ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนโต 'ผู้ป่วยชาวต่างชาติ' ขยายตัว 7.6%

ข้อมูลจากโครงการรายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรมแยกตามธุรกิจ คาดการณ์ว่า ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง
KEY
POINTS
- โรงพยาบาลวิมุต ก้าวสู่การเป็น Smart Healthcare Hospital ด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ โดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง พร้อมวางกลยุทธ์ B.E.S.T
- โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยกระดับ “ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์” (Advanced Arthritis & Arthroplasty Center - AAA) รองรับไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์
- ปี 2577 ตั้งเป้าไทยเป็นศูนย์กลาง สุขภาพนานาชาติ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของโลกและประเทศไทยมีการขยายตัวมูลค่าทางเศรษฐกิจ สุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่น่าจับตาในปี 2568 จากการขยายตัวของกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติ ประกอบกับเมกะเทรนด์ด้านสุขภาพที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้น จากข้อมูลจากโครงการรายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรมแยกตามธุรกิจ คาดการณ์ว่า รายได้รวมของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยในปี 2568 จะเติบโตขึ้น 5.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YOY) การเติบโตนี้ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของ รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึง 7.6% YOY
โดยรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะเติบโตในอัตราปานกลางที่ 5.2% YOY ซึ่งชะลอตัวลงเล็กน้อยจากปี 2567 สาเหตุหลักมาจากการที่เศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกำลังซื้อและการใช้จ่ายด้านสุขภาพของคนไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'รพ.วิมุต – เทพธารินทร์' ชูต้นแบบการแพทย์ ดูแลสุขภาพแบบไร้รอยต่อ
เปิดรายชื่อ รพ.เอกชนใหม่ รับรักษาผู้ป่วยบัตรทอง ใช้สิทธิทั่วถึง
ปี 2568 ตั้งเป้าสร้างมูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพ 690 พันล้านบาท
ข้อมูลจากศูนย์จีโนมทางการแพทย์ ระบุว่า รัฐบาลได้ประกาศเป้าหมายในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากเศรษฐกิจสุขภาพ (Health Economy) จำนวน 690 พันล้าน (หกแสนเก้าหมื่นล้าน)บาทในปี 2568 ซึ่งคิดเป็น 3.39% ของ GDP ประเทศไทย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันอุตสาหกรรมการแพทย์ของทุกฝ่ายให้เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งได้มีการปรับตัวและพัฒนากลยุทธ์เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น หนึ่งในนั้นคือ โรงพยาบาลวิมุต ที่สร้าง Ecosystem สำหรับการดูแลสุขภาพ พัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์อย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับมาตรฐานการรักษาและการบริการ และกำลังก้าวสู่ปีที่ 5 ด้วยเป้าหมายที่จะเป็นโรงพยาบาลที่ดูแลสุขภาพได้อย่างเข้าถึง และดูแลผู้ป่วยทุกกลุ่มในราคาที่เหมาะสม นำ เทคโนโลยีสมัยใหม่และทีมแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทาง มาให้บริการประชาชน ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยไปจนถึงการรักษาที่รวดเร็ว
กลยุทธ์ B.E.S.T ยกระดับสู่Smart Healthcare Hospital
นพ.นิพัฒน์ กุหลาบขาว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า ในปี 2568 นี้จะเน้นการพัฒนาการดูแลรักษากลุ่มโรคยากและซับซ้อน ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแบบสหสาขาวิชาชีพ อาทิ กลุ่มโรคปอด โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคทางเดินอาหารและลำไส้ และโรคระบบประสาทและสมอง เพื่อวางแผนการรักษาที่รวดเร็ว แม่นยำ และปลอดภัย
โดยใช้ กลยุทธ์ B.E.S.T เป็นแนวทางในการดำเนินงานของโรงพยาบาลในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อยกระดับสู่การเป็น Smart Healthcare Hospital ด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีเต็มรูปแบบ โดยมีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง กลยุทธ์ B.E.S.T ประกอบด้วย:
- B: Bring Modern Technology มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาในการดูแลรักษาพยาบาล
- E: Expert with Specialized Team มีทีมแพทย์เฉพาะทางและผู้เชี่ยวชาญ
- S: Smooth Service มีทีมการดูแลที่มีความพร้อมในการดูแลคนไข้ให้มีความสะดวกมากที่สุด บริการไร้รอยต่อ
- T: Trust สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มาใช้บริการ รายได้ของโรงพยาบาลวิมุตในปี 2567 อยู่ที่ 1,203 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 35% จากปีก่อนหน้า
เปิดศูนย์สุขภาพปอด LUNG HEALTH CENTER
ล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้เปิดตัว “ศูนย์สุขภาพปอด LUNG HEALTH CENTER” ซึ่งเป็นการดูแลสุขภาพปอดแบบครบวงจร ซึ่งปอดซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของระบบทางเดินหายใจ โดยปัจจุบันมีผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคปอดเป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งจำนวนผู้ป่วยโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มขึ้น ไม่เพียงจากโรคติดเชื้อ แต่ยังรวมถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ไฟฟ้า หรือกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอย่างโรคอ้วน ซึ่งล้วนส่งผลต่อปอดได้
นพ.ตุลธร วงศ์เมธานุเคราะห์ อายุรศาสตร์ โรคระบบการหายใจและเวชบำบัดวิกฤตระบบการหายใจ กล่าวว่า ทุกคนต่างหายใจด้วยความเสี่ยง ขึ้นอยู่กับสิ่งที่สูดเข้าไป ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งเชื้อโรค พฤติกรรม (เช่น สูบบุหรี่ไฟฟ้า) โรคทางพันธุกรรม หรือแม้แต่ความชราล้วนส่งผลต่อสุขภาพปอด ทำให้การดูแลสุขภาพปอดมีความสำคัญอย่างยิ่ง การตรวจสุขภาพปอดและการสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการเบื้องต้นที่อาจบ่งชี้ถึงปัญหาโรคปอด ได้แก่ อาการไอ มีเสมหะหรือไม่ก็ได้, มีอาการเหนื่อยผิดปกติจากสิ่งที่เคยทำได้ และความผิดปกติของเสียงหายใจหรืออาการเจ็บหน้าอก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและดูแลรักษาต่อไป
ศูนย์ข้อเสื่อมขั้นแอดวานซ์รับสังคมผู้สูงวัย
ทั้งนี้ จากรายงานการวิเคราะห์อุตสาหกรรมแยกตามธุรกิจ คาดการณ์ว่ารายได้รวมของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนไทยในปี 2568 จะเติบโตขึ้น โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักคือตลาดผู้ป่วยต่างชาติและความตื่นตัวด้านสุขภาพทั่วโลก โรงพยาบาลเอกชนต่างก็เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและบริการทางการแพทย์เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายและซับซ้อนยิ่งขึ้นในอนาคต
ล่าสุด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้ยกระดับ “ศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์” (Advanced Arthritis & Arthroplasty Center - AAA) ขึ้น รองรับการที่ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ซึ่งส่งผลให้โรคข้อเสื่อมกลายเป็นปัญหาสำคัญที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น โรคข้อเสื่อมมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอายุที่เพิ่มขึ้น
ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ในปี 2019 มีผู้คนทั่วโลกประมาณ 528 ล้านคนเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โดย 73% มีอายุมากกว่า 55 ปี และ 60% เป็นผู้หญิง สำหรับประเทศไทย มีผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่า 6 ล้านคน
ศ.นพ.อารี ตนาวลี หัวหน้าศูนย์ข้อเสื่อมและข้อเทียมขั้นแอดวานซ์ กล่าวว่าปัญหาโรคข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในกลุ่มผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวัยทำงานที่มีพฤติกรรมนั่งนาน ไม่ค่อยขยับร่างกาย หรือเล่นกีฬาผิดท่า ซึ่งอาจเร่งให้เกิดภาวะข้อเสื่อมเร็วขึ้นได้
แม้โรคข้อเสื่อมจะไม่อันตรายถึงชีวิต แต่หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิต และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องตั้งแต่เนิ่นๆ ความเสื่อมจะนำไปสู่การเคลื่อนไหวที่ติดขัด ข้อผิดรูป และกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
การเปิดศูนย์นี้เป็นการตอบสนองต่อความต้องการทางการแพทย์ที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นในอนาคตโดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เทคโนโลยีหุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด เทคนิคควบคุมความปวดพิเศษและการดูแลเฉพาะบุคคลและครบวงจร ผ่าตัดเคสซับซ้อน โดยตั้งเป้าว่าหลังจากการผ่าตัดแล้วผู้ป่วยสามารถใช้อุปกรณ์เทียมได้ไม่ต่ำกว่า 25 ปี หรือตลอดชีวิต
Wellness and Medical Service Hub
ในการประชุมคณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) หรือบอร์ดเวลเนสและเมดิคัลฮับ เมื่อเร็วๆนี้ มีมติเห็นชอบ แผนแนวทางการดำเนินการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) พ.ศ. 2568 - 2577
โดยในปี 2577 เป้าหมายประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง สุขภาพนานาชาติ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจรของโลกและประเทศไทยมีการขยายตัวมูลค่าทางเศรษฐกิจ สุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน ผ่านคณะอนุกรรมการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติทั้ง 6 คณะ ประกอบด้วย
1. คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาล (Medical Service Hub) ขับเคลื่อนประเด็นการส่งเสริมธุรกิจบริการด้าน คือ บริการสุขภาพและเวชศาสตร์ความงาม การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย หรือการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) แปลงเพศ และ ทันตกรรมสำหรับชาวต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทย
2. คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub) ขับเคลื่อนประเด็น ส่งเสริมบริการการดูแลสุขภาพ การนวดไทย และบริการ Wellness ของชาวต่างชาติ และสร้างคุณค่าในการบริการการดูแลสุขภาพ การนวดไทย และบริการ Wellness
3. คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์ (Product Hub) ขับเคลื่อน ประเด็น สร้างคุณค่าในการบริการการดูแลสุขภาพ และบริการ Wellness ,ส่งเสริมการใช้สมุนไพรไทย
4. คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางบริการวิชาการ (Academic Hub) ขับเคลื่อนประเด็น ยกระดับวิชาชีพด้านการแพทย์และการส่งเสริมสุขภาพรองรับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ,ส่งเสริมงานวิจัยสู่การแพทย์มูลค่าสูงและการสถาปนาสภาวิชาชีพด้านความงามในประเทศไทย และ การจัดตั้งสมาคมด้านวิชาการด้านผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง
5. คณะอนุกรรมการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและนิทรรศการด้านการแพทย์ และสุขภาพ (Health Convention and Exhibition Hub) ขับเคลื่อนประเด็นการสร้าง Ecosystem ในการเข้าร่วม ประชุมวิชาการในประเทศไทย เช่น การอำนวยความสะดวกแก่นักวิชาการต่างประเทศที่เข้าร่วมการประชุม และการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์
6. คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจบริการสุขภาพและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ขับเคลื่อนประเด็น ปรับปรุงกฎหมาย กฎระเบียบ มาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ และ จัดทำ Platform กลางของประเทศไทย E - Marketplace ด้าน Wellness & Medical เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ







