นายกฯส่งสารขอให้ผู้สูงอายุ -ครอบครัว ทุกคนร่วมสร้างพื้นที่อบอุ่น รักกัน

นายกฯส่งสารขอให้ผู้สูงอายุ -ครอบครัว ทุกคนร่วมสร้างพื้นที่อบอุ่น รักกัน

นายกฯ เปิดงาน 'วันผู้สูงอายุ-วันแห่งครอบครัว' ฝากทุกคน ทุกครอบครัวร่วมสร้างพื้นที่อบอุ่น ขอให้เข้าใจ รักสามัคคีกัน พร้อมเปิดตัวระบบ ESS Help Me แจ้งเหตุทางสังคม อย่างเป็นทางการ

Ketpoint:

  • ไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นขณะที่เด็กเกิดใหม่น้อยลง ต้องมีการเตรียมพร้อมรองรับสังคมสูงวัย
  • ควรให้ความรู้ผู้สูงอายุ-ครอบครัว ว่าการอยู่ในโลกใบเดิมแต่ไม่เหมือนเดิม VUCA World ทุกช่วงวัยต้องได้รับการดูแล และช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด
  • นายกฯชวนทุกคนสร้างพื้นที่อบอุ่น มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน รักกัน สามัคคีกัน อะไรที่ไม่เป็นปัญหา อย่าสร้างปัญหา

ปี 2566 ประเทศไทยจะกลายเป็น 'สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์  (Complete- aged Society)' โดยมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 20.1 ของประชากรทั้งประเทศ และคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2579 ประเทศไทยจะเข้าสู่ 'สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged Society)'หรือมีประชากรที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ร้อยละ 30 ของประชากรทั้งประเทศ

จากสถานการณ์ดังกล่าว ทุกภาคส่วนรัฐบาล เอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนต่างให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุ และการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย  อาทิ คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้มีการจัดทำงบประมาณรายจ่ายบูรณาการเพื่อรองรับสังคมสูงวัยตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา เป็นจำนวนเงิน 3,700 ล้านบาท ขณะเดียวกันมีการจัดแผนงานบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย หน่วยงานภาครัฐ 6 กระทรวง 17 หน่วยงาน และภาคส่วนต่างๆ เป็นต้น

วันที่ 13 เมษายน ของทุกปีเป็น 'วันผู้สูงอายุแห่งชาติ' เพื่อให้สังคมตระหนักถึงคุณค่า ความสำคัญ และศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ และให้วันที่ 14 เมษายน ของทุกปีเป็น 'วันแห่งครอบครัว'ตรงกับวันสงกรานต์หรือวันขึ้นปีใหม่ไทย เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล ความอบอุ่น และความสุขของครอบครัว ตามประเพณีที่ดีงามที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

“สังคมสูงวัย” โอกาสทางธุรกิจ “บริการ-สินค้า-พาเที่ยว” เติบโต

เปิดตัว "ล้ม Look" ตัวช่วยตรวจจับ เฝ้าระวังผู้สูงอายุหกล้ม

 

เปิดงานวันผู้สูงอายุ-วันครอบครัวรับปีใหม่ไทย

วันนี้ (5 เม.ย.2566)กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) และกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติและวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2566 ภายใต้แนวคิด 'สร้างสุข ทุกพื้นที่ปลอดภัย เพื่อผู้สูงวัยและครอบครัว'

โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน  พร้อมมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ประจําปี 2566 รวมถึงมีการเปิดตัวระบบแจ้งเหตุฉุกเฉินทางสังคม (Emergency Social Services: ESS) ผ่าน Line OA 'ESS Help Me' ซึ่งมีนายจุติ ไกรฤกษ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) กล่าวรายงาน

พร้อมด้วยนายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) คณะผู้บริหารกระทรวง พม. ประชาชนทั่วไป นักวิชาการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ  เอกชน และประชาสังคม รวมทั้งสถาบันการศึกษา  จำนวนทั้งสิ้น 1,500 คน เข้าร่วมงาน ณ อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B ชั้น 2) ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

นายกฯ กล่าวว่าขอชื่นชมและแสดงความยินดีผู้ที่ได้รับรางวัล และหน่วยงานที่ดูแลทำงานด้านผู้สูงอายุทุกท่าน ซึ่งผู้สูงอายุถือเป็นบุคลากรที่มีความสำคัญ สร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับประเทศ และเป็นแบบอย่างที่ทรงคุณค่า เช่นเดียวกับทุกครอบครัวที่มีความร่มเย็นเป็นสุข อยากให้มีการส่งผ่านสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปสู่สังคมรอบข้างและชุมชน

 

ผู้สูงอายุ-ครอบครัว ทุกคนขอให้รัก สามัคคีกัน

"ตอนนี้สถานการณ์โลกและประเทศไทย กำลังประสบปัญหาเรื่องของการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันไทยมีจำนวนผู้สูงอายุกว่า 12.7 ล้านคนคิดเป็น 19% ของประชากรทั้งหมด ในปีนี้ไทยกำลังก้าวสู่ผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ ซึ่งไทยมีผู้สูงอายุมากขึ้นแต่เด็กเกิดใหม่น้อยลง โดยดูจากการเข้าสู่ระบบการศึกษาที่มีจำนวนเด็กลดลงทุกปี ดังนั้น เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วน ภาครัฐ ภาคเอกชน และครอบครัวต้องพิจารณาร่วมกัน ต้องเตรียมความพร้อม"นายกฯ กล่าว

ในบทบาทหน้าที่ของรัฐบาลได้มีการหารือร่วมกันในหลายๆ กระทรวง เพื่อร่วมมือซึ่งกันและกันในการดูแลคนทั้งประเทศ และเตรียมความพร้อมทั้งด้านความเป็นอยู่ การเตรียมในเรื่องที่ไม่พอเพียง  ซึ่งในส่วนของภาคเอกชนก็ได้เข้ามาสนับสนุนมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าทุกภาคส่วนของประเทศเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องสังคมผู้สูงอายุ

นอกจากนั้น ควรมีการให้ความรู้ว่าการอยู่ในโลกใบเดิม แต่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง VUCA World โลกที่มีการเปลี่ยนแปลงผันผวน ไม่แน่นอน มีความสลับซับซ้อน ไม่รู้จะไปในทิศทางไหน มีความแตกต่างทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม มากขึ้นเรื่อยๆ คนทุกช่วงวัยต้องได้รับการดูแล และช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุด เพื่อไม่เป็นภาระและครอบครัว สังคม

"สิ่งที่ภาครัฐให้ได้ คือ ความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี มีความเข้าใจในการเข้าถึงการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมา รัฐบาลพยายามทำระบบดิจิตอลมากมาย เพื่อให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึงการใช้บริการของภาครัฐ และสร้างความเข้าใจร่วมกัน  เพื่อให้คนทุกช่วงวัยสามารถก้าวทันสังคมโลก ซึ่งโลกทุกวันนี้ไม่เหมือนเดิม  และอะไรที่เป็นไม่เป็นปัญหาก็ไม่ควรไปสร้างปัญหา เราต้องก้าวทันโลกและใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด  แต่ต้องระมัดระวัง ตระหนักรู้ เพราะเทคโนโลยีมีทั้งผลดีและผลเสีย อย่าทำให้โอกาสกลายเป็นวิกฤต ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชนต้องช่วยกันแบ่งปันความรัก ความเผื่อแผ่ ซึ่งกันและกัน" นายกฯ กล่าว

น่าห่วงครอบครัวแหว่งกลาง ทุกคนช่วยกันลดปัญหา

อย่างไรก็ตาม ความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกันจะนำพาประเทศชาติให้มีการเติบโตมากขึ้น และมีงบประมาณในการมาดูแลพี่น้องประชาชนให้มากขึ้น ต้องขึ้นอยู่กับความรัก ความสามัคคี ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ครอบครัวแหว่งกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องช่วยกัน ประเทศชาติจะเดินไปข้างหน้าได้ เพราะทุกคนช่วยกัน ขอให้ช่วยแก้ปัญหา อย่าง บทเพลงพระราชนิพนธ์ ของรัชกาลที่ 6 เพลง ไร้รักไร้ผล ที่มีเนื้อเพลงว่า ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติย่อยยับอับจน บุคคลจะสุขอยู่อย่างไร  ดังนั้น ถ้าเราไม่รัก ไม่สามัคคี ไม่มีความสงบเรียบร้อย ประเทศย่อมมีปัญหา และไม่สามารถเดินต่อไป

"ทุกคนย่อมมีความคิดแตกต่าง แต่ขออย่าสร้างปัญหา ในช่วงวันสงกรานต์ วันปีใหม่ไทย ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จ และเชื่อว่าทุกคนจะไปทำบุญทำกุศล ซึ่งนอกจากทำบุญแล้ว อยากให้ทำกุศล หรือการทำอะไรก็ได้ให้กับบ้านเมือง สิ่งเหล่านี้ จะตอบสนองให้ทุกคนมีความสุข ให้ความสำคัญ กับสังคม ครอบครัวมากที่สุด เพราะบ้านเมือง ไม่ได้อยู่ที่คนใด คนหนึ่ง แต่อยู่ที่ทุกคนอยู่ร่วมกัน ภาครัฐภาคเอกชน ทุกภาคส่วนต้องมาช่วยดูแลบ้านเมือง อย่าให้เป็นสังคมที่มีความแตกแยก และสังคมครอบครัวต้องเป็นสังคมคุณภาพ บ้านใดที่ดีอยู่แล้วต้องต่อเติม บ้านใดกำลังทรุดโทรมต้องปรับปรุง"นายกฯ กล่าว

 

พม.ดูแลสูงวัย-ครอบครัวไทย 27 ล้านครัวเรือน

นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)กล่าวว่าประเทศไทยมีผู้สูงอายุ 12.6 ล้านคน มีครัวเรือน 28 ล้านครัวเรือนทั้งประเทศ และในวันนี้ พม.ได้ทำงานร่วมกับคณะสงฆ์ในการดูแลผู้สูงอายุทั่วภาคเหนือ และภาคอีสาน นอกจากนั้นได้ร่วมกับแพทย์อาสา จิตอาสา อาจารย์มหาวิทยาลัยทำเรื่อง Ess Help Me ปักหมุด หยุดเหตุฉุกเฉินทางสังคม เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ทุกครอบครัว มีศูนย์ดูแลประชาชน 7,900 กว่าแห่ง ทั่วประเทศ ช่วยประสานงานโดยอาสาพัฒนาสังคมทุกตำบล ร่วมกับสถานีตำรวจ 1,493 แห่ง ตามนโยบายของนายกฯ ว่ากระทรวงพม. ต้องดูแลให้ความสุขกับพี่น้องประชาชนทั่วทุกแห่ง  และลดความรุนแรง สร้างความสุขให้แก่ประชาชน

"นโยบายที่นายกฯ มอบให้ว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สิ่งที่พม.ทำ โดยการสนับสนุนและบูรณาการกว่า 20 กระทรวง วันนี้สามารถบอกได้ว่าโลกนี้อาจจะจำไม่ได้ว่าคุณพุดอะไร แต่จะไม่ลืมในสิ่งที่คุณทำ เรามีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและครอบครัว ซึ่งผู้สูงอายุนั้นเป็นหลักชัยของครอบครัว ดูแลทุกช่วงวัย วันนี้ เราจะมอบของขวัญ คืนความสุขให้แก่ 27 ล้านครอบครัว อยู่ดีมีสุข ลดความรุนแรงในครอบครัว  และทำให้มีความรักความเข้าใจ"นายจุติ กล่าว

ตั้งแต่เปิดแอปพลิเคชั่น 'Ess Help Me ปักหมุด หยุดเหตุฉุกเฉินทางสังคม' ของพม.ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ  และ 20 กระทรวง ตั้งแต่วันนี้ 1-4 เมษายน 2566 ซึ่งยังไม่เปิดเป็นทางการ ได้มีตัวแทนทั่วประเทศมาสมัครเป็นจิตอาสา แจ้งเหตุถึง 40,000 คน และได้ร่วมกับประธานอาสาพัฒนาสังคมจังหวัดในแต่ละภูมิภาค กว่า 300,000 คน เป็นสักขีพยานสิ่งที่ทำเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชน  พม.ได้ซ่อมแซมบ้านร่วมกับท้องถิ่นกว่า 1.5 แสนครอบครัว และได้จัดหาที่อยู่อาศัยเช่าราคาถูก เดือนละ 999 บาท  13,000 ครอบครัว ได้เพิ่มอาสาสมัครดูแลประชาชน 3.6 แสนคนใน 4 ปี และได้ขึ้นทะเบียนคนพิการ 1 แสนคน ภายใน 1 ปี อย่างไรก็ตาม ภารกิจเหล่านี้ต้องดูแลต่อไป เพราะผู้สูงอายุมีคุณค่าต่อสังคม เป็นเสาหลักของครอบครัวไทย

เปิดตัวระบบ Ess Help Me แจ้งเหตุทางสังคม

นอกจากนั้น ในวันนี้(5 เมษายน2566 ) นายกรัฐมนตรี ได้เปิดระบบ ‘Ess Help Me(Emergency Social Services)’ อย่างเป็นทางการ โดยระบบดังกล่าวเป็นการพัฒนาให้ใช้งานได้บนแอปพลิเคชัน Line เพื่อเพิ่มความสะดวกให้ประชาชนที่ปัจจุบันมีการใช้บริการแอปพลิเคชันนี้อยู่มาก โดยระบบจะช่วยทั้งในด้านรวดเร็วในการแจ้งเหตุ มีการแชร์พิกัดจุดเกิดเหตุ ให้เจ้าหน้าที่เข้าให้ความช่วยเหลือได้อย่างแม่นยำ

โดยการใช้งานระบบนั้นเริ่มต้นด้วยการเพิ่มเพื่อนระบบในแอปพลิเคชัน Line โดยการค้นหาในช่องค้นหาเพื่อนด้วยคำว่า @esshelpme หลังจากนั้นก็สามารถดำเนินการแจ้งเหตุได้ด้วย 3 ขั้นตอนง่ายๆ คือ

 1)กดปุ่มแจ้งเหตุด่วน เมื่อกดแล้วระบบจะขึ้นตัวเลือกปัญหาที่ท่านพบโดยให้เลือก 1 ปัญหาจาก 5 ปัญหา ได้แก่ ข่มขู่ว่าจะทำร้ายหรือทำร้าย, กักขังหน่วงเหนี่ยว, เสี่ยงถูกล่วงละเมิดทางเพศ, ผู้คลุ้มคลั่งก่อให้เกิดเหตุร้าย และ มั่วสุมจนก่อให้เกิดเหตุร้าย

2)แจ้งตำแหน่งเกิดเหตุ เมื่อเลือกปัญหาที่พบแล้วระบบจะขึ้นปุ่ม “แชร์พิกัดตำแหน่ง” ให้กดและเลือกตำแหน่งที่เกิดเหตุเพื่อให้เจ้าหน้าที่มายังจุดเกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ

 3) กรอกเบอร์ติดต่อ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถเพิ่มเพื่อนระบบ Ess Help Me ติดตัวไว้ แม้ยังไม่จำเป็นต้องแจ้งเหตุ เพื่อว่าเมื่อเกิดเหตุจะได้สามารถใช้งานระบบได้ทันที และแนะนำว่าให้ปักหมดข้อความในแอปพลิเคชัน Line ไว้บนสุดเพื่อการค้นหาที่รวดเร็วเมื่อประสบเหตุ โดยผู้ใช้ระบบ iOS ให้เลื่อนแชทไปทางขวาจะพบเครื่องหมายปักหมุดขึ้นมาที่ด้านซ้ายของข้อความ ส่วนระบบ Android ให้กดค้างที่แชทจะมีคำสั่งปักหมุดเด้งขึ้นมา เมื่อกดแล้วจะมีสัญลักษณ์ปักหมุดสีฟ้าอยู่

นอกจากนั้น ภายในงานได้มีการมอบโล่ให้แก่ นายประยงค์ รณรงค์ ผู้สูงอายุแห่งชาติประจำปี 2566  ปัจจุบันอายุ 86ปี ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน จากจังหวัดนครศรีธรรมราช  เป็นผู้สูงอายุที่เป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรมจริยธรรม  และเป็นผู้ทำคุณประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติด้านงานพัฒนาชุมชนและสังคม เป็นที่ยอมรับจากทั้งภายในและต่างประเทศ