โรคใหม่ที่ควรรู้! มากับยุง 'ไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสซิกา'

โรคใหม่ที่ควรรู้! มากับยุง 'ไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสซิกา'

ต้องเฝ้าระวังอย่างเต็มที่...เมื่อประเทศไทยพบผู้ป่วย 'ซิกา' แล้ว 110 ราย ใน 20 จังหวัด พบหญิงตั้งครรภ์ 6 ราย ห่วงมีผลแทรกซ้อนทำให้แท้ง สธ.เร่งกำชับทุกจังหวัดคัดกรองผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์สอบสวนโรค คุมเข้มทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายพาหะนำโรค 

Keypoint:

  • ไทยพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซิกาแล้ว 110 ราย 'หญิงตั้งครรภ์'กลุ่มเสี่ยงเกิดติดเชื้อจะมีผลต่อ 'สมอง' ของทารกเกิดความผิดปกติหรือเกิดภาวะบกพร่อง
  • 'เชื้อไวรัสซิกา' มียุงลายเป็นพาหนะ เป็นพี่น้องตระกูลใกล้กับไข้เลือดออก มีอาการไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว  ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง
  • การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง  และไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยง ไม่เดินทางไปในพื้นที่การระบาดกับยุง และหากมีอาการงดใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน ยาลดไข้กลุ่ม NSAIDs หรือยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอย

จากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสซิกาในประเทศไทย ว่า ตั้งแต่ 1 มกราคม - 19 กรกฎาคม 2566 พบผู้ป่วยแล้ว 110 ราย ใน 20 จังหวัด แนวโน้มผู้ป่วยเริ่มสูงขึ้นช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และสูงสุดในเดือนมิถุนายน จำนวน 30 ราย

ส่วนเดือนกรกฎาคมนี้ พบหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อแล้ว 6 ราย ใน 5 จังหวัด ได้แก่ จันทบุรี 2 ราย พิษณุโลก ระยอง สมุทรสงคราม และตราด จังหวัดละ 1 ราย ซึ่งจะมีความเสี่ยงทำให้เกิดการแท้ง หรือทารกเกิดภาวะศีรษะเล็กได้

จากการติดตามหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อไวรัสซิกาตั้งแต่ปี 2559-2565 จำนวน 241 ราย พบมีการแท้ง 4 ราย เด็กที่คลอดมีภาวะศีรษะเล็กและมีผลบวกต่อไวรัสซิกา 3 ราย  และได้ติดตามพัฒนาการเด็กจนครบ 2 ปี จำนวน 77 ราย พบมีพัฒนาการผิดปกติ 4 ราย

สำหรับการเฝ้าระวังทารกแรกคลอด 2,187 ราย พบความผิดปกติแต่กำเนิดที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัสซิกา 15 ราย สามารถติดตามพัฒนาการจนครบ 2 ปี ได้ 4 ราย พบความผิดปกติด้านพัฒนาการถึง 3 ราย ขณะที่การเฝ้าระวังกลุ่มอาการผิดปกติของระบบประสาทส่วนปลาย (Guillain Barre' syndrome :GBS) 145 ราย พบสัมพันธ์กับไวรัสซิกา 5 ราย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

รู้ทันสัญญาณเตือน 'ไข้เลือดออก' ดูแลตัวเองอย่างไร? ไม่ให้ป่วย

ไวรัสซิกา คืออะไร? เหมือนหรือต่างโรคไข้เลือดออก 

'ไวรัสซิกา' เป็นไวรัสซึ่งอยู่ในตระกูลฟลาวิไวรัส (Flavivirus) จำพวกเดียวกับไวรัสไข้เหลือง ไวรัสเดงกี ไวรัสเวสต์ไนล์ และไวรัสไข้สมองอักเสบเจอี ซิกาไวรัสสามารถติดต่อได้จากยุงกัด ผู้ป่วยจากไวรัสซิกาจะมีไข้ อาจจะมีผื่น ปวดตามข้อ และตาแดง โดยปกติแล้วอาการโดยรวมจะไม่รุนแรงมากและหายได้เองภายในไม่กี่วัน ผู้ป่วยอาการหนักพบได้น้อย และอาจต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล

ต้นเหตุที่ทำให้เกิดไวรัสซิกา คือ เจ้ายุงลายเป็นพาหะสำคัญของไวรัสซิกา ซึ่งเป็นพาหะนำโรคชนิดเดียวกับไวรัสไข้เลือดออกเดงกี่และไข้เลือดออกชิคุนกุนย่า ยุงลายชอบวางไข่ในน้ำนิ่งและสะอาด เช่น แหล่งน้ำในครัวเรือน

"มีรายงานพบว่าหญิงที่ใกล้จะคลอดบุตรสามารถถ่ายทอดเชื้อสู่บุตรได้ และมีรายงานว่าเชื้อไวรัสสามารถผ่านทางน้ำนมได้ อย่างไรก็ตามกลไกในการถ่ายทอดเชื้อผ่านการตั้งครรภ์และน้ำนมนั้นยังไม่ชัดเจน และพบได้น้อยมาก"

โรคใหม่ที่ควรรู้! มากับยุง \'ไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสซิกา\'

พญ.ชัญญาพัทธ์ ภูริภคธร กุมารแพทย์ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล กล่าวว่า โรคไข้ซิกา(Zika fever)  ถูกค้นพบครั้งแรกในปี พ.ศ.2490 จากลิงที่ใช้ในการศึกษาไข้เหลืองในป่าซิกา ประเทศยูกันดา และต่อมามีการพบเชื้อในคนเมื่อปี พ.ศ.2495 ในประเทศยูกันดา หลังจากนั้น มีการระบาดของโรคซิกา ในประเทศแถบ แอฟริกา อเมริกา เอเชีย และหมู่เกาะแปซิฟิก

สำหรับประเทศไทย มีการตรวจพบผู้ป่วยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 จากนั้นมีการพบผู้ป่วยทุกปีประมาณ 2-5 ราย เป็นโรคที่พบได้ทุกเพศทุกวัย เชื้อไวรัสซิกาเป็นเชื้อที่มียุงลายเป็นพาหะซึ่งเป็นยุงชนิดเดียวกับยุงที่เป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก และไข้เหลือง สามารถติดต่อได้โดยการถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด และโรคนี้ยังสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้โดยผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์

 

ตรวจสอบอาการติดเชื้อไวรัสซิกา 

ทั่วไปพบว่าราว 1 ใน 5 ของผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสซิกานั้นจะป่วยและแสดงอาการ  ซึ่งเมื่อได้รับเชื้อระยะฟักตัวอยู่ที่ประมาณ 3-12 วัน

ส่วนใหญ่มักมีอาการไข้ ผื่นแดง ปวดเมื่อยตามตัว  ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย เยื่อบุตาอักเสบ ตาแดง ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน โดยจะคล้ายกับไข้หวัดและจะเป็นอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์แล้วหายไป

โดยจะมีอาการที่ไม่รุนแรง และจะมีอาการเหล่านี้อยู่ประมาณ 2-7 วัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ไม่รุนแรงเท่าโรคไข้เลือดออก ส่วนน้อยที่มีภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้พบอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างน้อย ยกเว้นในหญิงตั้งครรภ์ซึ่งอาจจะส่งผลให้ทารกที่คลอดมามีศีรษะเล็กกว่าปกติ

อย่างไรก็ตาม ไวรัสซิก้าเป็นพี่น้องตระกูลใกล้กับไข้เลือดออก ฉะนั้น อาการที่แสดงออกมาก็จะมีอาการคล้าย ๆ กัน เช่น มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ผื่นขึ้น และอีกลักษณะที่พบได้บ่อยกว่าคือ ตาแดงแบบไม่มีขี้ตา เนื่องจากเราทราบแล้วว่าโรคนี้มีพาหะนำโดยยุงลาย ซึ่งสามารถนำไวรัสไข้เลือดออกได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานชัดเจนมากขึ้นด้วยว่าไวรัสชนิดนี้อาจติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย

โรคใหม่ที่ควรรู้! มากับยุง \'ไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสซิกา\'

ไข้ซิกาจะต่างจากโรคตาแดง

ไข้ซิกาจะต่างจากโรคตาแดง ตรงที่ถ้าเป็นตาแดงจะไม่มีไข้ ไม่มีขี้ตามาก ผื่นไม่ขึ้นตามตัวไม่ปวดข้อ  โดยโรคตาแดงจะแสดงอาการทางตาเป็นหลักเท่านั้น แต่ถ้าเป็นไข้ซิกาจะมีหลายๆอาการทั้งเป็นไข้ มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง รวมถึงมีอาการตาแดง และปวดตามข้อร่วมด้วย

แม้โรคนี้จะมีอาการไม่รุนแรง แที่ทำให้ทั่วโลกสนใจ น่าจะเป็นเพราะมีการระบาดในพื้นที่อื่นๆ เพิ่มขึ้น และพบว่ามีภาวะทำให้ศีรษะเด็กเล็ก หากแม่ได้รับเชื้อในระหว่างตั้งครรภ์ ถ้ามีอาการเข้าข่ายโรคนี้ควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาต่อไป

ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะเป็นโรคนี้ได้แก่  ผู้ที่เดินทางไปในพื้นที่ ที่มีการระบาดโดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ เพราะอาจติดเชื้อแล้วทำให้ทารกคลอดมามีศีรษะเล็กกว่าปกติ หรือมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้

การตรวจวินิจฉัยและรักษาติดเชื้อไวรัสซิกา

แพทย์อาจซักประวัติว่าผู้ป่วยเดินทางไปยังประเทศที่เสี่ยงมาหรือไม่ อาการของโรคโดยรวมนั้นคล้ายกับไข้หวัดใหญ่หรือไข้เลือดออก ดังนั้นในประเทศไทยแพทย์จะต้องวินิจฉัยแยกโรคจากไข้หวัดใหญ่และไข้เลือดออกด้วย

รักษาไวรัสซิกา : ส่วนใหญ่เป็นการดูแลตามอาการเป็นหลัก เนื่องจากโรคซิกายังเป็นโรคที่ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง และยังไม่มีวัคซีนป้องกัน ดังนั้นผู้ป่วยจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานยาลดไข้ในกลุ่มพาราเซตามอล

"การงดใช้ยาแก้ปวด ยาแอสไพริน และลดไข้กลุ่ม NSAIDs  หรือยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอย เนื่องจากรบกวนการทำงานของเกล็ดเลือดและเสี่ยงต่อการมีเลือดออกง่าย และหากอาการไม่ดีขึ้นควรรีบพบแพทย์"

โรคใหม่ที่ควรรู้! มากับยุง \'ไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสซิกา\'

ความบกพร่องของทารก..ที่เกิดจากแม่ติดเชื้อไวรัสซิก้า

นพ.ดร.นพพร อภิวัฒนากุล ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่าไวรัสชนิดนี้ เป็นเชื้อไวรัสในตระกูล flavivirus ที่มียุงเป็นพาหะนำโรค โดยเป็นยุงชนิดเดียวกันกับ 'ไวรัสไข้เลือดออก' ซึ่งหากถูกยุงที่มีเชื้อไวรัสซิกากัด ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์เกิดติดเชื้อไวรัสซิก้า ไวรัสนี้จะมีผลทำให้ 'สมอง' ของทารกเกิดความผิดปกติหรือเกิดภาวะบกพร่อง เช่น Microcephaly หรือภาวะศีรษะเล็ก เป็นภาวะที่ศีรษะของทารกมีขนาดเส้นรอบศีรษะเล็กกว่าทารกวัยเดียวกัน พร้อมทั้งยังส่งผลต่อการพัฒนาทางด้านสมอง ทำให้ทารกอาจเติบโตไปเป็นเด็กที่มีความพิการได้

เมื่อตั้งครรภ์..ต้องป้องกันตัวเองจากไวรัสซิก้าอย่างไร?

การป้องกันที่นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด คือ การไม่ทำให้ตัวเองตกอยู่ในความเสี่ยงจากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมาแล้ว เช่น ไม่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่เชื้อไวรัสโดยยุง ใช้ถุงยางอนามัยหรืองดการมีเพศสัมพันธ์หากสามีของคุณเพิ่งเดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสนี้

เพื่อปกป้องลูกน้อยในครรภ์…ตลอดจนลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน คุณแม่ตั้งครรภ์ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงทั้งที่แสดงอาการและไม่แสดงอาการ ควรเดินทางมาพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย

โรคใหม่ที่ควรรู้! มากับยุง \'ไข้เลือดออก-เชื้อไวรัสซิกา\'

ป้องกันอย่างไร? ไม่ให้ติดเชื้อไวรัสซิกา

การป้องกันไวรัสซิกา ทำได้โดยป้องกันยุงกัดเป็นหลัก หลักการป้องกันและควบคุมโรคในไทยสามารถใช้หลักการเดียวกับการป้องกันไข้เลือดออก โดยธรรมชาติของยุงลายจะชอบกัดในเวลากลางวัน การสวมเสื้อผ้ามิดชิด อยู่ในมุ้งหรือใช้มุ้งลวด ช่วยลดความเสี่ยงของการโดนยุงกัดได้ สิ่งสำคัญคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ซึ่งมักเป็นภาชนะที่มีน้ำขังในครัวเรือน เช่น ถ้วยชามที่มีน้ำขัง เศษขยะ เป็นต้น

  1. ระมัดระวังไม่ให้ยุงกัด
  2. ใช้ยากำจัดแมลงหรือยาทาป้องกันยุงกัด
  3. นอนในมุ้ง และปิดหน้าต่าง ปิดประตู
  4. สวมเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวให้มิดชิด
  5. กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
  6. หากมีไข้ ออกผื่น ตาแดง ปวดข้อ ให้พบแพทย์โดยด่วน
  7. หญิงตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาด (ส่วนใหญ่คือประเทศแถบอเมริกาใต้)

เนื่องจากมีความกังวลถึงความเชื่อมโยงระหว่างการติดเชื้อไวรัสซิกากับความผิดปกติของการตั้งครรภ์ จึงแนะนำให้หญิงตั้งครรภ์หรือมีแนวโน้มจะตั้งครรภ์หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการระบาด เนื่องจากไวรัสซิกาติดต่อจากยุงลายกัด ดังนั้นตัวไวรัสจะไม่สามารถถ่ายทอดได้โดยตรงจากการสัมผัสหรือไอจาม

อย่างไรก็ตามในประเทศไทยบางครั้งอาการเจ็บป่วยไวรัสซิกาแยกจากไข้หวัดใหญ่ได้ยาก จึงควรมีมาตรการป้องกัน เมื่อเข้าใกล้ผู้ที่มีกลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น การล้างมือ การไอจามต้องปิดปากทุกครั้ง ฯลฯ

อ้างอิง: โรงพยาบาลกรุงเทพ, โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ,กรมควบคุมโรค ,รามา แชนแนล