เมื่อ 'ไมเกรน'ส่งผลต่อสุขภาพจิต ทำความเข้าใจกับคนรอบข้างอย่างไร

"โรคไมเกรน" เป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบสูง โดยประชากร 7 คน จะพบคนเป็นไมเกรน 1 คน ทำให้มีการประมาณการว่าในประเทศไทยมีคนเป็นโรคไมเกรนถึง 10 ล้านคน
KEY
POINTS
- ไมเกรนส่งผลด้านอารมณ์ต่อผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยไมเกรนมักถูกคนรอบข้างเข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ผู้ป่วยต้องสร้างความเข้าใจให้แก่คนรอบข้าง
- สาเหตุ หรือ ปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นอาการไมเกรน ในแต่ละคนแตกต่างกันไป อาจเกิดจากสภาวะแวดล้อม อากาศ อาหาร หรือตัวบุคคล
- โรคไมเกรน แม้ว่าจะรักษาได้ไม่หายขาด แต่สามารถดูแลตนเองเพื่อบรรเทาอาการปวด และหลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการได้
“ปวดหัวแล้วทำไมไม่กินยาล่ะ”
“ลาหยุดทำไม ไม่ได้เป็นอะไรมากนี่นา”
“ปวดหัวก็ไปนอนสิ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”
คำพูดเหล่านี้ เป็นคำพูดที่คนปวดหัวหลายๆ คนมักจะได้รับจากคนรอบข้าง แต่จริงๆ แล้ว การปวดหัวอย่าง ปวดไมเกรน ไม่ใช่ว่าจะเป็นแล้วหายได้ทันที
"โรคไมเกรน" เป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีผลกระทบสูง โดยประชากร 7 คน จะพบคนเป็นไมเกรน 1 คน ทำให้มีการประมาณการว่าในประเทศไทยมีคนเป็นโรคไมเกรนถึง 10 ล้านคน
โดยโรคไมเกรนมักพบในคนวัยทำงานเป็นผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง หรือต้องหยุดงาน เกิดความสูญเสียด้านเศรษฐกิจในระดับครอบครัวและประเทศ เป็นโรคที่เกิดความทุพพลภาพเป็นอันดับหนึ่งหรือสองในกลุ่มคนทำงานมาตลอดทุกปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ปวดหัวแบบไหน?เรียกว่า ไมเกรน
ผศ.นพ.รังสรรค์ เสวิกุล ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าโรคไมเกรนเป็นโรคที่ก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ อาการปวดศีรษะนั้นมักจะปวดข้างเดียว หรือเริ่มปวดข้างเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดมักจะย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ แต่บางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อม ๆ กันตั้งแต่แรก
ลักษณะอาการปวดมักจะปวดตุ๊บ ๆ เป็นระยะ ๆ แต่ก็มีบางคราวที่ปวดแบบตื้อ ๆ ส่วนมากจะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก โดยจะค่อย ๆ ปวดมากขึ้นที่ละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ บรรเทาอาการปวดลงจนหาย ขณะที่ปวดศีรษะก็มักจะมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย
ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แต่ส่วนใหญ่จะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที เช่น สายตาพร่ามัว หรือ มองเห็นแสงกระพริบ ๆ อาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายอาจจะปวดขึ้นมากลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกระทั่งตื่นนอนเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
เช็กความต่างอาการปวดไมเกรน กับปวดหัวอื่นๆ
อาการปวดไมเกรนต่างจากอาการปวดศีรษะธรรมดาตรงที่ว่า อาการปวดศีรษะธรรมดามักจะปวดทั่วทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดตื้อ ๆ ที่ไม่รุนแรงนัก และมักจะไม่มีอาการอื่น เช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย ส่วนใหญ่จะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่
โรคปวดศีรษะไมเกรนส่วนใหญ่จะเป็นในผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย มักเป็นในผู้ที่มีความเครียดทางอารมณ์และจิตใจสูง แต่ก็อาจเกิดในผู้ที่สุขภาพจิตดีก็ได้
จากหลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา ปัจจุบันเชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบตัวผู้เป็น
- อาการปวดศีรษะไมเกรนจะแตกต่างจากอาการปวดศีรษะจากสาเหตุอื่นอย่างไร
ปัจจุบันสาเหตุของไมเกรนก็ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด มีอยู่หลายทฤษฎีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นไปได้ โดยเชื่อกันว่าอาจจะเกิดจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองก็ได้
อาการปวดหัวอาจจะเกิดจากความผิดปกติของส่วนต่าง ๆ ภายในกะโหลกศีรษะ เช่น สมอง เยื่อหุ้มสมอง โพรงน้ำในสมอง หลอดเลือดสมอง หรืออาจจะเกิดจากความผิดปกติของกะโหลกศีรษะเอง รวมทั้งอวัยวะต่าง ๆ รอบกะโหลก ได้แก่ ตา หู จมูก โพรงอากาศหรือไซนัส คอ และกระดูกคอ
นอกจากนั้นแล้วอาการปวดศีรษะอาจจะเกิดจากโรค หรือภาวะต่าง ๆ ที่เกิดแก่ร่างกายแล้วส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น เช่น ไข้หวัดใหญ่
ดังนั้น การที่จะทราบว่าอาการปวดศีรษะนั้นเกิดจากโรคไมเกรนแพทย์ต้องทำการวินิจฉัยจากลักษณะจำเพาะของอาการปวดศีรษะ อาการที่เกิดร่วมด้วย รวมทั้งผลการตรวจร่างกายระบบต่าง ๆรวมทั้งการทำงานของสมองที่เป็นปกติ แต่อย่างไรก็ดี โรคไมเกรนบางประเภทก็อาจทำให้สมองทำงานผิดปกติไปชั่วคราวในระหว่างที่เกิดอาการปวดขึ้นได้ แพทย์จำเป็นที่จะต้องทำการวินิจฉัยแยกโรคให้ได้
รวมพฤติกรรมที่อาจทำให้ ปวดไมเกรน
- นอนหลับไม่เพียงพอ
พักผ่อนไม่เพียงพอ นอนหลับไม่เป็นเวลา พฤติกรรมการนอนน้อย อีกหนึ่งสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดไมเกรน ดังนั้นคุณควรนอนให้ได้วันละ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน และพยายามนอนให้ได้เวลาเดิมทุกคืน
- ความเครียด
ความเครียด ความกังวลเป็นปัจจัยสำคัญทำให้เกิดโรคไมเกรน และอาการของโรคจะแย่ลงไปอีก หากคุณทั้งเครียดและเป็นไมเกรนในเวลาเดียวกัน
- กินข้าวไม่ตรงเวลา กินข้าวไม่ครบมื้อ
หากคุณบริโภคอาหารไม่ครบมื้อ คุณอาจกำลังมีความเสี่ยงที่จะเป็นไมเกรนระยะแรกได้ง่าย เพราะการที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป จะส่งผลให้รู้สึกปวดศีรษะได้
- กินอาหารบางประเภทมากเกินไป
รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา อดอาหาร หรือรับประทานอาหารบางประเภทมากเกินไป เช่น อาหารที่มีส่วนผสมของยีสต์ สารกันบูด ผงชูรส ในอาหารจานด่วน ราเม็ง/บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแปรรูป เช่น เบคอน ไส้กรอก และอาหารหมักดอง
- ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
หากคุณดื่มกาแฟมากเกินไป ก็อาจทำให้อาการไมเกรนแย่ลง แต่ในทางกลับกัน หากคุณเลิกดื่มกลางคัน ก็อาจส่งผลให้คุณรู้สึกปวดหัวไมเกรนขึ้นมาได้ ดังนั้นควรพยายามจำกัดการดื่มในแต่ละวัน ให้ได้ปริมาณที่พอเหมาะจะดีที่สุด
- อยู่ในที่ ที่มีแสงจ้า
การที่สายตาโดนแสงแดด หรือหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ในทันที หรืออยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมากเกินไป สามารถทำให้อาการไมเกรนของคุณกำเริบได้เช่นกัน
- แพ้กลิ่น
ผู้ที่มีจมูกไวต่อกลิ่น มักมีแนวโน้มที่จะเป็นไมเกรน โดยกลิ่นที่มักเป็นสาเหตุของโรคนี้ เช่น น้ำหอม ดอกไม้ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ควันบุหรี่ ฝุ่น เป็นต้น
ปวดไมเกรนส่งผลต่อสุขภาพจิต
พญ.ฐิติพร ศุภสิทธิ์ธำรง จิตแพทย์ผู้ชำนาญการด้านจิตเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ โรงพยาบาลเมดพาร์ค กล่าวว่า แม้ว่าไมเกรนจะเป็นโรคที่พบได้บ่อย แต่คนรอบข้างอาจไม่เข้าใจถึงอาการและความรุนแรง และอาจคิดว่าผู้ป่วยพูดถึงอาการรุนแรงเกินจริง แต่อันที่จริงแล้ว ไมเกรนไม่ใช่อาการปวดศีรษะทั่ว ๆ ไป แต่เป็นโรคทางระบบประสาท เมื่อเริ่มปวด อาการปวดอาจยาวนานนับชั่วโมงหรือต่อเนื่องหลายวัน
นอกจากอาการทางกาย เช่น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียนแล้ว ไมเกรนยังส่งผลด้านอารมณ์ต่อผู้ป่วย เนื่องจากผู้ป่วยไมเกรนมักถูกคนรอบข้างเข้าใจผิดว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ผู้ป่วยจึงอาจรู้สึกโดดเดี่ยวและเครียดว่าไม่มีใครเข้าใจ อีกทั้งยังกังวลว่าไมเกรนอาจจะกำเริบอีก ไมเกรนเรื้อรังจึงอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ป่วย ราว 60% ของผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรังมักเป็นโรควิตกกังวล โดยครึ่งหนึ่งมีอาการซึมเศร้า และประมาณ 25% เป็น PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) หรือสภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง
ควรทำอย่างไรให้คนรอบข้างเข้าใจ
ผู้ป่วยสามารถสร้างความเข้าใจให้แก่คนรอบข้างได้โดยพูดคุยอธิบายอาการของไมเกรนและผลกระทบของโรค โดยอ้างอิงข้อเท็จจริงและผลการตรวจวินิจฉัย เพราะไมเกรนอาจเกิดขึ้นได้นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจกรรมด้านสังคม เช่น ไปทำงาน ไปรับประทานอาหารกับเพื่อน ๆ หรือทำกิจกรรมที่ชอบได้
ทั้งนี้ควรพูดคุยสื่อสารอย่างเปิดเผยให้สมาชิกในครอบครัว เช่น สามี ภรรยา และบุตร เข้าใจถึงตัวโรคมากขึ้น เพราะระหว่างที่ปวดไมเกรน ผู้ป่วยอาจต้องการความช่วยเหลือเรื่องงานบ้าน ทำอาหาร หรือต้องการอยู่เพียงตามลำพังในห้องมืด ๆ ไม่มีแสงสว่างมากระตุ้นอาการ เมื่อต้องอธิบายให้ลูก ๆ เข้าใจควรเลือกใช้คำที่เข้าใจได้ง่าย และย้ำให้ลูกเข้าใจว่าพ่อหรือแม่ต้องการเวลาพักผ่อนตามลำพังเมื่อมีอาการ เพื่อไม่ให้ลูกน้อยใจหรือเข้าใจผิดว่าพ่อหรือแม่ไม่ต้องการให้เวลากับลูก
หากจำเป็นต้องไปทำงาน ควรแจ้งให้ที่ทำงานทราบถึงอาการที่มี รวมถึงความจำเป็นในการหยุดพักเพื่อจัดการกับไมเกรน พูดคุยกับที่ทำงาน ขอปรับเปลี่ยนตารางการทำงานหรือทำงานนอกเวลางานแทนเพื่อชดเชยเวลาที่ลาป่วยไป
เมื่อปวดไมเกรน ดูแลสุขภาพจิตอย่างไร
การจัดการกับความเครียด การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และการรับประทานอาหารครบห้าหมู่ สามารถช่วยลดความถี่ของไมเกรนและยังช่วยในเรื่องสุขภาพจิตได้เช่นกัน
จัดการกับความเครียด จัดสรรเวลาในแต่ละวันเพื่อทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น การนั่งสมาธิ โยคะ งานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น เพื่อจัดการระดับความเครียด
นอนหลับให้เพียงพอ การนอนหลับมากเกินไปหรือน้อยเกินไปอาจกระตุ้นไมเกรนได้ ผู้ป่วยควรเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลา ไม่ดูโทรทัศน์หรือโทรศัพท์ก่อนนอน
รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ หลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของไนเตรท คาเฟอีน หรือแอลกอฮอล์ ซึ่งอาจไปกระตุ้นไมเกรนได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยควรสังเกตว่าอาหารชนิดใดที่กระตุ้นอาการ เพราะผู้ป่วยแต่ละคนอาจมีปฏิกิริยาต่างกัน โดยทั่วไปควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นสาเหตุของไมเกรน เช่น ฮอทดอก ชีสที่ผ่านการบ่ม ไวน์แดง และถั่วเหลือง
ท้ายที่สุดนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องยอมรับด้วยเช่นกันว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจธรรมชาติและความรุนแรงของไมเกรน แต่การให้ข้อมูลแก่คนรอบข้างก็ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างมาก ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับความเห็นอกเห็นใจและความช่วยเหลือมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น และลดความวิตกกังวลเรื่องคนใกล้ชิดไม่เข้าใจในตัวโรค การพูดคุยสื่อสารเรื่องไมเกรนจึงช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่โดดเดี่ยวและจัดการกับไมเกรนและสุขภาพจิตได้ดียิ่งขึ้น
ผลกระทบหรือปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคไมเกรน
ผลกระทบที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือเสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง บางรายก็ปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพการเรียนการทำงาน ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ทำงานประเภทใช้ความคิดต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย ถ้าเป็นบ่อยมากเป็นรุนแรงมาก ๆ ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ บ้างก็จะวิตกกังวลว่าอาจจะเป็นเนื้องอกในสมอง
ดูแลตนเองระหว่างเป็นโรคไมเกรน
ผู้ที่มีอาการปวดศีรษะเรื้อรังควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ เมื่อทราบว่าเป็นไมเกรนแล้ว ควรจะออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยป้องกันอาการปวด เมื่อปวดศีรษะไมเกรนควรรับประทานยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว ถ้าปวดบ่อยมากควรจะพบแพทย์เพื่อรับประทานยาป้องกันไมเกรน
วิธีการป้องกันโรคไมเกรน
ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม วิธีที่สองคือการรับประทานยาป้องกันไมเกรน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12เดือนจึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่
โรคที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะนั้นมีมากมายหลายสาเหตุ ที่จะเกิดจากเนื้องอกในสมองนั้นพบไม่มาก ถ้ามีอาการปวดศีรษะเรื้อรังหรือปวดรุนแรงมาก ก็ควรที่จะปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุสำหรับโรคปวดศีรษะไมเกรนนั้นแม้จะเป็นโรคที่เรื้อรัง แต่สามารถที่จะควบคุมให้โรคสงบลงได้ทั้งโดยวิธีธรรมชาติ โดยการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม ในกรณีที่จำเป็นก็อาจต้องใช้ยาสักระยะหนึ่ง
แพทย์จะมีการตรวจวินิจฉัยอย่างไรว่าผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน
การที่จะทราบว่าอาการปวดหัวเกิดจากสาเหตุใดนั้น ต้องอาศัยลักษณะต่าง ๆ ของอาการปวด อาการที่เกิดร่วมด้วย ความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรืออวัยวะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด ดังนี้
- ลักษณะต่าง ๆ ของอาการปวด : ตำแหน่ง ความรุนแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
- อาการที่เกิดร่วมด้วย เช่น ไข้ ตาแดง ตาโปน น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น คลื่นไส้ เวียนหัว
- ความผิดปกติของการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด เช่น ความคิดอ่านเชื่องช้า มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง เดินเซ
- ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด เช่น ความเครียด แสงจ้า ๆ อาหารบางชนิด
- ปัจจัยทุเลาอาการปวด เช่น การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ ยา
รวมทั้งแพทย์จำต้องสอบถามอาการและตรวจร่างกายผู้ป่วย ในกรณีที่จำเป็นบางครั้งอาจต้องส่งตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้การวินิจฉัยแยกโรคที่อาจมีอาการคล้ายคลึงกับโรคไมเกรน
การรักษาผู้ป่วยเป็นโรคไมเกรน
วิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญได้แก่ การบรรเทาอาการปวดศีรษะ และการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ
การบรรเทาอาการปวดศีรษะนั้น อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา เช่น การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ ในรายที่ไม่ได้ผลหรืออาการปวดรุนแรงก็จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด ปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่าง ๆ กันไป ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป
สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิด หรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั้น ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม วิธีที่สองคือ การรับประทานยาป้องกันไมเกรน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12 เดือน จึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่ ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาไมเกรนให้หายขาดได้ แต่ก็มีวิธีควบคุมอาการให้สงบลงได้ดังกล่าวแล้ว
อ้างอิง: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล , โรงพยาบาลเมดพาร์ค ,โรงพยาบาลศิครินทร์