'ตับ' ส่งสัญญาณอย่างไร? เมื่อเริ่มเป็นโรค ร่างกายเริ่มป่วย

“ตับ” เป็นอวัยวะที่สำคัญมากในร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่กำจัดสารพิษ ตับช่วยกรองและขจัดสารพิษจากกระแสเลือด รวมถึงยา แอลกอฮอล์ และสารเคมีต่าง ๆ
KEY
POINTS
- โรคตับ คือ โรคที่เกิดจากตับทำงานผิดปกติ ด้อยประสิทธิภาพลง โรคตับพบเกิดได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ
- 5 อาการเริ่มแรกเสี่ยงโรคตับ อาการคลื่นไส้อาเจียน เหนื่อยล้า กลิ่นหายใจไม่ดี ท้องเสีย และสีผิวเปลี่ยนแปลง
- หากไม่อยากเป็นโรคตับ ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการสูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกาย และตรวจเช็กร่างกาย
“ตับ” เป็นอวัยวะที่สำคัญมากในร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่กำจัดสารพิษ ตับช่วยกรองและขจัดสารพิษจากกระแสเลือด ยา แอลกอฮอล์ และสารเคมีต่าง ๆ รวมถึงสร้างน้ำดี (Bile Production) น้ำดีช่วยย่อยไขมันและดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน เช่น วิตามิน A, D, E, และ K
สังเคราะห์โปรตีน ตับสร้างโปรตีนที่จำเป็น เช่น อัลบูมิน (Albumin) ที่ช่วยรักษาความสมดุลของของเหลวในร่างกาย และโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัว (Clotting Factors) ,ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ตับเก็บสะสมน้ำตาลในรูปของไกลโคเจน (Glycogen) และปล่อยกลูโคสออกมาเมื่อต้องการพลังงาน
เผาผลาญไขมันและโปรตีน ตับช่วยสลายไขมันและโปรตีนให้เป็นพลังงาน รวมถึงสร้างคอเลสเตอรอลที่จำเป็น ,เก็บสะสมวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ธาตุเหล็ก วิตามิน A, D, B12 และโฟเลต และผลิตภูมิคุ้มกันบางส่วน โดยตับช่วยสร้างสารที่ช่วยต่อต้านเชื้อโรคและทำลายเชื้อแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกาย
ดังนั้นถ้าตับทำงานได้น้อยลง หรือเกิดโรคของตับ เช่น มีไขมันพอกตับ ตับอักเสบ ตับแข็ง จะส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างก่ายที่ส่งผลไปทั้งระบบ จนนำไปสู่การเสียชีวิตได้เมื่อตับเสียการทำงานจนถึงขั้นเข้าสู่ภาวะตับวาย และโรคมะเร็งตับได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ความรุนแรงของโรคตับที่ควรรู้
โรคตับส่งผลร้ายแรงต่อการทำงานของตับ ปัจจุบันมีการจำแนกความรุนแรงและความเสียหายของโรคตับออกเป็น 4 ระยะ ซึ่งแต่ละระยะก็จะส่งผลให้ตับมีประสิทธิภาพในการทำงานลดลงไปตามลำดับดังนี้
- ระยะที่ 1 ตับอักเสบ ตับมีการตอบสนองต่อความผิดปกติในเนื้อเยื่อ ระยะนี้ตับจะพยายามกำจัดสารพิษ ต่อต้านเชื้อโรค และฟื้นฟูรักษาเนื้อเยื่อ โดยปกติหากเป็นการอักเสบเฉียบพลันเช่นการติดเชื้อเฉียบพลันจากไวรัสตับอักเสบ ตับมักจะรักษาตัวเองได้ แต่หากไม่สามารถรักษาตัวเองได้สำเร็จ จะก่อให้เกิดการอักเสบเรื้อรังซึ่งอาจก่อให้เกิดพังผิดในตับได้
- ระยะที่ 2 ตับมีพังผืด พังผืดในตับเกิดขึ้นจากแผลในเนื้อเยื่อตับที่เรื้อรังมากขึ้น ระยะนี้เป็นจุดเริ่มต้นสู่การเป็นโรคตับแข็ง ส่วนที่เป็นพังผืดจะลดการไหลเวียนขอบเลือดในตับ ทำให้ออกซิเจนและสารอาหารเข้าสู่ตับลดลง
- ระยะที่ 3 ตับแข็ง ตับแข็งเป็นระยะที่พังผืดก่อตัวถาวรจนไม่สามารถรักษาตัวเองได้ ระยะนี้เป็นระยะที่เริ่มส่งผลต่อการทำงานของตับอย่างรุนแรง
- ระยะที่ 4 ตับวาย ในระยะนี้ตับจะไม่สามารถทำหน้าได้ตามความต้องการของร่างกายอีกต่อไป เมื่อการทำงานของตับเริ่มเสื่อมลง ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วร่างกาย ภาวะตับวายเรื้อรังเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่ท้ายที่สุดแล้วอาจถึงแก่ชีวิตได้หากไม่มีการปลูกถ่ายตับ
5 อาการเริ่มแรกสัญญาณโรคตับ
1. อาการคลื่นไส้และอาเจียน
การเริ่มแรกของโรคตับอาจทำให้คุณรู้สึกคลื่นไส้หรือมีอาการอาเจียนที่ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจเกิดจากการสะสมของสารพิษในร่างกายเนื่องจากฟังก์ชันของตับที่ลดลง
2. ความเหนื่อยล้า
หากคุณรู้สึกเหนื่อยหรือไม่ค่อยมีแรง โรคตับอาจเป็นตัวกักตัวอยู่ในร่างกายของคุณ โรคตับสามารถทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการทำงานและการพัฒนา
3. กลิ่นหายใจไม่ดี
หากคุณรับรู้ว่ากลิ่นหายให้รับรู้ว่ากลิ่นหายใจของคุณไม่ดีโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน เช่น คุณปัสสาวะในปริมาณมากขึ้น หรือคุณมีปัญหาด้านการย่อยอาหาร อาจเป็นเครื่องสัญญาณว่าฟังก์ชันของตับอาจเสื่อมสภาพ
4. อาการท้องเสีย
การเริ่มแรกของโรคตับอาจทำให้คุณมีอาการท้องเสีย ซึ่งอาจปรากฏในรูปแบบของอุจจาระเหลวหรือปริมาณการขับถ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ อาการเหล่านี้อาจส่งผลให้คุณเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำและเกลือตกค้าง
5. สีผิวเปลี่ยนแปลง
โรคตับสามารถส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสีผิวของคุณ เช่น ความซีดหรือเหลืองของผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดจากฟังก์ชันตับที่ไม่สมบูรณ์
อาการโรคตับในระยะแรก ๆ อาจจะสังเกตได้ไม่ง่ายนัก เราถึงต้องหมั่นสังเกตความผิดปกติให้ดี หากพบความผิดปกติและรักษาเร็วจะช่วยป้องกันไม่ให้โรคตับพัฒนาไปสู่ระยะที่รุนแรงขึ้น ยิ่งสาเหตุหลายอย่างของโรคตับมาจากพฤติกรรมของเราเอง เราถึงต้องหมั่นดูแลตัวเองและเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงจะช่วยลดโอกาสเป็นโรคที่รุนแรงได้
หากสังเกตเห็นหนึ่งหรือมากกว่าจากอาการดังกล่าว ควรพบแพทย์เพื่อทำการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพของตับของคุณ จำไว้ว่า การรับรู้และการรักษาโรคตับในช่วงเริ่มต้นสามารถช่วยลดความรุนแรงของโรคและเพิ่มโอกาสในการรักษาสำเร็จได้
สาเหตุของโรคตับที่ต้องระวัง
โรคตับมีการจำแนกออกเป็นหลายชนิด และมีสาเหตุมาจากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ การติดเชื้ออาจส่งผลให้เกิดการอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรังได้ ซึ่งไวรัสตับอักเสบมีหลายชนิด แต่ที่พบบ่อยมักเป็นไวรัสตับอักเสบชนิด เอ บี และซี
- ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากอาจทำให้เกิดโรคตับอักเสบเฉียบพลันหรือเรื้อรังได้ และหากปล่อยทิ้งไว้นาน ๆ อาจทำให้เกิดโรคตับแข็งและตับวายได้
- ตับอักเสบจากสารพิษ เช่น การได้รับสารเคมีมากเกินไป การใช้ยาเกินขนาด ใช้ยาผิดวัตถุประสงค์หรือการใช้ยาเสพติด
- ไขมันพอกตับ เป็นไขมันสะสมในเนื้อตับ จนตับเกิดการอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา เซลล์ตับจะค่อยๆ ถูกทำลาย จนตับไม่สามารถทำงานได้ เกิดจากการที่เราบริโภคไขมัน น้ำตาล ของหวาน หรือบริโภคแป้งมากเกินไป พอร่างกายใช้ไม่หมด ก็จะสะสมเป็นไตรกลีเซอไลน์ในเซลล์ตับ เมื่อนานวันเข้าก็จะก่อให้เกิดการอักเสบขึ้นมา
- โรคแพ้ภูมิตัวเอง หมายถึงภูมิคุ้มกันตัวเองไปทำลายเซลล์ตับ ทำให้ตับเกิดการอักเสบและบวมขึ้น โรคภูมิแพ้ตัวเองอาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและทำให้เกิดแผลเป็นในตับหรือท่อน้ำดี รวมถึงโรคตับอักเสบจากภูมิต้านตนเอง ท่อน้ำดีอักเสบปฐมภูมิ และท่อน้ำดีอักเสบแข็งตัวปฐมภูมิ
- โรคทางพันธุกรรม ความผิดปกติบางอย่างที่ได้รับการสืบทอดมาจากพ่อแม่อาจส่งผลให้กระทบต่การทำงานได้เช่น โรควิลสัน (Wilson’s disease) ภาวะเหล็กเกิน (Hemochromatosis) เป็นต้น
- ตับแข็ง สาเหตุหลักเกิดจากไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ และไขมันพอกตับเรื้อรัง โดยเมื่อเกิดตับแข็ง ก็ทำให้อัตราการเกิดมะเร็งตับเพิ่มสูงขึ้น มีความเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งตับได้
- มะเร็งตับ เกิดจากภาวะตับแข็งจากทุกสาเหตุไม่ว่าจะจากแอลกอฮอล์ หรือไวรัสตับอักเสบ มะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นอาจมีอาการ เช่น ปวดท้องโดยเฉพาะบริเวณข้างขวาส่วนบน ในบางรายอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หลังหรือไหล่ ท้องบวมขึ้น น้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เบื่ออาหาร ไม่รู้สึกอยากอาหาร อ่อนเพลีย ตัวเหลืองและตาเหลือง เป็นต้น
เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงโรคตับ
สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ตับมีปัญหาและเกิดโรคตับ มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารของแต่ละคนที่เปลี่ยนไป ส่งผลต่อสุขภาพของตับ ได้แก่
- รับประทานอาหารปิ้งย่าง อาหารที่มีไขมันสูง การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ประเภท ปิ้งย่าง ของทอด ของมันๆ และอาหารที่มีไขมันสูง เช่น นม เนย กะทิ ชีส กุ้ง ปูไข่ ไข่แดง จะทำให้ร่างกายมีไขมันส่วนเกินมากเกินไป จนทำให้เกิดไขมันในเลือดสูง และอาจทำให้เกิดการสะสมที่ตับจนนำไปสู่โรคไขมันพอกตับ ส่งผลให้ตับอักเสบเรื้อรัง จนนำไปสู่ภาวะตับแข็งในที่สุด
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน จะเสี่ยงเป็นโรคตับมากกว่าใคร เนื่องจากแอลกอฮอล์ในเครื่องดื่มเหล่านี้จะทำให้มีไขมันสะสมในตับ เกิดการอักเสบและเกิดพังผืดในตับ และเมื่อตับอักเสบนานๆ เข้าก็จะก่อให้เกิดภาวะตับแข็งตามมาในไม่ช้า
- การรับประทานยาและอาหารเสริม เมื่อร่างกายได้รับยาบางชนิดในปริมาณสูง หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน ตับก็จะไม่สามารถทำลายได้ทัน เหลือเป็นส่วนเกินและมีฤทธิ์ทำลายเนื้อตับ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับจนกลายเป็นภาวะตับวายได้
- ภาวะอ้วนลงพุง เมื่อมีไขมันสะสมในช่องท้องมากเกินไป จนทำให้เกิดการสะสมของไขมันที่ตับ นำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ตับอักเสบเรื้อรังจนกลายเป็นโรคตับแข็ง
- การสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่ หรืออยู่ภายในสิ่งแวดล้อมที่มีควันจากบุหรี่ นอกจากส่งผลต่อปอดแล้วยังสามารถส่งผลถึงตับได้ด้วย การสูบบุหรี่จะส่งผลต่อการทำงานของตับผ่านการสูดดมควันบุหรี่ และผ่านสารนิโคตินที่มีสารอนุมูลอิสระปะปนอยู่ ซึ่งจะทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
- รับประทานน้ำตาลมากจนเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลฟรุกโตสซึ่งมักพบในเครื่องดื่มที่มีรสหวานจะเปลี่ยนเป้นไขมันสะสมอยู่ในตับ ดังนั้นถ้าเรารับประทานอาหารที่มีฟรุกโตสมากเกินไปจึงเป็นการทำร้ายตับ การมีระดับน้ำตาลที่สูงทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับจนกลายเป็นโรคไขมันพอกตับได้ แม้ในผู้ที่ไม่อ้วนก็ตาม
หากไม่อยากเป็นโรคตับ ก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดังกล่าวที่เสี่ยงให้เกิดโรคตับ เช่น การงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งดการสูบบุหรี่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดการรับประทานของหวาน ของมัน หลีกเลี่ยงการรับประทานยาโดยไม่จำเป็น ออกกำลังกายเป็นประจำ และระวังเรื่องน้ำหนักตัวอย่าให้เกินมาตรฐาน รวมถึงการไปตรวจเช็คสุขภาพประจำปี อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี เพื่อรักษาตับให้มีสุขภาพดีอยู่กับร่างกายไปได้นานที่สุด รวมไปถึงระบบอื่นๆ ภายในร่างกายก็จะได้รับผลดีตามไปด้วยเช่นกัน
อ้างอิง: โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต , โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา และ โรงพยาบาลนครธน







