เช็กให้ชัวร์! 'กรดไหลย้อน' VS 'โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ' ความเหมือนที่แตกต่าง

ด้วยอาการของ "กรดไหลย้อน" และ "โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ" มีความคล้ายกัน ทำให้หลายคนอาจสับสนระหว่างอาการของทั้ง 2 โรค
KEY
POINTS
- การแยกแยะระหว่างอาการของโรคหัวใจและโรคกรดไหลย้อนอาจทำได้ยาก เนื่องจากมีอาการคล้ายคลึงกันในบางแง่มุม
- ความแตกต่างสำคัญคือ อาการของโรคหัวใจมักรุนแรงขึ้นเมื่อออกแรงและอาจร้าวไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ในขณะที่อาการของโรคกรดไหลย้อนมักสัมพันธ์กับการรับประทานอาหารและการนอนราบ
- หากคุณสงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง เหงื่อออก หน้ามืด หรือหายใจลำบาก อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือทางการแพทย์โดยด่วน การวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงทีอาจช่วยชีวิตคุณได้
ด้วยอาการของ "กรดไหลย้อน" และ "โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ" มีความคล้ายกัน ทำให้หลายคนอาจสับสนระหว่างอาการของทั้ง 2 โรค เนื่องจากทั้งสองภาวะนี้สามารถทำให้เกิดอาการเจ็บหน้าอกได้ อย่างไรก็ตาม สาเหตุของอาการเหล่านี้แตกต่างกันอย่างมาก ฉะนั้น การรู้ถึงความแตกต่างของโรคจะช่วยให้ดูแลสุขภาพและป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
"กรดไหลย้อน" (gastroesophageal reflux disease: GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของสารคัดหลั่งในกระเพาะอาหารไม่ว่าจะเป็นกรดหรือแก๊สกลับไปที่หลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติร่างกายคนเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้างโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร แต่ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีปริมาณกรดที่ย้อนมากขึ้นหรือย้อนบ่อยกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดอาหารมีความไวต่อกรดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่มากกว่าปกติ
"โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ หรือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ" (coronary artery disease; CAD) ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย ยิ่งในยุคปัจจุบันเทคโนโลยีเพิ่มมากขึ้น สไตล์การใช้ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ เราเริ่มทำงานประจำอยู่กับที่มากขึ้น ไม่ค่อยลุกไปไหน เคลื่อนไหวหรือออกแรงกันน้อยลง นำมาซึ่งความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้มากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
หลอดเลือดหัวใจตีบ อัมพฤกษ์ เสี่ยงแค่ไหน คัดกรองก่อนป่วย-เสียชีวิต
'กรดไหลย้อน' โรคใกล้ตัวที่ใครก็เป็นได้ กินแล้วนอน เสี่ยง 2 เท่า
กรดไหลย้อน กับ โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ แตกต่างกันอย่างไร?
อาการสำคัญที่พบบ่อยในโรคกรดไหลย้อน ได้แก่
- ความรู้สึกแสบร้อนบริเวณลิ้นปี่ กลางหน้าอก ซึ่งมักเกิดหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ
- ความรู้สึกเปรี้ยวหรือขมในปากและคอ
- มีอาหารย้อนขึ้นมาในปากและคอ
- จุกเสียด แน่นท้องบริเวณลิ้นปี่
นอกจากอาการเหล่านี้แล้ว โรคกรดไหลย้อนยังก่อให้เกิดอาการอื่นๆ ได้อีก เช่น
- อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่ได้เกิดจากโรคหัวใจ
- เสียงแหบเรื้อรัง เสียงเปลี่ยน
- ไอเรื้อรังโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน
- กลืนติดขัดเหมือนมีก้อนจุกในคอ
- อาการทางช่องปาก เช่น ฟันผุ มีกลิ่นปาก
- โรคหืดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาตามปกติ
อาการของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
- เจ็บหน้าอก แน่นหน้าอกเหมือนถูกบีบรัด หรือกดทับ
- เจ็บหน้าอกปวดร้าวไปกราม สะบักหลัง แขนซ้าย หัวไหล่
- เจ็บหน้าอกมากขึ้น เมื่อมีการออกแรง หรือ ออกกำลังกาย
- เหงื่อออก จะเป็นลม หน้าซีด
- ใจสั่น หอบเหนื่อย คลื่นไส้
- อาจมีอาการจุกบริเวณคอหอย ซึ่งบางรายอาจมีอาการจุกบริเวณใต้ลิ้น
ข้อแตกต่างที่สำคัญ
กรดไหลย้อน
- มักเกิดหลังการรับประทานอาหารหรือนอนราบ และมีอาการแสบหน้าอกชัดเจน
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
- อาการเจ็บหน้าอกมักเกิดขณะออกแรงหรือเมื่อเครียด และรู้สึกเหมือนหน้าอกถูกบีบคั้น
นพ.ธิปกร ผังเมืองดี หัตถการปฏิบัติรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลนครธน กล่าวว่า อาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก เป็นอาการเริ่มต้นของหลายๆ โรค ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น จากโรคหัวใจ หรือโรคกรดไหลย้อน โดยอาการของทั้ง 2 โรคนี้มักเริ่มมากจากเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอกอาจทำให้สับสนได้ ซึ่งบางรายคิดว่าอาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอกมาจากโรคกรดไหลย้อน จึงซื้อยามารับประทานเองไม่ได้ไปพบแพทย์ หรือรับการตรวจรักษา สุดท้ายอาการกลับเป็นมากขึ้นกลายเป็นโรคหัวใจขาดเลือดในที่สุด
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของทั้ง 2 โรค
โรคกรดไหลย้อน
- ความผิดปกติของหูรูดส่วนปลายหลอดอาหารที่ทำหน้าที่ป้องกันกรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารมีความดันของหูรูดต่ำหรือเปิดบ่อยกว่าคนปกติ ความผิดปกติเหล่านี้อาจเกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ กาแฟ ชา เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และ ยาบางชนิด เช่น ยารักษาโรคหอบหืดบางตัว
- ความผิดปกติในการบีบตัวของหลอดอาหาร ทำให้อาหารที่รับประทานเคลื่อนตัวลงช้าหรืออาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาจากกระเพาะอาหารค้างอยู่ในหลอดอาหารนานกว่าปกติ
- ความผิดปกติของการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าปกติ ทำให้เพิ่มโอกาสการไหลย้อนของกรดจากกระเพาะอาหารสู่หลอดอาหารมากขึ้น อาหารประเภทไขมันสูงและช็อกโกแลตจะทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวลดลง
- พฤติกรรมในการดำเนินชีวิต เช่น เข้านอนทันทีหลังรับประทานอาหาร รับประทานอาหารปริมาณมากในหนึ่งมื้อ สูบบุหรี่ ดื่มน้ำอัดลมหรือแอลกอฮอล์ ความเครียด
- โรคอ้วน ทำให้เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหารและทำให้กรดไหลย้อนกลับ
- การตั้งครรภ์ เนื่องจากฮอร์โมนที่เพิ่มขึ้นขณะตั้งครรภ์ทำให้หูรูดหลอดอาหารอ่อนแอลง รวมถึงมดลูกที่ขยายตัวจะเพิ่มแรงกดต่อกระเพาะอาหาร
โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
โรคหลอดเลือดแดงหัวใจตีบตันส่วนใหญ่มากกว่า 95% มาจากการอักเสบการเสื่อมของหลอดเลือด ซึ่งใช้เวลานานนับสิบๆ ปี ความเสื่อมจะมากหรือน้อยนั้นต่างกันตามสาเหตุ เช่น อายุที่มากขึ้น กรรมพันธุ์ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ การสูบบุหรี่ ความอ้วน การไม่ออกกำลังกาย ถ้าหลอดเลือดในหัวใจเริ่มตีบแคบเกิน 50% จะเริ่มมีอาการเหนื่อยเมื่อออกแรงมากขึ้น พอพักก็หาย และถ้าตีบเกิน 75% อาจมีอาการแม้อยู่เฉยๆ
นอกจากนี้บางสถานการณ์อาจมีการปริแตกของตระกรัน (Plaque) ในหลอดเลือดแดง เกล็ดเลือด และปัจจัยแข็งตัวของเลือดจะเข้ามาอุดทำให้หลอดเลือดหัวใจเส้นนั้นเกิดตีบตันฉับพลัน มีอาการเจ็บแน่นหน้าอก หรือเป็นมากขึ้นก็หอบเหนื่อย (เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว) หรือหัวใจหยุดเต้น เรียกกลุ่มอาการอันตรายนี้ว่า ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายฉับพลัน (ACS: Acute Coronary Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะเร่งด่วนทางหัวใจที่ต้องรักษาฉับพลัน คนทั่วไปอาจเรียกว่า Heart Attack (อาการโรคหัวใจอันตรายฉับพลัน)
- อายุที่มากขึ้น
- ระดับคอเลสเตอรอลสูง ระดับไขมันในเลือดสูง
- โรคเบาหวาน
- โรคความดันโลหิตสูง
- ภาวะอ้วน
- รวมไปถึงการการดื่มแอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่
- มีภาวะเครียด หรือใช้ชีวิตภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดเป็นประจำ
- ขาดการออกกำลังกาย
ป้องกันการเกิดโรค
การป้องกันโรคกรดไหลย้อน
- หลีกเลี่ยงอาหารที่เพิ่มการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เช่น อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน น้ำอัดลม กระเทียม หัวหอม เป็นต้น รวมถึงหลีกเลี่ยงการทานอาหารมื้อใหญ่ ควรแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ แต่บ่อยครั้ง
- ผ่อนคลายความเครียด เช่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกกำลังกาย นั่งสมาธิ สวดมนต์
- ควบคุมน้ำหนัก โดยเฉพาะในคนอ้วน หรือคนที่น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน เมื่อน้ำหนักลด ความดันในกระเพาะอาหารก็จะลดลง ทำให้อาหารและกรดในกระเพาะอาหารดันหูรูดหลอดอาหารน้อยลง อาการกรดไหลย้อนก็จะลดลงตามไปด้วย นอกจากนั้นยังส่งผลดีต่อสุขภาพด้านอื่นๆ และทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง
- หลีกเลี่ยงการนอนราบทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรออย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง หรือหากนอนควรนอนหนุนหมอนสูง และไม่ควรออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารเสร็จทันที
ขณะที่การป้องกันและการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ มีดังนี้
การรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ แบ่งออกได้เป็น 4 ระดับ ประกอบด้วย
ระดับที่ 1 รักษาโดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น
- เลิกสูบบุหรี่ จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- ลดการบริโภคอาหาร หวาน มัน เค็มจัด
- เพิ่มการรับประทานผักสดและผลไม้ที่ไม่หวานจัด
- ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- เข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี
ระดับที่ 2 รักษาโดยการใช้ยา ในผู้ที่มีความเสี่ยง (โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน) หรือ ในผู้ที่มีหลอดเลือดหัวใจตีบไม่มากที่ยังไม่จำเป็นต้องทำหัตถการ ต้องรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
ระดับที่ 3 รักษาโดยหัตถการสวนหลอดเลือดหัวใจและหรือใส่ขดลวด (Stent) เข้าไป เพื่อขยายหลอดเลือดหัวใจตีบให้ทำงานได้เป็นปกติ
ระดับที่ 4 รักษาโดยการผ่าตัด ทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Bypass Graft – CABG)
อ้างอิง: โรงพยาบาลเวชธานี ,โรงพยาบาลวิภาวดี ,โรงพยาบาลนครธน ,โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ,โรงพยาบาลพระราม 9







