กทม.พร้อมรับมือ 'โควิด-19' หลังสงกรานต์ เตือนประชาชนสังเกตอาการ 1-2 สัปดาห์

กทม.พร้อมรับมือ 'โควิด-19' หลังสงกรานต์ เตือนประชาชนสังเกตอาการ 1-2 สัปดาห์

กทม.พร้อมรับมือ "โควิด-19" หลังสงกรานต์ เตือนประชาชนสังเกตอาการ 1-2 สัปดาห์ ยึดปฏิบัติ 3 ข้อ ใส่หน้ากาก-เว้นระยะห่าง-ล้างมือ

เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 66 นพ.สุขสันต์ กิตติศุภกร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ผ่านโทรศัพท์ในประเด็น กรุงเทพมหานครกับการเตรียมความพร้อมมาตรการเฝ้าระวัง "โควิด 19" หลังสงกรานต์ ในรายการ METRO HOUR ซึ่งออกอากาศสดทางเฟซบุ๊กเพจ Metro Life FM. 95.5 MHz ว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา หลายพื้นที่ในกรุงเทพฯ ได้มีการจัดงานสงกรานต์ ทำให้เกิดการรวมตัวกันเล่นน้ำสงกรานต์ ประกอบกับประชาชนบางส่วนได้เดินทางกลับไปพบปะเยี่ยมเยียนพ่อแม่พี่น้องของตนเอง ทำให้เกิดการรวมตัวกันเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่าตัวเลขผู้ป่วยก่อนสงกรานต์จนถึงสัปดาห์สงกรานต์มีจำนวนมากขึ้น จำนวนผู้ที่นอนโรงพยาบาลสูงขึ้น แต่ผู้ป่วยเสียชีวิตยังคงไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ

กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีหน้าที่ในการดูแลสุขภาพของประชาชนชาวกรุงเทพฯ ได้ร่วมกับทางกระทรวงสาธารณสุข ในการติดตามจำนวนผู้ป่วยโควิด โดยจะต้องติดตามในสัปดาห์ถัดไปอีกอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อดูแนวโน้มและเฝ้าระวัง รวมถึงการให้คำแนะนำกับประชาชนด้วย

สำหรับประชาชนที่เดินทางกลับมาจากการเล่นน้ำสงกรานต์ หรือไปในที่ที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก ขอให้สังเกตตัวเอง โดยขอความร่วมมือนำมาตรการโควิดในช่วงที่มีการระบาดมาใช้ เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม ถ้าคิดว่าตัวเองยังไม่แน่ใจก็อย่าไปนั่งทางเข้าร่วมกับคนอื่น หรือเว้นระยะห่างประมาณ 1-2 เมตร การใส่หน้ากากอนามัย และการล้างมือ

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง : 

ในส่วนของประชาชนที่มีพ่อแม่พี่น้องที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 ได้แก่ ผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ผู้มีโรคประจำตัวใน 7 กลุ่มโรค (โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน) และกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ ขอให้เว้นระยะในการพบปะกัน ให้ผ่านช่วงนี้ไปสักประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อสังเกตว่าตัวเองมีอาการของโควิดหรือไม่ ซึ่งอาการของโควิดที่สังเกตได้ง่าย ๆ ก็คือ ไข้ ไอ หวัด เจ็บคอ เหมือนอาการหวัดทั่วไป

  • พบโควิดสายพันธุ์ใหม่ 7-10% แนวโน้มอาจระบาดมากขึ้น ยังต้องเฝ้าระวัง อาการเหมือนเดิม เพิ่มเติมตาแดง

รองปลัดฯ กทม. กล่าวต่อไปว่า สำหรับในเรื่องของโควิดสายพันธุ์ใหม่ จากการประชุม EOC (Emergency Operation Center หรือ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน) เช้านี้ ยังพบว่าสายพันธุ์ที่ระบาดในพื้นที่ประเทศไทยรวมทั้งพื้นที่กรุงเทพฯ ยังเป็นสายพันธุ์ XBB.1.5 อยู่ถึงเกิด 47% ส่วนสายพันธุ์ใหม่ XBB.1.16 ที่เราพบในรายงาน จะมีอยู่แค่ประมาณ 7-10% อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอาจจะพบการระบาดมากขึ้นเช่นเดียวกับทั่วโลก ฉะนั้น เราต้องเฝ้าระวังสายพันธุ์ XBB.1.16 ด้วย

โดยสายพันธุ์ใหม่นั้นไม่มีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตมากขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ยังคงเหมือนสายพันธุ์เดิม ทั้งการเจ็บป่วย รวมทั้งอัตราการนอนโรงพยาบาล และอัตราการเสียชีวิต หากถามว่าสายพันธุ์นี้น่ากลัวหรือไม่ ตอนนี้ยังมีข้อมูลไม่มากนัก แต่เท่าที่ดูตัวเลขจากทั่วโลก มีอัตราการระบาดง่ายกว่าสายพันธุ์เดิม 5 เท่า แต่อาการไม่ได้รุนแรง ไม่ได้ทำให้ต้องนอนโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น สามารถรักษาแบบผู้ป่วยนอก ใช้ยาทั่วไปได้ เหมือนการรักษาที่ผ่านมา

อาการของเชื้อสายพันธุ์ใหม่เหมือนไข้หวัดทั่วไป แต่มีลักษณะพิเศษที่อาจจะมีเยื่อบุตาแดงหรือตาอักเสบเพิ่มเติม ดังนั้น ในช่วงนี้หากมีอาการก็ขอให้เว้นระยะจากผู้อื่น ตรวจ ATK ซึ่งไม่ว่าจะสายพันธุ์ไหน ATK ก็ยังสามารถใช้ตรวจเบื้องต้นได้ หากอาการน่าสงสัย สามารถตรวจ ATK ได้ทุก 1-2 วัน ถ้าผลเป็นบวกก็สามารถไปรับยาตามสิทธิ์การรักษาได้ ณ ศูนย์บริการสาธารณสุข (ศบส.) ของกทม. ทั้ง 69 ศูนย์ โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ 11 โรงพยาบาล และโรงพยาบาลวชิรพยาบาล รวมทั้งโรงพยาบาลในสังกัดของกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

  • แนะประชาชนทั่วไปกระตุ้นวัคซีนปีละ 1 ครั้ง กลุ่ม 608 ปีละ 2 ครั้ง

ส่วนในเรื่องวัคซีนนั้น ได้มีคำแนะนำสำหรับประชาชนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนหรือฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็ม ให้ไปรับบริการฉีดวัคซีนได้ ทั้งที่ ศบส. 69 แห่ง โรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ 11 แห่ง โรงพยาบาลวชิรพยาบาล และ โรงพยาบาลในสังกัดของกรมการแพทย์ ตามวันและเวลาที่แต่ละแห่งให้บริการ

ในกรณีประชาชนทั่วไป ได้มีคำแนะนำใหม่ จากที่ก่อนหน้านี้ให้ฉีดกระตุ้นหลังเข็มล่าสุด 4 เดือน ปรับเป็นฉีดปีละ 1 ครั้ง โดยอาจจะเริ่มฉีดในช่วงนี้หรือเดือนพฤษภาคม 2566 ร่วมกับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะมีการนำวัคซีนไข้หวัดใหญ่มาให้บริการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ส่วนในกรณีผู้มีความเสี่ยง 608 ควรจะฉีดปีละ 2 ครั้ง โดยกรุงเทพมหานครได้มีการสำรองทั้งยาและวัคซีนไว้อย่างเพียงพอ

  • หมดกังวล...ยาและเตียงเพียงพอ ย้ำ! สังเกตอาการ ใช้มาตรการเดิมเพื่อไม่ให้ระบาดมากขึ้น

ความพร้อมรับมือสถานการณ์ตอนนี้ เรื่องการให้บริการ ทั้ง 12 โรงพยาบาล ยังมีคลินิก ARI หรือคลินิกโรคทางเดินหายใจให้บริการอยู่ ฉะนั้น คนไข้ที่มีอาการคล้ายโควิดหรือเป็นหวัดก็จะถูกแยกตรวจ และถ้าอาการน่าสงสัยคุณหมอก็ตรวจ ATK ให้ แล้วก็จะจ่ายยาให้ตามสิทธิและตามอาการ ซึ่งยามีเพียงพอแน่นอน ส่วนเรื่องเตียงผู้ป่วย ตอนนี้ใน 12 โรงพยาบาล มีการสำรองเตียงโควิดไว้ 130 เตียง ให้บริการอยู่ 35 เตียง (ข้อมูล ณ วันที่ 17 เม.ย. 66) หรือประมาณ 26.9% ยังมีเตียงที่สำรองไว้เหลืออยู่มาก ขณะเดียวกัน เราได้มีการเตรียมแผนเอาไว้ด้วย ในกรณีหากมีคนไข้นอนโรงพยาบาลมากขึ้นก็สามารถเพิ่มจำนวนเตียงได้ตามสถานการณ์ ประชาชนจึงไม่ต้องกังวล เรามีเตียงเพียงพอแน่นอนเช่นกัน

สุดท้ายนี้ ขอความร่วมมือพ่อแม่พี่น้องประชาชนที่เดินทางไปพื้นที่สาธารณะหรือไปเล่นน้ำในที่ที่มีการรวมตัวกันจำนวนมาก ให้สังเกตอาการตัวเองเป็นประมาณ 7-10 วัน ว่ามีอาการเป็นไข้หวัด เคืองตาหรือตาแดง หรือมีอาการอะไรหรือไม่ ในระหว่างที่ยังไม่มีอาการ ขอความร่วมมือใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง เหมือนที่เคยปฏิบัติกันมา หากสงสัยให้ตรวจ ATK หรือไปหาหมอ เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้โรคมีการระบาดมากขึ้น