีโครงการร่วมมือกับกลุ่มโรงพยาบาลของรัฐ และโรงเรียนแพทย์จะทำให้การแบ่งแยกเบลอไป เพื่อให้คนไข้ได้เข้าถึงการบริการรักษาทางการแพทย์มากขึ้น”นพ. สุวาณิช กล่าว
"คนไข้สำคัญที่สุด" หัวใจอยู่รอดกลุ่มธุรกิจรพ.
การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนส่งผลต่อ “ธุรกิจเฮลท์แคร์” ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ไทยไม่สามารถเป็นเมดิคอล ฮับ อย่างสมบูรณ์ได้ทั้งที่ไทยมีศักยภาพของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ดีและเก่งมากๆ มีเทคโนโลยีเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย “นพ. สุวาณิช” มองว่ามีข้อจำกัดในการบริหารจัดการข้อมูล สิทธิของการเบิกจ่าย ตอนนี้ไทยไปทุ่มทุนกับเรื่องของสิทธิบัตรทอง สิทธิ 30 บาท ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ดี แต่การจะยกระดับด้านการบริการของภาครัฐให้เป็นเมดิคอล ฮับ จำเป็นต้องปลดแบริเออร์ระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนให้ได้
“มาตรฐานการบริการการรักษาคนไข้ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้โรงพยาบาล หรือคลินิกอยู่รอดได้ เพราะหากโรงพยาบาล หรือคลินิกรักษาคนไข้อย่างดีมีคุณภาพ และถูกต้อง ไม่ได้คิดแต่กำไรของโรงพยาบาล ต้องควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม คนไข้ทุกคนต่างมาโรงพยาบาลเพื่อให้ได้รับการรักษาที่ดี และหายจากโรคนั้นๆ หน้าที่ของโรงพยาบาลไม่ใช่ทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคมากขึ้น ดังนั้น ทุกโรงพยาบาลหากอยากประสบความสำเร็จ ต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพของการรักษา การบริการคนไข้ ความปลอดภัย ทำให้คนไข้กลับบ้านอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยากให้ทุกคนเดินมารักษาที่รพ.วิมุต แล้วคุ้มกับค่าใช้จ่าย” ผอ.โรงพยาบาลวิมุต กล่าว
ปี 2568 รพ.วิมุต เดินทางมาครบรอบ 4 ปี ซึ่งในแง่การเติบโต ถือว่าโตได้ประมาณ 70% และเราตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 7 ปี รพ.วิมุตต้องเป็นโรงพยาบาลชั้นนำในประเทศไทย ซึ่งหัวใจสำคัญในการบริการรักษาของโรงพยาบาล คือ “คนไข้สำคัญที่สุด” โดยคนไข้ต้องได้รับการบริการ การรักษาที่ดีที่สุด และพนักงานขององค์กร ต้องมีความสุขในการทำงาน หน้าที่ของผู้บริหารต้องควบคุมคุณภาพ ควบคุมการรักษาพยาบาล และควบคุมค่าใช้จ่าย ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เพื่อให้โรงพยาบาลสามารถเดินต่อไปได้