'ไซนัสอักเสบ' ไม่ใช่ไข้หวัด เช็กอาการ พร้อมวิธีรักษา ดูแลตัวเอง

หลายคนเมื่อมี “อาการคัดจมูก มีน้ำมูก หรือไอแบบมีเสมหะ” มักมองว่าตนเองเป็นไข้หวัด แต่แท้จริงแล้ว อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงอาการของโรคไข้หวัดเท่านั้น
KEY
POINTS
-
โรคไซนัสอักเสบจะมีอาการสำคัญ 3 อย่าง คือ แน่นจมูก ปวดบริเวณตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของโพรงไซนัส และมีน้ำมูกหรือเสมหะข้น
-
ไซนัสอักเสบบางชนิดไม่เป็นอันตราย แต่หากไม่รักษา ปล่อยให้ลุกลามไปสู่ลูกตา… ทำให้ตาบอด หรืออักเสบจากหน้าผากลามเข้าไปทำให้เกิดฝีในสมองได้
-
โรคในระบบทางเดินหายใจมักติดต่อผ่านทางอากาศ หากเราหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอแบบไม่หักโหม หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำขณะเป็นหวัดหรือกำลังจะเป็นหวัด
หลายคนเมื่อมี “อาการคัดจมูก มีน้ำมูก หรือไอแบบมีเสมหะ” มักมองว่าตนเองเป็นไข้หวัด แต่แท้จริงแล้ว อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงอาการของโรคไข้หวัดเท่านั้น แต่ยังพบได้ในผู้ป่วยที่เป็น "ไซนัสอักเสบ" โดยไซนัสอักเสบมักมีอาการที่รุนแรงและยาวนานกว่าไข้หวัด อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้
ดังนั้น เมื่อมีอาการเหล่านี้จึงไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจทำให้เป็นโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้
"ไซนัส (Sinus)" หมายถึง โพรงอากาศโล่งๆ ในกะโหลกศีรษะที่อยู่รอบๆ โพรงจมูก ซึ่งจะมีอยู่ข้างละ 4 โพรง ได้แก่ บริเวณระหว่างตาทั้งสองข้าง แก้ม หน้าผาก และใต้ฐานกะโหลกศีรษะ หากโพรงไซนัสเหล่านี้ติดเชื้อและเกิดอาการอักเสบขึ้น เราจะเรียกโรคนั้นว่าเป็น "ไซนัสอักเสบ" ซึ่งคนทั่วไปมักเรียกสั้นๆ ว่าเป็น “ไซนัส”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
ไซนัสอักเสบจะมีอาการอย่างไร ?
ผศ.นพ.กิติ ขนบธรรมชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง หู คอ จมูก และหัวหน้าแผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลพญาไท 2 อธิบายถึงการวินิจฉัยผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบไว้ว่า สามารถพิจารณาได้จากอาการสำคัญ 3 อย่าง คือ
- แน่นจมูก
- ปวดบริเวณตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของโพรงไซนัส
- มีน้ำมูกหรือเสมหะข้น
ปกติ หากเป็นไข้หวัดธรรมดาๆ อาการของผู้ป่วยมักจะหายเองได้ภายใน 7-10 วัน แต่ถ้ามีอาการลักษณะคล้ายไข้หวัดเกิน 10 วัน ประกอบกับมี 3 อาการบ่งชี้ดังกล่าว สันนิษฐานได้ว่าผู้ป่วยน่าจะเป็นไซนัสอักเสบ ซึ่งความยืดเยื้อเรื้อรังของโรคจะขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส หากสาเหตุมาจากไวรัส ผู้ป่วยบางคนอาจสามารถหายเป็นปกติเองได้
ใครก็ตาม หากมีอาการคล้ายเป็นไซนัสอักเสบแล้วอาการแย่ลง เช่น ปวดบริเวณตำแหน่งของโพรงไซนัสเพิ่มเป็นหลายจุด ปวดรุนแรงขึ้น หรือเสมหะที่เคยเป็นสีขุ่นๆ กลายเป็นสีเขียว และมีปริมาณเสมหะมากขึ้น หรือคัดจมูกมากขึ้น อาจเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยติดเชื้อแบคทีเรียเพิ่ม ซึ่งอาจจะต้องได้รับยาปฏิชีวนะเพื่อการฆ่าเชื้อ
โรคไซนัสอักเสบเฉียบพลัน
โรคไซนัสอักเสบเฉียบพลัน คืออาการที่โพรงจมูกบวมและติดเชื้อ ขัดขวางการระบายน้ำมูกและทำให้น้ำมูกคั่งค้าง ผู้ป่วยอาจหายใจผ่านจมูกได้ไม่สะดวก ติดขัด มีอาการปวดศีรษะหรือปวดตุบ ๆ บนใบหน้า อาจมีอาการบวมรอบดวงตา
โดยทั่วไปอาการโรคไซนัสอักเสบเฉียบพลันมักเกิดจากโรคไข้หวัด โดยอาการมักหายได้เองภายใน 7-10 วันหากไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย ผู้ป่วยสามารถบรรเทาอาการได้เองที่บ้าน แต่หากอาการไม่ดีขึ้นหลังทานยา และมีอาการนานเกิน 3 เดือน อาจเป็นโรคไซนัสอักเสบเรื้อรัง
ความแตกต่างระหว่างไซนัสอักเสบกับไข้หวัด
สาเหตุ
- ไซนัสอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือเชื้อรา โดยมักเกิดหลังจากไข้หวัดที่ทำให้มีการอักเสบของไซนัส
- ไข้หวัด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดทั่วไป โดยมักเกิดขึ้นหลังจากสัมผัสกับผู้ป่วยหรือสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ
ระยะเวลา
- ไซนัสอักเสบเฉียบพลัน : อาจมีอาการนานกว่า 10 วัน และไซนัสอักเสบเรื้อรังอาจกินเวลานานกว่า 12 สัปดาห์
- ไข้หวัด : อาการมักจะอยู่ประมาณ 7-10 วัน และจะดีขึ้นเอง
อาการ
- ไซนัสอักเสบ : ปวดศีรษะ ปวดบริเวณใบหน้า คัดจมูก มีน้ำมูกสีเขียวหรือเหลือง และมีอาการไอที่เกิดจากน้ำมูกไหลลงคอ
- ไข้หวัด : อาการทั่วไปประกอบด้วยน้ำมูกไหล เจ็บคอ มีไข้ต่ำ ไอ และอ่อนเพลีย
การรักษา
- ไซนัสอักเสบ : อาจต้องการการรักษาที่เข้มข้นขึ้น เช่น ยาปฏิชีวนะ (ในกรณีที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย) และการบรรเทาอาการด้วยยาลดไข้และยาแก้ปวด
- ไข้หวัด : มักไม่ต้องการการรักษาเฉพาะ แต่ใช้ยาลดไข้และยาบรรเทาอาการ
ไซนัส…อาจลุกลามถึงขั้น “ตาบอด” ได้
ไซนัสอักเสบบางชนิดไม่เป็นอันตราย แต่บางชนิดสามารถลุกลามไปสู่ลูกตา… ทำให้ตาบอดได้! หรืออักเสบจากหน้าผากลามเข้าไปทำให้เกิดฝีในสมอง ในคนปกติทั่วไปโอกาสที่ไซนัสอักเสบจะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงถึงขั้นนี้มีน้อย
ส่วนใหญ่รักษาด้วยการใช้ยาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ ไซนัสก็สามารถหายได้ ยกเว้นในผู้ป่วยที่ภูมิคุ้มกันไม่ดี เช่น ป่วยเป็นโรคเบาหวาน คนที่ผ่าตัดอวัยวะแล้วต้องกินยากดภูมิคุ้มกันไว้ คนที่มีโครงสร้างในจมูกไม่ดี เช่น มีผนังจมูกคด มีเนื้องอก มีริดสีดวงในจมูกไปอุดตันช่องระบายอากาศของโพรงไซนัส อาจทำให้การรักษาตามวิธีปกติไม่ค่อยได้ผล
ข้อควรปฏิบัติเมื่อเป็นไซนัสอักเสบ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ห้ามว่ายน้ำเด็ดขาด
- รักษาร่างกายให้อบอุ่น ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในห้องที่แอร์เย็น ต้องใส่เสื้อผ้าให้อุ่น
- หลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิฉับพลัน เช่น จากร้อนมากไปเย็นจัดในทันทีทันใด
- งดดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อจมูกบวม
- หลีกเลี่ยงสถานที่ที่อากาศไม่ดี เช่น บริเวณที่มีคนสูบบุหรี่ ที่จอดรถใต้ดินที่ระบายควันได้น้อย สถานที่ที่มีควันไฟ ควันธูป ควันยากันยุง เพราะควันมีผลทำให้เนื้อเยื่อจมูกบวมมากขึ้น
ถ้ารักษาถูกวิธีมีโอกาสหายได้
เมื่อมาพบแพทย์ ผู้ป่วยมักจะได้รับยาบรรเทาอาการปวด และคำแนะนำในการลดความบวมของเนื้อเยื่อจมูก อาจเป็นการล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นที่สะอาดอย่างถูกวิธี หรือให้ยากิน ยาพ่นจมูกลดความบวม ถ้าพบว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ก็ต้องรับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเพิ่ม
ถ้าสภาวะอากาศดี ไม่มีฝนตก ไม่มีควัน อากาศไม่หนาวมากและผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โพรงจมูกข้างในไม่มีตัวถ่วงการรักษา เช่น มีเนื้องอกริดสีดวงจมูก ผู้ป่วยมักหายดีได้ภายในสองอาทิตย์ แต่สิ่งสำคัญ คือ ถึงแม้อาการจะดีขึ้นแล้ว ก็ควรมาพบแพทย์อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหายสนิทอย่างแท้จริง มิฉะนั้น โรคอาจสงบลงช่วงหนึ่งและกำเริบขึ้นมาอีก ทำให้ผู้ป่วยเข้าใจผิดว่าเป็นไซนัสอักเสบแล้วรักษาไม่หาย
บรรเทาอาการไซนัสอักเสบ ด้วยการล้างจมูก
- เตรียมน้ำเกลือล้างจมูกใส่ขวดสำหรับล้างจมูกโดยเฉพาะ
- ก้มหน้าลงและแหย่ปลายขวดเข้าไปในรูจมูก
- กลั้นหายใจทางจมูกพร้อมกับอ้าปากค้างไว้
- ค่อยๆ บีบขวดเบาๆ ให้น้ำเกลือเข้าทางรูจมูกข้างหนึ่ง (ถ้าปลายขวดอยู่ที่รูจมูกข้างขวา น้ำเกลือจะต้องไหลออกทางรูจมูกข้างซ้าย)
- ทำซ้ำๆ จนรู้สึกว่าน้ำมูกไม่ข้นแล้ว จากนั้นจึงสั่งน้ำมูกที่เหลือออกจนหมด
- ล้างจมูกอีกข้างหนึ่งด้วยวิธีเดียวกัน
ใช้ชีวิตให้ห่างไกลไซนัสอักเสบ
โรคในระบบทางเดินหายใจมักติดต่อผ่านทางอากาศ หากเราหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรง นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอแบบไม่หักโหม หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำขณะเป็นหวัดหรือกำลังจะเป็นหวัด อยู่ในที่อุณหภูมิพอเหมาะไม่เย็นจัดหรือมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิแบบฉับพลัน ไม่ไปที่ที่มีคนมากๆ ถ้าไม่จำเป็น เช่น ไปงานนิทรรศการ ไปห้างสรรพสินค้า หากต้องไปควรใส่หน้ากากอนามัยและอยู่ให้ห่างจากคนที่มีอาการไอ จาม หากพบว่าตัวเองเป็นหวัดก็รีบเข้ารับการรักษาให้หายแต่เนิ่นๆ การปฏิบัติตัวตามแนวทางนี้ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไซนัสอักเสบได้
หากสงสัยว่าเป็นไซนัสอักเสบ ผู้ป่วยควรมาพบแพทย์หู คอ จมูก โดยตรง เนื่องจากแพทย์เฉพาะทางจะมีกล้องส่องเข้าไปในโพรงจมูก จุดใดที่ล้างจมูกไม่ถึงหรือมีความบวมมาก แพทย์สามารถใส่ยาที่ตำแหน่งนั้นและดูดน้ำมูก เสมหะ หรือหนองที่คั่งค้างติดอยู่ในโพรงไซนัสออกมาได้ ทำให้ระบายเชื้อโรคออกมาได้เร็วขึ้น หายป่วยได้ง่ายขึ้น
อ้างอิง : โรงพยาบาลพญาไท , เมดิคอลไลน์แล็บ