'ลูกซน หรือสมาธิสั้น(ADHD)' วิธีสังเกต รับมือเด็กฉบับพ่อแม่

“ลูกเราแค่ซน หรือกำลังมีสมาธิสั้น?”คำถามนี้เกิดขึ้นในใจพ่อแม่หลายคน... โดยเฉพาะเวลาที่เห็นลูกวิ่งซนทั้งวัน
KEY
POINTS
- โรคสมาธิสั้นสามารถเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมได้ หากพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้ ลูกก็มีโอกาสเป็นได้ถึง 50% และอาจเกิดขึ้นได้ขณะที่มารดาตั้งครรภ์
- พฤติกรรมของเด็กซนธรรมดา กับเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นแตกต่างกัน และการดูโทรทัศน์หรือเล่นวิดีโอเกมเป็นเวลานานจะทำให้เด็กมีปัญหาสมาธิสั้น ซน อยู่ไม่นิ่งได้
- การสังเกตและรู้เท่าทัน ได้แก่ ผลการเรียนตกต่ำลง มีพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อนที่เด็กเล่นด้วยมีอาการบาดเจ็บ เริ่มแยกตัวออกจากกลุ่ม อยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ไม่ชอบสื่อสารและเข้าสังคม
“ลูกเราแค่ซน หรือกำลังมีสมาธิสั้น?”คำถามนี้เกิดขึ้นในใจพ่อแม่หลายคน... โดยเฉพาะเวลาที่เห็นลูกวิ่งซนทั้งวัน นั่งนิ่งได้ไม่เกิน 5 นาที พูดไม่หยุด หรือดูเหมือนขาดความตั้งใจเวลาเรียน ซึ่งในบางครั้ง ความซน ก็คือความซน แต่บางทีอาจเป็นสัญญาณที่บอกว่าลูกกำลังต้องการความช่วยเหลือ
ข้อมูลจากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า ในเด็กวัยเรียนทั่วโลก จะมีคนเป็นโรคสมาธิสั้นประมาณร้อยละ 7 หรือเทียบเท่ากับเด็กวัยเรียน 100 คน จะพบเป็นโรคสมาธิสั้น 7 คน ซึ่งโรคนี้หากปล่อยไว้ไม่รักษาจะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ได้
จากข้อมูลของกรมสุขภาพจิต เด็กอายุ 5-9 ปี ประมาณ 1 ใน 14 คน พบมีพัฒนาการล่าช้า เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD) มีปัญหาทางเชาวน์ปัญญา (IQ) และมีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตต่อเนื่องไปจนถึงวัยรุ่นและนำไปสู่การใช้ยาเสพติด สอดคล้องกับการรายงานของโรงพยาบาลสวนปรุง ปี 2566 เด็กอายุ 6-12 ปี เข้ารับการรักษา จำนวน 213 คน ปี 2567 ช่วง 9 เดือน จำนวน 164 คน มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยโรคที่พบมาก 5 อันดับ ได้แก่ สมาธิสั้น ความผิดปกติแบบไม่อยู่นิ่ง ภาวะซึมเศร้า ความบกพร่องทางการเรียนรู้ และภาวะวิตกกังวล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
'โรคสมาธิสั้น' เป็นได้ก็รักษาได้ เมื่อโตขึ้นจะหายจากโรคนี้ประมาณ 30%
ความต่างระหว่างเด็กซนกับสมาธิสั้น
“พญ.ปัทมาพร ทองสุขดี” จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาล BMHH – Bangkok Mental Health Hospital อธิบายว่า “โรคสมาธิสั้น” จัดอยู่ในกลุ่มโรคที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการของสมอง (neurodevelopmental disorders) มาตั้งแต่เกิด ซึ่งความบกพร่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา แต่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการควบคุมตัวเอง
“โดยพฤติกรรมของเด็กซนธรรมดา กับเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้นนั้นจะแตกต่างกัน โดยเด็กซนธรรมดาจะวิ่งเล่น วุ่นวาย แต่หยุดได้เมื่อเตือนและสามารถโฟกัสได้ถ้าเป็นเรื่องที่สนใจ มีช่วงเวลาสงบได้บ้าง โดยเฉพาะตอนเหนื่อยหรือพัก แต่หากเป็นเด็กสมาธิสั้นจะอยู่ไม่สุขตลอดเวลา แม้จะพยายามบอกให้สงบแล้วก็ตาม วอกแวกง่าย ทำงานไม่เสร็จ ลืมของเป็นประจำ พวกเขาจะขัดจังหวะ ไม่รอคิว พูดแทรก และอาการจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการเรียน ความสัมพันธ์ หรือความมั่นใจในตัวเอง”
เช็กลิสต์ลูกกำลังมีภาวะสมาธิสั้น
พญ.ปัทมาพร กล่าวต่อว่า สำหรับวิธีการเช็ก หรือสังเกตของพ่อแม่ ผู้ปกครองว่าลูกมีสมาธิสั้น หรือเป็นเพียงเด็กซนธรรมดานั้นสามารถทำได้ง่ายๆ โดยหากลูกกำลังมีภาวะสมาธิสั้น จะมีลักษณะดังนี้
1. ทำงานไม่เสร็จ ขาดความใส่ใจรายละเอียด
2.วอกแวกง่าย แม้แต่เสียงเล็กน้อยก็ทำให้เสียสมาธิ
3.ลืมของบ่อย ๆ ทำหายง่าย
4.พูดมาก หยุดไม่ค่อยได้
5.นั่งนิ่งยาก ต้องขยับตัวอยู่ตลอด
6.ชอบขัดจังหวะ ไม่รอคิว หรือพูดแทรก
7. เหมือนฟังไม่จบประโยค หรือไม่ฟังเลย
“ถ้าเด็กมีพฤติกรรมต่างๆ และเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียนต่อเนื่องเกิน 6 เดือน คุณพ่อคุณแม่อาจเริ่มลองพาลูกเข้ามาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะการช่วยเหลือลูกตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีขึ้นได้ เนื่องจากได้รับการฝึกพฤติกรรม การจัดสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม หรือในบางกรณีอาจมีการใช้ยาเพื่อช่วยให้ลูกควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น ร่วมกับกำลังใจจากครอบครัวที่สำคัญที่สุด”พญ.ปัทมาพร กล่าว
ดูทีวี-เล่นวิดีโอเกม ส่งผลเด็กสมาธิสั้น
พญ.ปัทมาพร กล่าวต่อไปว่า การเกิดโรคสมาธิสั้นในปัจจุบันพบว่า เกิดจากความบกพร่องของสารเคมีที่สำคัญบางตัวในสมอง โดยมีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่สำคัญ ประมาณ 30-40% ของเด็กสมาธิสั้นจะมีคนในครอบครัวคนใดคนหนึ่งป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นเช่นเดียวกัน มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือได้รับสารพิษบางชนิด เช่น ตะกั่วระหว่างตั้งครรภ์ จะมีโอกาสมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น
ส่วนการบริโภคน้ำตาลหรือช็อกโกแลตมากเกินไป การขาดวิตามิน โรคภูมิแพ้ ไม่มีงานวิจัยพบว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคสมาธิสั้น ขณะเดียวกัน การดูโทรทัศน์หรือเล่นวิดีโอเกมเป็นเวลานานจะทำให้เด็กมีปัญหาสมาธิสั้น ซน อยู่ไม่นิ่งได้ เนื่องจากในขณะที่เด็กดูโทรทัศน์หรือเล่นวิดีโอเกม เด็กจะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่องโดยภาพบนจอโทรทัศน์หรือวิดีโอเกมที่เปลี่ยนทุก 2-3 วินาที จึงสามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้ สมาธิของเด็กมีขึ้นได้จากสิ่งเร้าภายนอกซึ่งตรงกันข้ามกับสมาธิที่เด็กต้องสร้างขึ้นมาเองระหว่างการอ่านหนังสือหรือทำงานต่างๆ เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นจะขาดสมาธิอันนี้
สัญญาณเตือน พ่อแม่เฝ้าระวัง
“นพ. ชลภัฎ จาตุรงคกุล” จิตเวชศาสตร์เด็กและวัยรุ่น คลินิกพัฒนาการ ศูนย์กุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่าหากเด็กเป็นโรคสมาธิสั้น มีเพียงร้อยละ 15 – 20 เท่านั้นที่สามารถหายได้เองเมื่อเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ แต่อีกประมาณร้อยละ 60 นั้นไม่หายขาดและจะเป็นโรคนี้ไปจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่
การสังเกตและรู้เท่าทันสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่ต้องเข้ารับการรักษาคือสิ่งสำคัญ ได้แก่
1.ผลการเรียนตกต่ำลง
2.มีพฤติกรรมความผิดปกติของเด็ก
3.เด็กหรือเพื่อนที่เด็กเล่นด้วยมีอาการบาดเจ็บ เนื่องจากเล่นรุนแรงและผาดโผนมากเกินไป
4.เด็กเริ่มแยกตัวออกจากกลุ่ม อยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ไม่ชอบสื่อสารและเข้าสังคม
“วิธีรักษาแก้โรคสมาธิสั้น ขณะนี้มี 4 วิธี ได้แก่ 1.ปรับพฤติกรรมและกระตุ้นพัฒนาการเด็ก ซึ่งจะได้ผลดีมากในเด็กที่ยังเป็นไม่มากและยอมเต็มใจที่จะเข้ารับการฝึกเพื่อให้อยู่นิ่ง 2.รับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง โดยแพทย์จะเลือกชนิดยาที่เหมาะกับอาการและวัยของเด็ก 3.เรียนแบบตัวต่อตัว เพื่อช่วยพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กให้ดียิ่งขึ้น และ4.ปรึกษาแพทย์ต่อเนื่อง เพื่อทำความเข้าใจและขอคำแนะนำเกี่ยวกับเทคนิคการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง การสื่อสารกันระหว่างแพทย์ ครู และผู้ปกครอง เพื่อลดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กที่อาจเกิดขึ้นได้”
ไฮเปอร์กับสมาธิสั้นต่างกัน
เด็กที่เป็นไฮเปอร์ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นโรคสมาธิสั้นเสมอไป เพราะไฮเปอร์คืออาการที่ไม่อยู่นิ่ง ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ โรคสมาธิสั้น (ADHD – Attention Deficit Hyperactive Disorder) เป็นเพียงสาเหตุอันหนึ่ง ยังไม่รวมถึงเด็กมีไอคิวสูงปัญญาเลิศ (Gifted Child ) เด็กที่มีความวิตกกังวัล (Anxiety) เด็กที่มีพัฒนาการทางระบบประสาทล่าช้า (Motor – Sensory) เด็กที่เคยได้รับความกระทบกระเทือนหรือติดเชื้อที่สมอง และเด็กที่ไฮเปอร์โดยธรรมชาติ
แต่เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด มักเกิดจากความผิดปกติของสมอง และสิ่งที่น่าสนใจคือ โรคสมาธิสั้นสามารถเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรมได้ หากพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้ ลูกก็มีโอกาสเป็นได้ถึง 50% และอาจเกิดขึ้นได้ขณะที่มารดาตั้งครรภ์
อย่างไรก็ตาม การเลี่ยงเล่นสมาร์ทโฟนแท็บเล็ต เพราะสมาร์ทโฟนมีส่วนกระตุ้นให้เด็กที่เป็นเป็นสมาธิสั้นมากมีอาการขึ้น เนื่องจากเมื่อเล่นไปนาน ๆ อาจส่งผลให้เด็กขาดสมาธิและการควบคุมตนเอง อยู่ไม่นิ่ง หุนหันพลันแล่น และหากเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ก่อนแล้วอาการจะยิ่งมีความรุนแรงมากขึ้น อาทิ ใจร้อน วู่วาม อารมณ์ฉุนเฉียว ขาดการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ไม่รู้จักการรอคอย เป็นต้น