สิทธิผู้บริโภค ตามกฎเกณฑ์สากลและกฎหมายไทย 45 ปีทันยุคสมัยหรือไม่

“เราทุกคนเป็นผู้บริโภค” คำกล่าวนี้ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย เพราะในชีวิตประจำวันทุกคนย่อมต้องบริโภคสินค้าและรับบริการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อการดำรงชีพ
เพื่อความพึงพอใจหรือตามวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไป แต่จะมีสักกี่ท่านที่จะทราบถึงสิทธิของตนเอง “สิทธิผู้บริโภค” ที่กฎหมายรับรองจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องตระหนัก
ย้อนไปในวันที่ 15 มีนาคม ค.ศ. 1962 ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ (John F. Kennedy) แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศ “บัญญัติสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภค” (Consumer Bill of Rights) ประกอบด้วย สิทธิพื้นฐาน 4 ประการ ได้แก่
สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากสินค้าและบริการ สิทธิที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการเลือกหาสินค้าและบริการ และสิทธิที่จะได้รับการพิจารณา
นับว่าเป็นต้นกำเนิดในการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคที่แรกของโลกและวันที่ 15 มีนาคม ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวันสิทธิผู้บริโภคสากล (World Consumer Rights Day)
ต่อมา สหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากล (Consumers International หรือ CI) ที่มีสมาชิกกว่า 200 องค์กร จาก 115 ประเทศทั่วโลกได้ร่วมกันรับรองสิทธิผู้บริโภคสากลไว้ 8 ประการ คือ
1. สิทธิที่จะเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน (The right to basic need) เช่น ยา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย การดูแลสุขภาพ การศึกษาและสุขาภิบาล
2. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและบริการ (The right to safety)
3. สิทธิที่จะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนที่จำเป็นเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ (The right to information)
4. สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าและบริการได้อย่างอิสระ (The right to choose)
5. สิทธิที่จะร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรม (The right to be heard)
6. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและค่าชดเชยความเสียหาย (The right to redress)
7. สิทธิที่จะได้รับความรู้เกี่ยวกับการบริโภค (The right to consumer education)
8. สิทธิที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัย (The right to healthy environment)
ส่วนการคุ้มครองผู้บริโภคตามกฎเกณฑ์สากลระหว่างประเทศนั้น การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (UNCTAD) ได้ออก แนวปฏิบัติขององค์การสหประชาชาติเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค (The United Nations Guidelines for Consumer Protection (UNGCP)) เมื่อปี ค.ศ. 1985 แก้ไขล่าสุดเมื่อปี ค.ศ. 2015
โดยสิทธิของผู้บริโภคที่แนวปฏิบัติมุ่งจะคุ้มครองมี 11 ประการ ใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านสินค้าและบริการและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ด้านข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ด้านการเยียวยาความเสียหาย ด้านความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคและด้านลักษณะเฉพาะของผู้บริโภค ที่เป็นกลุ่มเปราะบางและด้อยโอกาส
ขณะที่ในกลุ่มประเทศอาเซียนมีการจัดทำ แผนยุทธศาสตร์อาเซียนในการดำเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภค (ASEAN Strategic Action Plan for Consumer Protection (ASAPCP)) ค.ศ. 2016-2025
และจัดทำ คู่มือกฎหมายและระเบียบเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคแห่งอาเซียน (Handbook on ASEAN Consumer Protection Law and Regulations) ที่รับรองสิทธิของผู้บริโภค 8 ประการ
ในฝั่งบ้านเรานั้น สิทธิของผู้บริโภคเป็น “สิทธิขั้นพื้นฐาน” ประการหนึ่งของประชาชนชาวไทยจึงได้รับการรับรองไว้ตั้งแต่ในระดับรัฐธรรมนูญ ปรากฏครั้งแรกในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 (รัฐธรรมนูญฯ)
ใจความว่า สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองตามที่กฎหมายบัญญัติ
ต่อมาในรัฐธรรมนูญฯ 2550 ได้กำหนดบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในการได้รับข้อมูลที่เป็นความจริงและสิทธิในการร้องเรียนเพื่อให้ได้รับการเยียวยาแก้ไขความเสียหาย รวมทั้งสิทธิในการรวมตัวกันเพื่อพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค
และรัฐธรรมนูญฯ 2560 ฉบับปัจจุบัน กำหนดบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคและสิทธิในการรวมตัวจัดตั้งองค์กรของผู้บริโภค เพื่อคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของผู้บริโภค
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทที่มีเจตนารมณ์คุ้มครองผู้บริโภค ได้บัญญัติสิทธิของผู้บริโภค 5 ประการ ดังนี้
1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสาร รวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการโฆษณาหรือการแสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัยแก่ผู้บริโภค
รวมตลอดถึงสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอย่างถูกต้อง และเพียงพอที่จะไม่หลงผิดในการซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยไม่เป็นธรรม
2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือรับบริการโดยความสมัครใจของผู้บริโภค และปราศจากการชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม
3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ปลอดภัย มีสภาพและคุณภาพได้มาตรฐาน เหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน ในกรณีใช้ตามคำแนะนำหรือระมัดระวังตามสภาพของสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว
4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับข้อสัญญาโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ
5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองและชดเชยค่าเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคตามข้อ 1, 2, 3, และ 4 ดังกล่าว
อย่างไรก็ดี มีข้อพิจารณาว่ากฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของไทยที่ใช้บังคับมากว่า 45 ปี นั้นปัจจุบันสิทธิของผู้บริโภคได้รับการคุ้มครองเพียงพอ และกฎหมายทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือไม่อย่างไร
ด้วยเป็นที่ทราบกันดีว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคในการอุปโภคบริโภคสินค้าและบริการต่าง ๆ และรูปแบบการจำหน่ายหรือให้บริการเปลี่ยนไปเป็นอันมากทำให้เกิดปัญหาใหม่ ๆ ตามมา
เช่น ปัญหาผู้บริโภคที่เกี่ยวกับสินค้าออนไลน์ ปัญหาการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) มาใช้ในทางมิชอบเป็นเครื่องมือของมิจฉาชีพในการละเมิดสิทธิหลอกลวงผู้บริโภค
ด้วยเหตุนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค ร่วมกับนักวิชาการด้านกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคของไทย จึงมีแนวคิดที่ผลักดันให้มีการขยายสิทธิของผู้บริโภคให้ทัดเทียมกับการรับรองสิทธิในระดับสากล
เช่น สิทธิที่จะใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ สิทธิในการเพิ่มอำนาจต่อรองของผู้บริโภค สนับสนุนองค์กรของผู้บริโภคให้สามารถฟ้องคดีแทนได้ รวมทั้งการเรียกร้องให้ภาครัฐและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องออกมาตรการหรือกฎหมายเพื่อกำกับดูแลการใช้ AI ไม่ให้กระทบกับผู้บริโภค
และหากผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือถูกละเมิดจากการใช้ AI ให้มีสิทธิที่จะร้องเรียนกับหน่วยงานที่กำกับดูแลได้ทันที
จึงเป็นที่น่าจับตาว่าท้ายที่สุดประเด็นเรื่องการคุ้มครองและขยายสิทธิของผู้บริโภคจะได้รับการผลักดันจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากน้อยเพียงใด.







