ตัวช่วยโควิด'สมุนไพรไทย' ดูแลสุขภาพ อยู่บ้านก็รอดได้

กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โควิด-19 รายสัปดาห์ ในระบบ Digital Disease Surveillance (DDS) พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น
KEY
POINTS
- "สมุนไพรไทย" มีสรรพคุณเป็นกลไกในการต้านไวรัส เพิ่มภูมิคุ้มกันสู้กับไวรัส และช่วยบรรเทาอาการป่วยโควิด-19 ได้
- การป้องกัน หรือการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาจทำให้มองหาแต่ข้อดีของวัตถุดิบนั้น ๆ จนลืมนึกถึงปริมาณที่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัยจนกลายเป็นโทษแทน
- เปลี่ยนสมุนไพรให้มาเป็นส่วนหนึ่งในอาหารเพื่อเพิ่มกลิ่นรสสัมผัสที่ดีและการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันที่ดี
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์โควิด-19 รายสัปดาห์ ในระบบ Digital Disease Surveillance (DDS) พบว่าข้อมูลผู้ป่วยโควิด-19 สัปดาห์ที่ 22 ปี 2568 ระหว่างวันที่ 25-31 พฤษภาคม 2568 (ข้อมูล ณ. วันที่ 30 พฤษภาคม 2568) ล่าสุดมีผู้ป่วย 41,283 ราย เพิ่มจากเมื่อวาน( 29 พ.ค.พบผู้ป่วยในระบบ 28,045 ราย) หรือราว 13,000 ราย แบ่งเป็น ผู้ป่วยนอก 39,452 ป่วยหนักนอนโรงพยาบาล 1,831 ราย ผู้ป่วยสะสมตั้งแต่ต้นปี 2568 อยู่ที่ 257,280 ราย พบผู้เสียชีวิต 2 ราย ปี 2568 อยู่ที่ 52 ราย
ประเทศไทย และต่างประเทศต่างมุ่งมั่นที่จะคิดค้นพัฒนาทั้งวัคซีน และยารักษาโรค จนในขณะนี้เราก็ได้วัคซีนจากหลากหลายผู้ผลิต ที่มีประสิทธิภาพในระดับหนึ่งเพื่อป้องกัน หรือลดความรุนแรงเมื่อได้รับเชื้อ โควิด-19
แต่ทั้งนี้ในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยยังคงไม่หยุดคิดค้นยาสำหรับรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งการทดลองรักษาด้วยยาต้านไวรัสต่าง ๆ ที่เคยผลิตออกมาใช้กับไวรัสตัวอื่น แต่นำมาลองรักษากับผู้ป่วยโควิด-19 ซึ่งใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
รวมทั้งการคิดค้นหาสารสกัดต่าง ๆ จากพืชที่มีมากตามท้องถิ่น หรือเป็นวัตถุดิบที่มีตามครัวเรือน และเหตุผลของการหยิบยกนำสมุนไพรไทยมาศึกษาหาข้อมูลในการทดลองผลิตเป็นยาต้านไวรัสนี้เอง ทำให้คนไทยมองเห็นถึงความสำคัญของวัตถุดิบที่มีในบ้านเรา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
"สมุนไพรไทย" ตัวช่วยต้านโควิด-19
สมุนไพรแรกที่ทางแพทย์กระทรวงสาธารณสุขให้การรับรองว่า สามารถช่วยรักษาโรคโควิด-19 ได้ นั่นคือ
- “ฟ้าทะลายโจร”
เนื่องจาก มีกลไกต้านไวรัสของฟ้าทะลายโจรมีการป้องกันไม่ให้ไวรัสเข้าเซลล์รวมถึงลดการแบ่งตัวไวรัสภายในเซลล์และเพิ่มภูมิคุ้มกันสู้กับไวรัส
ข้อควรระวัง : ไม่ควรทานยาฟ้าทะลายโจรติดต่อกันนานจนเกินไป เพราะอาจทำให้มีอาการข้างเคียง เช่น ท้องอืด,อาหารไม่ย่อย,แขนขาไม่มีแรง จึงไม่ควรทานฟ้าทะลายเกิน 7 วัน หากกินไป 3 วันแล้วอาการต่างๆ ยังไม่ดีขึ้น ควรพบแพทย์เพื่อทำการรักษาอย่างตรงจุด
- ขิง
มีรสที่เผ็ดร้อน เป็นสมุนไพรพื้นบ้าน พบว่ามีฤทธิ์ต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ มีสารต้านอนุมูลอิสระจากการศึกษาพบว่าที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัสโควิด-19 ได้ เนื่องจาก ขิงเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน
ข้อควรระวัง : หากรับประทานเข้าไปในปริมาณที่มากก็จะสามารถทำให้เยื่อบุภายในช่องปากเกิดการอักเสบ จนเป็นอาการร้อนในได้ ดังนั้นจึงไม่ควรรับประทานขิงมากจนเกินไป
- มะขามป้อม
มีวิตามินซีที่สูง ใช้เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ ช่วยเสริมการทำงานระบบภูมิกันและมีสารสำคัญที่สามารถจับกับขาโปรตีนของไวรัสโควิด-19 และเป็นตัวรับ ACE2 ที่มีบทบาทการผ่านเข้าเซลล์ปอด เนื่องจากมะขามป้อมมีฤทธิ์เย็น เมื่อกินเข้าไปจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง
ข้อควรระวัง : การกินมะขามป้อมต้องกินในปริมาณที่เหมาะสม
-
ขมิ้นชัน
พบว่าสารสำคัญของขมิ้นชัน Demethoxycurcumine สามารถแย่งจับกับตำแหน่งของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ที่จะเข้าสู่เซลล์ปอด และมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอ โดยทั่วไปขมิ้นมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้หรือรับประทาน
ข้อควรระวัง : ในบางรายอาจมีอาการท้องเสีย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ หรือปวดท้อง ผู้ที่เป็นนิ่วในท่อน้ำดีหรือมีปัญหาเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหยุดใช้ขมิ้นรูปแบบต่าง ๆ เพราะอาจทำให้อาการแย่ลง
- กระชายขาว
สมุนไพรคนไทยอย่างเราๆคุ้นเคยกันดี เพราะเป็นส่วนประกอบของเมนูอาหารหลายอย่าง มีรสชาติที่เผ็ดร้อน มีสรรพคุณ บำรุงเส้นผม , บำรุงสมองแก้วิงเวียน, บำรุงกำลังให้ความสดชื่น,แก้ริดสีดวง
นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยของมหาวิทยาลัยมหิดลที่รวมมือกับ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (TCELS) ได้ศึกษาวิจัย “กระชายขาว” พบว่าสารสกัดจากกระชายขาว ซึ่งมีสารสำคัญ 2 ชนิด ได้แก่ Pandulatin A และ Pinostrobin สารทั้ง 2 ตัวนี้ สามารถทำหน้าที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสต้นเหตุของโควิด-19 ได้รวมถึงลดจำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อจาก 100% ให้ลดลงจนเหลือ 0%
ข้อควรระวัง : หากการรับประทานในปริมาณมากเกินไป จะทำให้เลือดหนืด อาจส่งผลให้รู้สึกหมดแรง และป่วยเป็นโรคอื่นๆ ตามมาได้
- พลูคาว
มีสรรพคุณ สามารถใช้รักษาอาการไอและช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายได้ รวมถึงมีฤทธิ์ช่วยลดการอักเสบของเเผล และต่อต้านเชื้อไวรัส เชื้อแบคทีเรีย เชื้อราต่างๆได้
ข้อควรระวัง : การรับประทานพลูคาวมากจนเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง คือ อาเจียน หายใจสั้นและถี่ และอาจเป็นอันตรายได้ หรือหากนำมาใช้เป็นยารักษาภายนอกมากเกินขนาดอาจทำให้เกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังโดยมีอาการเกิดผื่นคันหรือแผลพุพองได้
- หูเสือ
เป็นสมุนไพรที่สามารถทานเป็นอาหารได้ เพราะมีกลิ่นหอม รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณใช้ในการแก้หวัด แก้ไอ แก้คออักเสบ แก้หอบหืด ช่วยขับลม ลดอาการปวดท้องจากอาหารไม่ย่อยได้
ข้อควรระวัง : ไม่ควรรับประทานส่วนต่างๆของต้นหูเสือทั้งรับประทาน แบบสดๆหรือแบบบบผลิตภัณฑ์ต่างๆมากกินไปอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้
- กะเพรา
เป็นสมุนไพรคู่บ้านของคนไทยเลยก็ว่าได้ สามารถเป็นได้ทั้งยาสมุนไพร เเละนำมาประกอบอาหารก็ได้ประโยชน์มากได้เช่นกัน มีสรรพคุณช่วยลดระดับไขมันในร่างกาย และลดน้ำตาลในเลือดได้รวมถึงช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค การรับประทานกะเพราระยะสั้นอาจปลอดภัยต่อสุขภาพ
ข้อควรระวัง : ไม่ควรบริโภคกะเพราติดต่อกันเป็นเวลานาน เพื่อรักษาปัญหาสุขภาพ เนื่องจากยังไม่ปรากฏข้อมูลทางการแพทย์ว่าจะปลอดภัยและควรหยุดบริโภคหรือใช้กะเพราก่อนวันเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เนื่องจากกะเพรามีฤทธิ์ชะลอการแข็งตัวของเลือด อาจทำให้เสี่ยงเลือดออกมากขึ้นระหว่างและหลังผ่าตัดได้
- สมอไทย
เป็นสมุนไพรที่มีรสชาติหลากหลายใน 1 ผล มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน เเละยังมีสัมผัสของความขม มีสรรพคุณ ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย ช่วยเเก้อาการอ่อนเพลียได้ ส่วนเมล็ดช่วยให้เจริญอาหาร ไม่มีผลค้างเคียงในการกิน รวมถึงการศึกษาทางพิษวิทยาของสมอไทย โดยให้หนูกินในขนาด 10 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และ ฉีดเข้าใต้ผิวหนังหนู ในขนาด 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ตรวจไม่พบอาการเป็นพิษ
- สมอภิเภก
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ผลัดใบ พบได้ทั่วไปตามป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณ ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตกและภาคกลาง ส่วนที่ใช้ประโยชน์ ได้แก่ ผลอ่อน ผลแก่ เมล็ดใน ใบ ดอก เปลือก แก่น ราก สรรพคุณ ผลสมอภิเภกเเห้ง ช่วยรักษาอาการไอ เจ็บคอ ได้อย่างดี และ ช่วยบำรุงร่างกาย กระตุ้นให้เจริญอาหาร ผลอ่อนของสมอภิเภกจะมีรสเปรี้ยว ช่วยเเก้ไข้ได้ดี เป็นสมุนไพรกลุ่มที่ช่วยเรื่องการไหลเวียนของโลหิต เเก้วิงเวียนศรีษะ คลื่นไส้อาเจียน
ข้อควรระวัง : หากรับประทานเกินขนาดจะเป็นอันตรายได้ ทำให้มีอาการมึนเมา คลื่นไส้อาเจียน ผลหากใช้รับประทานมากๆ จะเป็นยาเสพติดและทำให้หลับได้
- ยาธาตุบรรจบ
สมุนไพรตำรับที่มีส่วนผสมของขมิ้นชัน ช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้ โดยจากสถิติพบว่า ผู้ป่วยโควิดที่มีอาการท้องเสีย เมื่อใช้ยาธาตุบรรจบรักษาจะช่วยบรรเทาอาการได้ดี
- ยาปราบชมพูทวีป
ตำรับยาสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์บรรเทาอาการหวัด คัดจมูก ช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น สามารถใช้ได้ในระยะที่มีการติดเชื้อร่วมกับการรักษาแบบมาตรฐาน ในกรณีที่มีอาการคัดจมูก หายใจลำบาก และสามารถใช้หลังติดเชื้อเพื่อดูแลระบบทางเดินหายใจได้ โดยรับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน
ข้อควรระวัง : ไม่ควรใช้ในขณะที่มีไข้ ตัวร้อน และควรระวังการใช้ในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน เนื่องจากยามีรสร้อน รวมไปถึงไม่ควรใช้ในผู้มีความผิดปกติของตับและไต ผู้ที่กินยาวาร์ฟาริน หญิงตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
- ยาตรีผลา
ยาตรีผลามีสรรพคุณเสริมภูมิคุ้มกัน ต้านไวรัส โดยจากการศึกษาพบว่า ตรีผลาสามารถกระตุ้นระดับภูมิคุ้มกันในคนได้ทั้งภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด (Innate immune) และภูมิคุ้มกันจำเพาะ (Adaptive immune) โดยทำให้ T cells, B cells และ NK cells (เซลล์ภูมิคุ้มกัน/เม็ดเลือดขาว) เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นตัวช่วยจัดการกับไวรัส อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบ แก้ไอ ละลายเสมหะได้ด้วย ทั้งนี้ การกินตรีผลาแนะนำให้กินครั้งละ 300-600 มิลลิกรัม วันละ 3-4 ครั้ง เมื่อมีอาการไอ
ข้อควรระวัง : การใช้ยาตรีผลาอาจทำให้มีอาการท้องเสียได้
- ยาสุมจากสมุนไพรเครื่องเทศ
เช่น หอมแดง ตะไคร้ กะเพรา ใบมะกรูด ขิง สะระแหน่ หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่กะละมัง แล้วเติมน้ำร้อนจนท่วม เติมพิมเสนหรือการบูรเล็กน้อย (ถ้ามี) แล้วใช้ผ้าคลุมศีรษะ โดยคลุมให้ครอบกะละมังสมุนไพรแบบปิดสนิท เพื่อให้ไอระเหยจากไอน้ำลอยขึ้นมาให้เราสูดหายใจ แก้คัดจมูก ขับเสมหะ ไล่น้ำมูกจากทางเดินหายใจ โดยสุมยาได้ครั้งละ 3-5 นาที วันละ 1-2 ครั้ง จนกว่าอาการจะดีขึ้น
ข้อควรระวัง : หากมีไข้ ตัวร้อน วิงเวียนศีรษะ ไม่ควรสุมยานะคะ เพราะอาจหน้ามืด เป็นลมได้
- ยาอภัยสาลี หรืออไภยสาลี
ตำรับยาสมุนไพรบำบัดโรคลม แก้จุกเสียด แน่นท้อง และช่วยกระจายลม โดยจากการศึกษาของโรงพยาบาลเทิง พบว่า การใช้ตำรับยาอภัยสาลีรักษาผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรังร่วมกับการแพทย์แผนปัจจุบัน ได้ผลดี มีความปลอดภัย และการรับประทานยาอภัยสาลีร่วมกับการรักษามาตรฐานในผู้ป่วยโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง มีผลเพิ่มความเข้มข้นของออกซิเจนในเลือด ลดความเหนื่อย ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ป่วยให้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับการรักษามาตรฐานเพียงอย่างเดียว ส่วนการรับประทานยาอภัยสาลีให้ใช้ครั้งละ 1.5-2 กรัม วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น
ข้อควรระวัง : ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์และผู้ที่มีไข้ และควรระวังการใช้ร่วมกับยาในกลุ่มสารกันเลือดเป็นลิ่ม (Anticoagulant) และยาต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด (Antiplatelets)
- ตำรับยาบำรุงปอด
ยาสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยฟื้นฟูปอด ขยายหลอดลม และแก้หอบหืด โดยวิธีใช้คือ ใส่น้ำท่วมตัวยา แล้วนำไปต้มให้เดือด 15 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้วชา วันละ 1-3 ครั้ง ก่อนอาหาร กินได้นาน 3 เดือน หรือตามคำแนะนำของแพทย์แผนไทย
ข้อควรระวัง : ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจที่คุมอาการไม่ได้ ผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาสมุนไพรหรือสมุนไพรรักษาโรคไม่ว่าจะชนิดใด ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์แผนไทยหรือเภสัชกร หรือจะโทร. ปรึกษาเรื่องสมุนไพรแบบออนไลน์ที่เบอร์ 0-3721-1289
สายด่วนให้คำปรึกษาการใช้สมุนไพรช่วงโควิด 19 จากสถาบันการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร ซึ่งให้บริการทุกวัน เวลา 08.00-18.00 น. ก็ได้ หรือสอบถามทางเฟซบุ๊กสถาบันการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร
น้ำสมุนไพร ดื่มง่าย บรรเทาอาการป่วย
ดร.วนะพร ทองโฉม นักวิชาการโภชนาการ กลุ่มสาขาวิชาโภชนศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ด้วยงานวิจัยสมุนไพรไทยที่หลากหลาย ทำให้คนไทยหันมาสนใจศึกษาหาข้อมูลสรรพคุณสมุนไพรไทยมากขึ้น เพราะอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งสำหรับคนไทย
หากมองเข้าไปในครัวบ้านเราเอง วัตถุดิบที่ใช้ปรุงอาหารบางอย่างนอกจากจะทำให้อาหารของเรามีกลิ่นรสสัมผัสที่ดีแล้ว บางอย่างก็เป็นสมุนไพรที่เรากินอยู่แทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหัวหอมแดง กระเทียม กระชาย ขิง ข่า ตะไคร้ เป็นต้น และสมุนไพรไทยเหล่านี้ก็มีสรรพคุณหลักคล้าย ๆ กัน คือ ช่วยบรรเทาอาการไอ แก้หวัด คัดจมูก
นอกจากนี้ ยังมีสารสำคัญ อาทิ เควอซิติน (quercetin) เคมเฟอรอล (kaempferol) อัลลิซิน (Allicin) จินเจอรอล (gingerol) ที่มีส่วนช่วยต้านการอักเสบ และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ไม่แปลกที่คนไทยจะนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ในเวลานี้ และอีกหนึ่งความภาคภูมิใจเมื่อนักวิจัยไทย จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ศึกษาค้นคว้าจนพบว่าสารสกัดที่ได้จากกระชายขาว ได้แก่ แพนดูราทินเอ (Panduratin A) และพิโนสโตรบิน (Pinostrobin) สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถึงอย่างนั้นการค้นคว้านี้ยังคงอยู่ภายใต้การทดลอง เพื่อพัฒนาให้มีความปลอดภัยมากขึ้น หากต้องนำมาใช้กับผู้ป่วยจริง ๆ
เมื่อเรารู้ถึงประโยชน์ของสมุนไพรไทยอย่างนี้แล้ว ทำให้ทุกวันนี้มีหลายคนดัดแปลงสมุนไพรไทยออกมาเป็นเครื่องดื่มที่มีการปรุงแต่งกลิ่นรสเพื่อให้ดื่มง่ายขึ้น เพื่อหวังป้องกันโรค หรือเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน จริง ๆ แล้ว
"การที่เราจะคั้นดื่มกินก็คงจะไม่ผิด เพียงแต่เราควรศึกษาถึงปริมาณที่ควรบริโภคของสารสำคัญที่มีในวัตถุดิบนั้น เพราะอะไรที่มากเกินไปก็มักจะทำให้เกิดโทษด้วยเช่นกัน และสารบางอย่างก็อาจจะมีอันตรกิริยากับยาบางตัว ที่ส่งผลต่อต้าน หรือเพิ่มฤทธิ์ของยา ซึ่งจะให้ผลเสียกับบุคคลนั้น ๆ มากกว่าได้ประโยชน์"
อีกทั้งเมื่อนำมาปรุงแต่งเป็นเครื่องดื่มที่ผสมน้ำผึ้ง หรือน้ำตาล ก็อาจจะส่งผลเสียกับผู้ป่วยบางกลุ่ม อย่างเช่นผู้ป่วยเบาหวาน เมื่อทำให้รสชาติดีขึ้นผู้ป่วยก็จะกินได้มากขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นด้วย
หากพิจารณาถึงการป้องกัน หรือการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน อาจทำให้เรามองหาแต่ข้อดีของวัตถุดิบนั้น ๆ จนลืมนึกถึงปริมาณที่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัยจนกลายเป็นโทษแทน และจะดีกว่าไหมถ้าเราเปลี่ยนสมุนไพรเหล่านั้นให้มาเป็นส่วนประกอบหนึ่งในอาหารเพื่อเพิ่มกลิ่นรสสัมผัสที่ดี ให้กับอาหาร เพราะกลิ่นรสสัมผัสที่ดีจะช่วยให้เราใช้เครื่องปรุงน้อยลง ร่วมกับการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อให้เราได้คุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เชื่อได้ว่าเมื่อร่างกายเราแข็งแรง เราก็จะมีภูมิคุ้มกันทีดีได้
อ้างอิง: atgenes , สมุนไพรอภัยภูเบศร ,คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล







