รู้จัก! 'ไวรัส hMPV' ภัยเงียบก่อโรคระบบทางเดินหายใจ ติดต่อง่าย ไม่มียารักษา

เมื่ออากาศเย็นมากขึ้น หนาวขึ้น มีฝนตก หลายคนจะเอ็นจอยมีความสุขกับบรรยากาศ แต่หลายคนอีกเช่นกันที่มักจะมีอาการ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ตามมาด้วย
KEY
POINTS
- ไวรัส hMPV เป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่ม Metapneumovirus ซึ่งเป็นไวรัสที่สามารถก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจในมนุษย์ โดยมีลักษณะคล้ายกับไวรัสไข้หวัดใหญ่และไวรัส RSV
- ในประเทศไทยยังไม่มีการแพร่ระบาดของโรค แต่ต้องเฝ้าระวัง เพราะโรคดังกล่าวยังไม่มียารักษา ติดต่อง่าย
- ป้องกันการติดเชื้อสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการล้างมือบ่อย ๆ ใช้เจลล้างมือ แยกของใช้ส่วนตัว หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าตา ใส่หน้ากากอนามัย และการรักษาระยะห่างจากผู้ป่วย
เมื่ออากาศเย็นมากขึ้น หนาวขึ้น มีฝนตก หลายคนจะเอ็นจอยมีความสุขกับบรรยากาศ แต่หลายคนอีกเช่นกันที่มักจะมีอาการ ไอ จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล ตามมาด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ ที่พ่อแม่ ลูกหลาน คนใกล้ชิดอาจจะมองว่าเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ฝุ่นPM2.5 หรือเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา
แต่จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ มีการค้นพบไวรัสชนิดใหม่ ซึ่งกำลังเป็นภัยร้ายคุกคามระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ไวรัสตัวนี้มีชื่อว่า hMPV (human metapneumovirus :ฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส) เป็นไวรัสชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ มักจะระบาดในช่วงที่มีอากาศเย็น หรือฤดูหนาว
ตอนนี้แม้ยังไม่มีข่าวรายงานผู้ติดเชื้อและการแพร่ระบาดในประเทศไทย แต่ต้องเตรียมพร้อมรับมือไว้ เพราะโรคนี้ยังไม่มียารักษา ติดต่อง่าย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
HMPV กับโควิด-19 ไวรัสใดร้ายกว่ากัน ทำไมการติดเชื้อในจีนเพิ่มเร็ว
hMPV คืออะไร? และเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ไวรัส hMPV เป็นไวรัสที่อยู่ในกลุ่ม Metapneumovirus ซึ่งเป็นไวรัสที่สามารถก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจในมนุษย์ โดยมีลักษณะคล้ายกับไวรัสไข้หวัดใหญ่และไวรัส RSV (respiratory syncytial virus) ไวรัส hMPV ถูกค้นพบครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 2000 โดยทีมนักไวรัสวิทยาจาก มหาวิทยาลัย Erasmus เนเธอร์แลนด์ จากการศึกษาตัวอย่างเด็กเล็กที่ป่วยเป็นโรคปอดอักเสบอย่างรุนแรง
การเกิดของไวรัส hMPV นั้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการของไวรัสในการเข้าสู่เซลล์ของร่างกายมนุษย์ โดยไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายผ่านทางละอองฝอยที่ออกมาจากการไอหรือจามของผู้ที่ติดเชื้อ และเมื่อผู้ที่ไม่มีเชื้อสัมผัสกับสิ่งของที่มีเชื้อไวรัสอยู่ อย่างเช่น ของที่มีละอองของสารคัดหลังของผู้ที่มีเชื้อติดอยู่ ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้
แต่สำหรับการเกิดไวรัสนี้ในธรรมชาติ ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าไวรัสนี้มีแหล่งกำเนิดมาจากไหน แต่ไวรัสเหล่านี้มีการวิวัฒนาการและแพร่กระจายในมนุษย์และสัตว์ต่างๆ ได้อย่างต่อเนื่อง
ความต่างระหว่าง hMPV กับไวรัสชนิดอื่นๆ
ทุกวันนี้มีการระบาดของโรคระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น ไวรัสที่ติดต่อทางทางเดินหายใจ เช่น hMPV (Human Metapneumovirus), RSV (Respiratory Syncytial Virus), และไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ล้วนเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งมีลักษณะและอาการคล้ายคลึงกันในบางกรณี แต่ก็มีความแตกต่างที่สำคัญในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น ระยะการฟักตัว รวมถึงวิธีรักษา
- hMPV มักจะพบในผู้ป่วยเด็กเล็กอายุ 6-12 เดือน และมีอาการหนักกว่า
- RSV จะพบในเด็กเล็กที่มีอายุน้อยกว่า 6 เดือนมากกว่า
- แต่ทั้งนี้ โรคติดเชื้อไวรัสจากทั้งสองชนิดนี้จะมีอาการคล้ายกัน และมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เหมือนกัน
นพ. ชยพล ชีถนอม อายุรศาสตร์ โรงพยาบาลกรุงเทพ อธิบายว่าหากร่างกายได้รับเชื้อไวรัส HMPV ผ่านทางระบบทางหายใจ เชื้อไวรัสจะเพิ่มจำนวนในเซลล์ทางเดินหายใจ ส่งผลให้เกิดการอักเสบทำลายเนื้อเยื่อ เกิดอาการผิดปกติและรุนแรงจนปอดอักเสบได้
ซึ่ง ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อฮิวแมนเมตะนิวโมไวรัส HMPV เพราะฉะนั้นการป้องกันที่ดีที่สุดคือ สวมหน้ากากอนามัย ไม่ใกล้ชิดผู้ป่วย ห้ามใช้มือแคะจมูกหรือนำมือเข้าปาก ล้างมือให้บ่อยเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อไวรัส
โดยโรคไวรัส HMPV ต่างจากโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ดังนี้
กลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังเป็นพิเศษ
นอกจากการระบาดที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเด็กก็ยังมีกลุ่มเสี่ยงอื่นๆที่ควรระวังไวรัส hMPV เป็นพิเศษ อีกเช่นกัน มีดังนี้
- เด็กเล็ก
โดยเฉพาะทารกและเด็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี เนื่องจากระบบทางเดินหายใจของพวกเขายังพัฒนาไม่เต็มที่ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น หลอดลมอักเสบหรือปอดบวม
- ผู้สูงอายุ
ผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป มักมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอและมักมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจหรือโรคปอด ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากไวรัส hMPV ได้มากขึ้น
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับเคมีบำบัด, ผู้ติดเชื้อ HIV, หรือผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอทำให้ไม่สามารถต่อสู้กับการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวทางเดินหายใจ
เช่น ผู้ป่วยโรคหอบหืด, โรคปอดเรื้อรัง (COPD) หรือโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ที่มีความเสี่ยงสูงในการเกิดภาวะหายใจลำบากหรือปอดบวมจากไวรัส hMPV
อาการของการติดเชื้อ hMPV
หลังจากที่ได้รับเชื้อประมาณ 3-6 วัน ส่วนใหญ่อาการแรกเริ่มของผู้ที่ติดเชื้ออาจจะคล้ายกับโรคทางเดินหายใจอื่นๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ COVID-19 หรือ RSV
- มีไข้ ในช่วง 1-2 วันแรก อาจจะมีไข้ต่ำถึงปานกลาง
- ไอ อาจจะเริ่มจากการไอแห้ง และเปลี่ยนไปเป็นไอมีเสมหะ
- น้ำมูกไหล น้ำมูกอาจเริ่มไหลออกมามากในช่วงแรกและสามารถทำให้มีอาการคัดจมูกได้
- เจ็บคอ อาจมีอาการคอแห้งหรือเจ็บคอร่วมกับอาการไอ
- ปวดเมื่อยตัว บางคนอาจรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายหรือเหนื่อยล้า
- หายใจลำบาก โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ อาจมีอาการหายใจลำบากหรือหอบเหนื่อย
- ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่าย แม้จะทำกิจกรรมเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามไวรัส hMPV จะรุนแรงในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ อาการมักคล้ายกับ RSV และไข้หวัดใหญ่ และในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกัน
สังเกตอาการในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ
- เด็กเล็ก
สังเกตไข้สูง(มากกว่า 38°C ขึ้นไป) ไอรุนแรง หายใจลำบาก น้ำมูกไหล เบื่ออาหาร และซึมผิดปกติ หากมีอาการตัวเขียวหรือหายใจติดขัด ควรรีบพบแพทย์ทันที
- ผู้สูงอายุ
ระวังอาการไอเรื้อรัง หายใจลำบาก ไข้ต่ำหรือสูง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และสับสน หากมีอาการรุนแรง เช่น แน่นหน้าอกหรือหายใจติดขัด ควรรีบพบแพทย์เช่นกัน
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงเกิดโรค
เนื่องจากไวรัส hMPV เป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม Pneumoviridae ที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง โดยเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ผ่านละอองฝอยจากการไอหรือจามและการสัมผัส
อีกสาเหตุหลักที่สำคัญนั่นก็คือ สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแพร่กระจายเชื้อ hMPV คือสถานที่แออัด อากาศเย็น มลภาวะสูง และสุขอนามัยที่ไม่ดี การดูแลสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดจึงสำคัญในการลดความเสี่ยง
ระวัง!ผลกระทบต่อสุขภาพ
ไวรัส hMPV เป็นเชื้อที่ทำให้เกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ อย่างพวกไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ และอ่อนเพลีย ในคนทั่วไปมักไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่ถ้าเป็นเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือคนที่มีโรคประจำตัว
อาการอาจหนักขึ้นได้ถึงขั้นหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หรือหายใจลำบาก ยิ่งถ้ามีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หรือผู้ที่อยู่ระหว่างการรักษามะเร็ง ก็ยิ่งต้องระวัง เพราะเชื้ออาจทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนอย่างรุนแรงได้
การวินิจฉัยและการรักษา
ตามที่ข้อมูลด้านบนเนื่องจากอาการคล้ายกับโรคระบบทางเดินหายใจอื่น ๆ ดังนั้นการวินิจฉัยไวรัส hMPV จำเป็นต้องอาศัยการตรวจเฉพาะ แพทย์อาจใช้วิธีการต่อไปนี้
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย: ประเมินอาการเบื้องต้น เช่น ไข้ ไอ หายใจลำบาก
- ตรวจหาเชื้อจากสารคัดหลั่ง: เก็บตัวอย่างจากโพรงจมูกหรือลำคอเพื่อทดสอบเชื้อไวรัสด้วยวิธี RT-PCR (Reverse Transcription Polymerase Chain Reaction) ซึ่งมีความแม่นยำสูง โดยการเก็บตัวอย่างจากสารคัดหลั่งในจมูกหรือคอ (เช่น สวอปจากจมูกหรือคอ)
- การตรวจเลือด การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันต่อไวรัส hMPV สามารถช่วยในการตรวจสอบการติดเชื้อในระยะยาว หรือการติดเชื้อในอดีต แต่ไม่ใช่วิธีที่ใช้ในการวินิจฉัยในระยะเฉียบพลันหรือระยะแรก
- เอกซเรย์ปอด (ในบางกรณี): ใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง เพื่อตรวจสอบว่ามีภาวะปอดบวมหรือไม่
การรักษาตามอาการ
ส่วนใหญ่จะเน้นที่การบรรเทาอาการ โดยในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงสามารถดูแลที่บ้านได้ เช่น การพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ และใช้ยาลดไข้
แต่ถ้าหากมีอาการรุนแรงขึ้นหรือมีอาการแทรกซ้อน เช่น หายใจลำบากหรือปอดบวม ควรไปพบแพทย์ทันที ผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งอาจรวมถึงการให้ออกซิเจน การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และการรักษาภาวะแทรกซ้อน การรักษาในกรณีนี้จะเน้นการดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอันตรายจากภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
วิธีป้องกันการติดเชื้อในชีวิตประจำวัน
การป้องกันการติดเชื้อ hMPV ในชีวิตประจำวันสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยการรักษาสุขอนามัยที่ดี เช่น
- ล้างมือบ่อย ๆ ใช้เจลล้างมือ
- แยกของใช้ส่วนตัว
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสหน้าตา
- การใส่หน้ากากอนามัย
- การรักษาระยะห่างจากผู้ป่วยหรือคนที่มีอาการทางเดินหายใจ
จะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สถานการณ์การแพร่ระบาดของ hMPV ในปัจจุบัน
เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคม ปี 2567 ที่ผ่านมา สื่อสังคมออนไลน์ของจีนได้มีการแชร์ภาพที่มีผู้คนจำนวนมากกลับมาสวมหน้ากากอนามัยในโรงพยาบาลและต่อแถวยาวเหยียด จึงทำให้คนในโซเชียลเชื่อกันว่ากำลังมีการระบาดของไวรัสชนิดนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์การระบาดของ โควิด-19 เมื่อ 5 ปีก่อน
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของจีนรายงานโดยไม่เปิดเผยตัวเลขเมื่อวันที่ 2 ม.ค. ถึงแนวโน้มของการระบาดโดยรวมเพิ่มขึ้นในช่วง 23-29 ธ.ค 67 สอดรับกับตัวเลขระหว่างวันที่ 16-23 ธ.ค. และผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อเผยกับซีเอ็นเอว่า การติดเชื้อที่เพิ่มมากขึ้นในจีน “สอดคล้องกับรูปแบบทั่วโลก” ที่จำนวนผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นช่วงปลายฤดูหนาว (กรุงเทพธุรกิจ)
วันที่ 6 มกราคม 2568 สำนักข่าว Independent ได้รายงานว่าประเทศจีนกำลังรับมือกับการระบาดของไวรัส hMPV โดยมีข้อมูลจากโซเชียลระบุว่ามีการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่ง โดยเฉพาะโรงพยาบาลเด็ก เกิดความแออัดเนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมากมาจากโรคปอดบวมและติดเชื้อในปอด นอกจากนี้ยังมีการกล่าวว่ามีการแพร่ระบาดของไวรัสหลายๆชนิดพร้อมกันอีกด้วย เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ COVID-19 อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีข่าวลือว่า จีนได้ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ (THAI PBS)
เฝ้าระวังและควบคุมโรคของหน่วยงานสาธารณสุขในไทย
แม้ว่าจะมีรายงานการระบาดของไวรัส hMPV ในหลายประเทศ โดยในประเทศไทยนั้น ขณะนี้ยังไม่มีรายงานกลุ่มก้อนการระบาดของไวรัสเอชเอ็มพีวี(hMPV) จุดประสานงานกฎอนามัยระหว่างประเทศ หรือ IHR NFP ได้ประสานไปยังจีน และองค์การอนามัยโลก(WHO)เพื่อขอแบ่งปันข้อมูลแล้ว
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังโรคระบบทางเดินหายใจที่มีความเข้มงวดในสามชั้น ได้แก่ ช่องทางเข้าประเทศ โรงพยาบาล และในชุมชน อีกทั้งยังมีการสุ่มตรวจได้มีมีการสุ่มตรวจเชื้อในโรงพยาบาลที่กำหนด โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการระบาดที่เกิดขึ้น และโรงพยาบาลทุกระดับมีศักยภาพและความพร้อมในการดูแลผู้ป่วย แต่ยังคงต้องระมัดระวังและแจ้งเตือนเครือข่ายให้เฝ้าระวังเพื่อป้องกันการระบาดในอนาคต “ไวรัส hMPV ที่ระบาดในประเทศจีน เป็นไวรัสที่เกิดขึ้นตามปกติของฤดูกาลในแต่ละปี ไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นไม่สามารถรักษาได้
ในการป้องกันโรค ทำได้ด้วยการรักษาสุขอนามัย กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือให้สะอาด การสวมหน้ากากอนามัยเมื่อเจ็บป่วย ไอ และการหลีกเลี่ยงการติดต่อใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอหรือจาม
อ้างอิง: medicallinelab ,โรงพยาบาลกรุงเทพ







