'ปั้นเด็กเกิดน้อย' ให้มีคุณภาพ แก้ปมคนรุ่นใหม่กลัวมีลูกเป็น 'ภาระ'

'ปั้นเด็กเกิดน้อย' ให้มีคุณภาพ  แก้ปมคนรุ่นใหม่กลัวมีลูกเป็น 'ภาระ'

ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเด็กเกิดน้อยกว่าอัตราการตายแล้ว แม้ว่าช่วงปี 2506-2526 ไทยจะมีเด็กเกิดใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อปั

KEY

POINTS

  • ​​​​​​การแก้ไขปัญหาวิกฤติประชากรไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง
  • ควรสร้างสภาพแวดล้อมและปัจจัยเกื้อหนุนต่างหากที่จะทำให้พวกเขามั่นใจว่าสามารถเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพได้
  • ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีระบบฝากครรภ์และสวัสดิการที่มีคุณภาพต้องเข้าถึงง่าย และสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์

ประเทศไทยเข้าสู่ยุคการเกิดน้อยกว่าอัตราการตายแล้ว แม้ว่าช่วงปี 2506-2526 ไทยจะมีเด็กเกิดใหม่มากกว่า 1 ล้านคนต่อปี และสูงสุดถึง 1.2 ล้านคนในปี 2514 ทว่าตั้งแต่ปี 2564 ไทยเข้าสู่สถานการณ์มีอัตราการเกิดน้อยกว่าอัตราการตาย ล่าสุดปี 2567 เด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน และการส่งเสริมให้คนมีลูกยากมากเพราะคนรุ่นใหม่มองการมีลูก 1 คน เป็นภาระใหญ่มากทั้งค่าใช้จ่าย การเลี้ยงดู ความปลอดภัยและสภาพสังคม 

ภายในปี 2576 ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีจำนวนเกิน 20% ของประชากรกลายเป็น“สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” อีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุถึง 28% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด คาดการณ์ว่าอีก 60 ปีจะมีประชากรประมาณ 33 ล้านคน ซึ่งการแก้ไขปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาสั้นๆ การวางแผนรับมือต้องใช้เวลาเป็น 20 ปี จำเป็นต้องส่งเสริมให้เด็กเกิดใหม่แม้ว่าจะมีจำนวนน้อยแต่จะทำอย่างไรให้มีคุณภาพ ขณะเดียวกันก็ต้องหามาตรการมาส่งเสริมให้คนรุ่นใหม่มีครอบครัวและมีบุตรกันให้มากขึ้นไปพร้อมกันด้วย 

เพราะการที่เด็กเกิดใหม่ 462,240 คน ขณะที่ผู้เสียชีวิต 571,646 คน ทำให้ประเทศไทยมีอัตราการเพิ่มประชากรติดลบเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน​ สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากร เศรษฐกิจ และสังคมในระยะยาว โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการแบกรับภาระทางสังคมของผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น โดยปี 2583 ผู้สูงอายุจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 31.1% 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

‘เกิดน้อย’ ระเบิดเวลาลูกใหญ่ คนไทยวิกฤติ ‘ตายมากกว่าเกิด’ 4 ปีซ้อน

'เด็กเกิดน้อย' สั่นคลอนอนาคตชาติ ศูนย์มีบุตรยาก-นมแม่ กู้วิกฤติเด็กเกิดน้อย

มาตรการปั้นเด็กเกิดน้อยให้มีคุณภาพ

“อภิญญา ชมภูมาศ” อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ให้สัมภาษณ์ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่าสาเหตุหลักที่คนไม่อยากมีบุตรนั้นซับซ้อนและมาจากหลายปัจจัย อาทิ ค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างมากทำให้ทุกอย่างต้องซื้อและเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตร บทบาทของพ่อแม่ที่เปลี่ยนไป

โดยทั้งชายและหญิงต้องทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาดูแลอบรมสั่งสอนบุตรน้อยลง ความกังวลด้านคุณภาพชีวิตของบุตร ค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ปัญหาสังคม (ยาเสพติด ความรุนแรง) และแม้กระทั่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้คู่สมรสคิดหนักก่อนตัดสินใจมีบุตร

ที่ผ่านมาพม. ได้ขับเคลื่อน “ข้อเสนอเชิงนโยบาย 5x5 ฝ่าวิกฤติประชากร”ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาศักยภาพคนทุกช่วงวัยตั้งแต่วัยทำงาน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และระบบนิเวศสร้างสังคมที่น่าอยู่เพื่อจูงใจให้คนรุ่นใหม่มีครอบครัวและมีบุตรเข้าที่ประชุมครม.ออกมาเป็นแผนปฏิบัติการแล้ว ซึ่งการแก้ไขปัญหาเด็กไทยเกิดน้อยให้ประสบผลสำเร็จอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องดำเนินการอย่างรอบด้านและต่อเนื่องโดยมีคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.)ติดตามผลทุก 3 เดือน

“การแก้ปัญหานี้ไม่สามารถทำได้โดยกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงาน เพราะการจะเปลี่ยนใจให้คนอยากมีลูกโดยตรงนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การสร้างสภาพแวดล้อมและปัจจัยเกื้อหนุนต่างหากที่จะทำให้พวกเขามั่นใจว่าสามารถเลี้ยงดูลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพได้ จึงต้องมีนโยบายต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของพ่อแม่วัยทำงาน เพื่อให้เขามีความมั่นใจในมีบุตรและเลี้ยงดูบุตรให้มีคุณภาพได้”

'ปั้นเด็กเกิดน้อย' ให้มีคุณภาพ  แก้ปมคนรุ่นใหม่กลัวมีลูกเป็น 'ภาระ'

พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กทั้งสุขภาพกายและจิต

อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่าสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและสร้างความมั่นใจของพ่อแม่วัยทำงานต่างหากที่เป็นตัวกำหนดคุณภาพของเด็ก ดังนั้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวและสถานศึกษาจึงเป็นรากฐานสำคัญ จึงจำเป็นต้องส่งให้สถานประกอบการจัดตั้งสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย (ศูนย์เด็กเล็ก) ในสถานประกอบการเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้พ่อแม่วัยทำงานมีความมั่นใจว่าหากพวกเขาตัดสินใจมีบุตรแล้วเมื่อพ้นจากระยะเวลาลาคลอดแล้ว จะมีศูนย์เด็กเล็กในสถานประกอบการรองรับและได้มีส่วนร่วมในการดูแลบุตรไปพร้อมกับทำงานไปด้วย

ขณะเดียวกันการดูแลสุขภาพแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนถึงเด็กคลอดออกมาและเติบโตเป็นเยาวชนก็มีความสำคัญ โดยพม.ให้ “เงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด” เดือนละ 600 บาทปัจจุบันมีผู้รับประมาณ 2.3 ล้านคน และกำลังศึกษาร่วมกับ UNICEF เพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพและประสิทธิผล และผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในการดูแลเงินอุดหนุนนี้ให้ดีขึ้น มีการติดตามเด็กที่ได้รับเงินอุดหนุนครบ 6 ปีแล้ว เพื่อดูความเป็นอยู่และให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมหากจำเป็น

ยกระดับสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยให้มีมาตรฐาน

เพื่อตอบสนองปัญหาที่พ่อแม่หลายคนไม่กล้ามีลูกเพราะไม่รู้ใครจะช่วยเลี้ยงดูหลังลาคลอดหมด ภาครัฐควรมีการส่งเสริมให้มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยที่มีมาตรฐาน ใกล้บ้านใกล้ที่ทำงาน มีความยืดหยุ่น และรับเด็กอายุน้อยลง ซึ่งปัจจุบันพม.รับบุตรข้าราชการ/เจ้าหน้าที่ตั้งแต่อายุ 3 เดือนแล้ว มีการส่งเสริมให้ภาครัฐและสถานประกอบการต่างๆ รับเด็กอายุน้อยลง เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปี องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศที่ดูแลศูนย์เด็กเล็กกว่า 20,000 แห่ง ก็เริ่มลดอายุเด็กที่รับลงเช่นกัน เช่น จาก 3 ขวบ เป็น 2 ขวบครึ่ง หรือ 2 ขวบ และในกรุงเทพฯ บางแห่งรับตั้งแต่ 3-6 เดือน 

“ปัจจุบันมีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยรวมทุกสังกัดทั่วประเทศประมาณ 51,000 กว่าแห่ง มีการร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อส่งเสริมการมีสถานพัฒนาเด็กเล็กในสถานประกอบการ หรือสนับสนุนศูนย์เด็กเล็กใกล้เคียง เพื่อเป็นทางเลือกให้พ่อแม่ที่ทำงานสามารถนำลูกไปฝากเลี้ยงขณะที่ไปทำงานได้ด้วย” 

เพิ่มสวัสดิการ-ภาษีจูงใจมีบุตร

ขณะเดียวกันรัฐบาลควรส่งเสริมให้มีระบบฝากครรภ์และสวัสดิการที่มีคุณภาพต้องเข้าถึงง่าย และรวมถึงการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เพื่อช่วยการเจริญพันธุ์สำหรับผู้มีบุตรยากเพิ่มเงินอุดหนุนและสวัสดิการสำหรับแม่ พิจารณาเพิ่มเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิดให้มากกว่า 600 บาท เพื่อให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ และอาจมีค่าใช้จ่ายรายเดือนสำหรับผู้มีบุตร เหมือนในบางประเทศ เช่นญี่ปุ่น ผู้ที่มีบุตร จะได้เงินสนับสนุนเพียงพอต่อการเลี้ยงดู 

มาตรการภาษีควรมีมาตรการลดหย่อนภาษีหรือแรงจูงใจด้านภาษีสำหรับครอบครัวที่มีบุตร ขยายวันลาคลอดเป็น 180 วัน เพื่อให้แม่มีเวลาดูแลบุตรแรกเกิดได้นานขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำและค่าใช้จ่ายทางการศึกษา มาตรฐานสถานศึกษาควรไม่เหลื่อมล้ำกัน เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่ดีโดยไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่สูง 

"การแก้ไขปัญหาวิกฤติประชากรไทยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีและเลี้ยงดูบุตร และจูงใจให้คนรุ่นใหม่มองเห็นคุณค่าของการสร้างครอบครัวและพลเมืองที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต ส่งเสริมค่านิยมเชิงบวกเกี่ยวกับการมีบุตร ปลูกฝังค่านิยมว่าการมีบุตรคือการเติมเต็มความรักความอบอุ่นในครอบครัว และเป็นหน้าที่ในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพให้กับประเทศคือกุญแจสำคัญในการฝ่าวิกฤติประชากรไทยได้ในอนาคต”