'ธุรกิจสุขภาพ' รุกขยายตลาดใหม่ต่างชาติ -ชูบริการรักษาเฉพาะ

ไทยขยายเครือข่ายกลุ่มต่างชาติใหม่ รองรับธุรกิจสุขภาพ เครือรพ.เกษมราษฎร์คว้า ‘มัลดีฟส์’ ตลาดใหม่ ขณะที่ ‘แอฟริกาตะวันออก’ต้องการผลิตภัณฑ์สุขภาพไทยสูง
KEY
POINTS
- ไทยปรับชูบริการใหม่ๆ รองรับธุรกิจสุขภาพ เดินหน้า “เวลเนสทัวร์ริสซึ่ม” ปักเป้าหมาย 4 บริการรักษา เสริมความงาม แปลงเพศ ภาวะมีบุตรยาก ทันตกรรม พร้อมขยายเครือข่ายกลุ่มต่างชาติใหม่
- “เครือรพ.เกษมราษฎร์” ปี 2567 ผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น 12 % คว้า ‘มัลดีฟส์’ ตลาดใหม่ ขณะที่ “บีดีเอ็มเอส” ลุยบริการเวลเนส เจาะตะวันออกกลาง ซาอุดิอาระเบีย-ยูเออี
- แอฟริกาตะวันออก โซมาเลียและบุรุนดี มีความต้องการผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทยในระดับสูง โอกาสขยายทางการค้าการลงทุนในอนาคต
ในการเดินหน้าสู่การเป็น ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness&Medical Hub) ของประเทศไทย ท่ามกลางนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปจำนวนมาก จากสถิติในช่วง 5 เดือนแรก ของปี 2568 (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวนสะสม 14,362,694 คน ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนมากที่สุดคือ
- จีน 1,958,939 คน
- มาเลเซีย 1,901,464 คน
- อินเดีย 978,600 คน
- รัสเซีย 961,143 คน
- เกาหลีใต้ 673,563 คน
ปรับแนวทางรับ Wellness&Medical Hub
แนวทางที่กำลังดำเนินการ จึงไม่เพียงแต่ส่งเสริมสนับสนุนเฉพาะการเข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังมุ่งไปสู่เรื่องของการผลักดันให้ทั่วโลก มองประเทศไทยเป็น “หมุดหมายของการดูแลสุขภาพ” รองรับเรื่อง “เวลเนสทัวร์ริสซึม” ด้วย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงกว่าการเข้ามาเพียงรักษาพยาบาลที่มีผู้ป่วยราว 5 % แต่กลุ่มผู้ที่ไม่ป่วยและต้องการดูแลสุขภาพนั้นมี 95 %
Global Wellness Institute (GWI) ระบุว่า ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism ทั่วโลกมีอัตราการเติบโตปีละ 20% ส่วนปี 2568 คาดว่าธุรกิจ Wellness จะมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนของประเทศไทยมีการคาดการณ์ว่า ปี 2570 มูลค่าตลาดท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จะมีมูลค่ารวมที่ 7.6 แสนล้านบาท รวมไปถึงการมองหาโอกาสส่งออก “ผลิตภัณฑ์สุขภาพ” ของประเทศไทยไปยังนานาประเทศด้วย
ขณะเดียวกัน ในส่วนของการให้บริการรักษาสุขภาพนั้น มีการมุ่งผลักดันส่งเสริมบริการที่มีความเฉพาะมากขึ้น โดยตามแนวทางการขับเคลื่อน Medical Hub ในปี 2568 จะมุ่งเป้าที่ 4 บริการเฉพาะ ได้แก่ เสริมความงาม แปลงเพศ ภาวะมีบุตรยาก และทันตกรรม พร้อมกับการมองหาตลาดใหม่ๆของกลุ่มต่างชาติที่จะเข้ามารับบริการในประเทศไทย
“เครือรพ.เกษมราษฎร์” เจาะมัลดีฟส์
นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน)ให้สัมภาษณ์กรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติลดกระทบส่วนของบริการสุขภาพเอกชนหรือไม่ว่า เฉพาะ รพ.เครือเกษมราษฎร์ ปี 2567 จำนวนผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น 12 % แต่สิ่งที่หายไปคือผู้ป่วยจากประเทศคูเวตที่หายไปจากประเทศไทยเกือบหมด ขณะที่ผู้ป่วยจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์(ยูเออี)โตขึ้น สำหรับทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ได้เข้ามารักษา ในนักท่องเที่ยว 100 คน จะมีเพียง 6-8 %ที่มาเข้ารับการรักษาในรพ. ซึ่งทัวร์ศูนย์เหรียญอาจจะเข้ามาใช้บริการเรื่องชะลอวัยแต่จะต้องจ่ายก่อน 100 %
“ส่วนตลาดใหม่ที่ต้องการส่งเสริมเมดิคัลฮับ รัฐบาลก็ต้องออกนโยบายให้ชัดเจน อย่างเครือเกษมราษฎร์ได้มัลดีฟส์เป็นตลาดใหม่ และกลุ่มCLMV ประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามจะกลายเป็นตัวที่แชร์สัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติมากที่สุด เพราะใกล้ประเทศไทย”นพ.เฉลิมกล่าว
BDMS นำ Wellness บุกซาดุฯ-ดูไบ
สำหรับเครือบีดีเอ็มเอส(BDMS) มีการมุ่งในเรื่องของ “Wellness” มากขึ้น โดยเฉพาะการนำบริการนี้เข้าไปเจาะตลาดในตะวันออกกลาง อย่างล่าสุด นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติจากสถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมบรรยายถ่ายทอดความรู้ด้านการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน
ภายใต้หัวข้อ “Wellness Hub Thailand: The Future of Global Wellness” มุ่งเน้นการสร้างสุขภาพที่ดีระดับโลก สอดคล้องกับแผน Dubai Health Strategy 2026 ที่มุ่งยกระดับมาตรฐานการดูแลสุขภาพและส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปักหมุดประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการส่งเสริมสุขภาพระดับสากล
ก่อนหน้านั้น นำทีมประเทศไทยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการดูแลสุขภาพองค์รวมด้วยศาสตร์ Scientific Wellness ในงานสัมมนาวิชาการภายใต้หัวข้อ “Wellness Hub Thailand: The Future of Global Wellness” สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ระดับชาติ Saudi Vision 2030 ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบสุขภาพและคุณภาพชีวิต พร้อมทั้งชูแนวคิด Wellness Hub Thailand ดัน Soft Power ด้านสุขภาพของประเทศไทยสู่เวทีโลก
ผลักดันก้าวสู่การเป็น “Wellness Destination of the World” หรือหมุดหมายปลายทางด้านการมีสุขภาพดีของผู้คนทั่วโลก สามารถรองรับผู้คนจากทั่วโลกในการเข้าถึงการดูแลสุขภาพที่มีคุณภาพ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญ ที่จะช่วยขยายเครือข่ายด้านสุขภาพ และโอกาสของประเทศไทย สู่การเป็น Wellness Hub ระดับโลก
โอกาสผลิตภัณฑ์สุขภาพใน "แอฟริกาตะวันออก"
ขณะที่เมื่อเร็วๆนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ให้การต้อนรับ นางสาวมรกต เจนมธุกร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไนโรบี พร้อมด้วยคณะผู้แทนจากสำนักงานมาตรฐานโซมาเลีย (Somali Bureau of Standards: SOBS) หอการค้าโซมาเลีย (Somali Chamber of Commerce and Industry: SCCI) และผู้แทนจากสาธารณรัฐบุรุนดี หารือและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการกำกับดูแลและมาตรฐานผลิตภัณฑ์อาหาร ยา และเครื่องสำอางของไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เป็นที่ยอมรับในโซมาเลียและบุรุนดี และเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรฐานให้สอดคล้องกับมาตรฐานของไทยในอนาคต โดย
น.ส.มรกต เจนมธุกร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไนโรบี กล่าวว่า โซมาเลียและบุรุนดีมีความต้องการผลิตภัณฑ์สุขภาพของไทยในระดับสูง ทั้งนี้โซมาเลียอยู่ในระหว่างดำเนินการพัฒนาหน่วยงานกำกับดูแลด้านยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (National Medicines Regulatory Authority) ซึ่งการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กับ อย.จะทำให้โซมาเลียมีความเข้าใจและเชื่อมั่นมาตรฐานของผลิตภัณฑ์สุขภาพไทยมากยิ่งขึ้น และอาจใช้เป็นแนวทางเพื่อการพัฒนาระบบกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพในอนาคต
นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า การประชุมหารือเป็นการเสริมสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์สุขภาพไทยที่มีคุณภาพ ประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ภายใต้การกำกับดูแลของ อย.
“หวังอย่างยิ่งจากนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างไทย โซมาเลีย และบุรุนดี ทั้งในแง่การคุ้มครองผู้บริโภค และขยายโอกาสทางการค้าการลงทุนต่อไปในอนาคต”นพ.วิทิตกล่าว
สธ.MOU "มัลดีฟส์" สร้างความเข้มแข็ง
ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างการประชุมสมัชชาอนามัยโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงสาธารณสุขไทย และกระทรวงสาธารณสุขสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ลงนามบันทึกความเข้าใจ สร้างความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขมูลฐานและศักยภาพด้านกฎระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ความร่วมมือด้านวิชาการ นโยบายด้านสุขภาพและการวิจัย ข้อมูลด้านสุขภาพเทคโนโลยีสารสนเทศ และการจัดหางบประมาณอย่างยั่งยืน
เป็นการมุ่งส่งเสริมความร่วมมือในการเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านสาธารณสุขมูลฐานในสาธารณรัฐมัลดีฟส์ เสริมสร้างศักยภาพด้านกฎระเบียบของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ความร่วมมือด้านวิชาการกับสถาบันฝึกอบรมบุคลากรวิชาชีพด้านสุขภาพและการพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านสุขภาพ นโยบายด้านสุขภาพและการวิจัยระบบสุขภาพ ข้อมูลด้านสุขภาพและเทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดหางบประมาณอย่างยั่งยืน เป็นต้น
ทั้งนี้ จะมีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อเป็นกลไกการหารือและดำเนินกิจกรรมภายใต้ MOU ให้เกิดประโยชน์เป็นรูปธรรมต่อไป โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนาม และจะขยายออกไปโดยอัตโนมัติอีก 3 ปี เว้นแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแจ้งความประสงค์ที่จะยกเลิกให้อีกฝ่ายทราบเป็นลายลักษณ์อักษร ผ่านช่องทางการทูตอย่างน้อย 3 เดือน
จับมือ "อินเดีย" พัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพร
นอกจากนี้ นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้หารือกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการครอบครัว สาธารณรัฐอินเดีย โดยได้เสนอให้มีการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันในการเตรียมความพร้อมด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) เพื่อลดผลกระทบจากความขาดแคลนด้านยาและเวชภัณฑ์ที่จำเป็นที่อาจเกิดขึ้นในช่วงภาวะฉุกเฉินทางด้านสาธารณสุข ดังเห็นได้จากในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 ที่เกิดภาวะขาดแคลนยา วัคซีน และอุปกรณ์ทางการแพทย์ จนส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนทั้งสองประเทศอย่างมาก
ตลอดจนเสนอให้อินเดียและไทยประสานความร่วมมือกับอีก 7 ประเทศ พัฒนาความมั่นคงด้านสุขภาพในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAR) อีกทั้ง ยังมีความร่วมมือกันในด้านวิชาการของการแพทย์ดั้งเดิม ภายใต้ MOU ระหว่างกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกับสถาบันอายุรเวทแห่งอินเดีย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567
“อยู่ระหว่างการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กับคณะกรรมการพืชสมุนไพรแห่งชาติ กระทรวงอายุช สาธารณรัฐอินเดีย (National Medicinal Plants Board) ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของไทยในการบริหารจัดการและพัฒนาอุตสาหกรรมสมุนไพร นำไปสู่ความมั่นคงทางยาสมุนไพร การอนุรักษ์ทรัพยากรชีวภาพ และการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของสมุนไพรไทยอย่างยั่งยืนในอนาคต”นายเดชอิศม์กล่าว







