‘คกก.ควบคุมน้ำเมา’ ใครเป็นใคร จับตา 13 พ.ย.นี้ ‘เปลี่ยนเวลาขายเหล้าเบียร์’?

จับตา 13 พ.ย.นี้ “คณะกรรมการควบคุมฯ” ใครเป็นใคร ตัวแปรสำคัญ ผู้กุมอำนาจกำหนด ‘เปลี่ยนเวลาอนุญาตขาย’ หลังพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) มีผลบังคับใช้เมื่อ 8 พ.ย.2568
KEY
POINTS
- คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีการประชุมในวันที่ 13 พ.ย.2568 คาดว่าน่าจะการพิจารณาเรื่องการเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ได้ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติที่เคยกำหนดเวลาขายไว้ ทำให้คณะกรรมการฯ ชุดนี้มีอำนาจในการกำหนดเวลาขายใหม่ได้
- โครงสร้างของคณะกรรมการฯ มี รมว.สาธารณสุขเป็นประธาน และมีสัดส่วนตัวแทนจากภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่อาจนำไปสู่การขยายเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
จับตา 13 พ.ย.นี้ “คณะกรรมการควบคุมฯ” ใครเป็นใคร ตัวแปรสำคัญ ผู้กุมอำนาจกำหนด ‘เปลี่ยนเวลาอนุญาตขาย’ หลังพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) มีผลบังคับใช้เมื่อ 8 พ.ย.2568
พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2568 มีผลบังคับใช้วันแรกในวันที่ 8 พ.ย.2568 โดยมีการยกเลิกคำสั่งของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 253 ลงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2515 ซึ่งกำหนดเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้ อนญาตให้ขายได้เฉพาะเวลา 11.00 - 14.00 น. และเวลา 17.00 - 24.00 น.
และยกเลิกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 22/2558 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2558 ในข้อ 6 การห้ามมิให้มีสถานที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษาหรือหอพักในบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา และกำหนดให้ผู้มีอำนาจสามารถสั่งเพิกถอนใบอนุญาตหรือสั่งปิดสถานประกอบการที่ฝ่าฝืนได้ทันที
มีสาระสำคัญที่แตกต่างจากฉบับเดิม เมื่อพ.ศ.2551 โดยเฉพาะที่จะส่งผลต่อเรื่องการจำหน่าย การดื่ม และโฆษณา อาทิ
- ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันหรือเวลาที่คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประกาศกำหนด
- ให้ขายผ่านเครื่องขายอัตโนมัติที่ยืนยันตัวตนผู้ซื้อได้
- ให้ดื่มในสถานที่ราชการที่เป็นบริเวณจัดไว้เป็นที่พักส่วนบุคคล สโมสร การจัดเลี้ยงตามประเพณี หรือบริเวณที่จัดไว้เพื่อการอื่นตามที่คณะกรรมการควบคุมฯประกาศกำหนด
- ให้ดื่มในสถานศึกษา บริเวณจัดไว้เป็นที่พักส่วนบุคคล สโมสร การจัดเลี้ยงตามประเพณี หรือที่มีการจัดการเรียนการสอนด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ห้ามดื่มในสถานที่หรือบริเวณที่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสถานที่หรือบริเวณที่จัดบริการเพื่อให้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อประโยชน์ทางการค้า ในเวลาที่ห้ามขายตามที่คณะกรรมการควบคุมฯจะประกาศกำหนดเงื่อนไขและข้อยกเว้นใดๆ
- ห้ามโฆษณาเว้นแต่เป็นการให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ หรือการประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุม
- ห้ามใช้ชื่อเสียงเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตนสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณชนโดยการแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมุ่งหมายชักจูงให้ผู้อื่นบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เว้นแต่เป็นการสื่อสารทางวิชาการให้แก่สมาชิกในวงจำกัด
- ห้ามการสนับสนุนกิจการเพื่อสังคมหรือเพื่อสาธารณประโยชน์แก่บุคคล กลุ่มบุคคล หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรเอกชน ในลักษณะที่ส่งเสริมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทั้งนี้ ตามที่ รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุม เป็นต้น
ส่วนที่มีการส่งเสียงออกมาว่า “พ.ร.บ.ฉบับใหม่นี้” ทำให้นักท่องเที่ยวสับสนในเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างเช่น ไม่สามารถนั่งดื่มในร้านอาหารในช่วงเวลา 14.00 -17.00น. หรือไม่สามารถดื่มในสถานที่ขายในช่วงเวลาหลัง 24.00 น.ได้นั้น “ล้วนมีการกำหนดไว้ในกฎหมายเดิมอยู่แล้วทั้งสิ้น ไม่ได้มาเพิ่มเติมในฉบับใหม่”
แต่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายฉบับใหม่ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การ “อนุญาตเวลาขายได้มากขึ้น”เสียด้วยซ้ำ
คกก.ควบคุมฯพิจารณากฎหมายลูก
จะเห็นได้ว่า และในหลายๆเรื่องที่มีการกำหนดไว้ในพ.ร.บ.นี้ เช่น เวลาขาย การโฆษณา สถานที่ขาย จะต้องมีการออกกฎหมายลูกมารองรับ ซึ่งบทบาทสำคัญของการพิจารณาข้อกำหนดในกฎหมายลูก อยู่ที่ “คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่จะชี้ซ้ายหรือขวา
อย่างเช่น เรื่องวันและเวลาที่อนุญาตให้ขายน้ำเมาได้ จากเดิมที่จะไม่สามารถ “เปลี่ยนแปลงเวลาขาย”ได้เลย เนื่องจากมีประกาศคณะปฏิวัติกำหนดล็อกไว้ แต่เมื่อกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2568 ที่เป็นฉบับใหม่ ได้ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ ที่กำหนดเวลา “อนุญาตขายน้ำเมา”ไว้ที่11.00-14.00 น. และ17.00-24.00 น.ไปแล้ว
เท่ากับว่าเป็น “จุดเริ่ม”ในการนับ 1 ที่จะนำไปสู่การ “เปลี่ยนเวลาให้ขาย”ได้ โดยอำนาจสำคัญ อยู่ที่คณะกรรมการควบคุมฯ จะเป็นผู้กำหนดว่า “เวลาอนุญาตให้ขายใหม่”นั้น จะเป็นช่วงเวลาเดิมตามประกาศคณะปฏิวัติฯหรือจะ “เปลี่ยนใหม่” เพื่อให้สามารถมีเวลาขายได้มากขึ้น
สัดส่วนคกก.ควบคุมฯ
คณะกรรมการชุดนี้ ที่มีรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน มีปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปลัดกระทรวงการคลังและปลัดกระทรวงมหาดไทย(มท.) เป็นรองประธาน มีอธิบดีกรมควบคุมโรคและอธิบดีกรมสรรพสามิต เป็นเลขานุการร่วม
- คณะกรรมการโดยตำแหน่ง 13 คน ได้แก่ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ,ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา,ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์,ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม,ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม,ปลัดกระทรวงพาณิชย์,ปลัดกระทรวงยุติธรรม,ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม,ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ,ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ,อัยการสูงสุด ,ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ.และผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
- ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2 คน (ไม่มีในกฎหมายเดิม)
- ผู้แทนภาคเอกชน 4 คน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย,สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย,สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ,ผู้แทนองค์กรที่เป็นนิติบุคคลซึ่งมีวัตถุประสงค์ด้านการผลิต นำเข้า หรือขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ไม่มีในกฎหมายเดิม)
- ผู้แทนองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงกำไร หรือเรียกว่า เอ็นจีโอ 4 คน
- กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :
พ.ร.บ.ควบคุมน้ำเมา (ใหม่)มีผลบังคับใช้แล้ว บนข้อกังขา 'ความพ่ายแพ้' เรื่อง ‘สุขภาพ’
‘อนุทิน’ บี้ รมว.สาธารณสุข ปลดล็อคขายเหล้า-นั่งดื่ม บ่าย2-5โมง
'แอลกอฮอล์' เสี่ยงมะเร็ง 8 ชนิด ยอดเจ็บ 5 ปี เสียเงินเฉียดครึ่งล้าน!
จุดยืนคณะกรรมการฯ คือตัวแปร
หากลองมองภาพคณะกรรมการชุดนี้ “ตัวแปรสำคัญ”น่าจะอยู่ที่ “คนเป็นรมว.สาธารณสุข” จะต้องการให้เป็นแบบไหน เสียงของ “คณะกรรมการส่วนใหญ่” ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว “คณะกรรมการโดยตำแหน่ง”ที่มีถึง 13 คน มักจะไหลตาม “ประธาน” หรือรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงนั้นๆ หรือไม่ ?
ขณะที่คานงัดระหว่างภาคเอกชน และ ภาคเอ็นจีโอ ที่มักจะมีความเห็น “ส่วนทางกัน”ในเรื่องมาตรการควบคุมต่างๆ มีจำนวน 4 คนเท่ากัน
เมื่อคิดเล่นๆว่าหากสมัยไหน รัฐบาลที่ นายกรัฐมนตรี มี “จุดยืน”คลายล็อกมาตรการควบคุมและส่งเสริมธุรกิจน้ำเมา ย่อมทำให้ “รัฐมนตรี”คล้อยตามนั้น แล้วส่งผลต่อ “จุดยืนปลัดกระทรวงฯ”และคณะกรรมการฯโดยตำแหน่ง 12 คน บวกกับ ผู้แทนท้องถิ่นที่เหมือนจะอยู่ภายใต้การดูแลของมท. 2 คน บวกกับผู้แทนภาคเอกชน 4 คน รวมเป็น 18 คน
ขณะที่ภาคประชาชน(เอ็นจีโอ)มี 4 คน บวกกับผู้ทรงคุณวุฒิ 4 คน และผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รวมเป็น 9 คน
หากต้องมีการ “โหวตมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” เชื่อแน่ว่า “9 เสียง” ย่อมยากจะชนะ 18 เสียงอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ แซ่โง้ว ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการวิจัยและนวัตกรรมสู่ความเป็นเลิศ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ กล่าวไว้ก่อนที่กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่จะมีผลบังคับใช้ว่า ส่วนตัวที่กังวลที่สุดเกี่ยวกับร่างฉบับนี้ คือ “โครงสร้างคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” โดยมีการเพิ่มตัวแทนจากภาคเอกชนเข้ามาเป็นคณะกรรมการฯ ด้วย จึงมีโอกาสออกข้อกำหนดที่ควบคุมน้อยลงมาก
อีกทั้ง จะเป็นต้นแบบให้กฎหมายสุขภาพอื่นๆ เปิดโอกาสให้ตัวแทนภาคเอกชนเข้ามานั่งเป็นคณะกรรมการได้ทั้งหมด เพราะมีตัวอย่างจากพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับนี้ และจะทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ข้ามชาติ นำโมเดลนี้ของประเทศไทยไปอ้างอิงการขับเคลื่อนในประเทศอื่นๆ
“หากพ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์(ฉบับใหม่)ผ่านออกมามีผลบังคับใช้ ก็ต้องเตรียมรับมือสถานการณ์ใหม่ในสังคมว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเรื่องปกติมากขึ้น แม้ว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่สินค้าปกติ และการดื่มกระทบต่อสุขภาพ จะถือเป็นการเปลี่ยนบรรทัดฐานสังคมใหม่ในเรื่องนี้”รศ.ดร.นพ.อุดมศักดิ์ กล่าว
จับตา คกก. อนุญาตเวลาขายได้มากขึ้น?
เรื่องแรกที่น่าจะมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการควบคุมฯชุดใหม่ คงเป็นเรื่องของ “เวลาขาย” เพราะเมื่อพ.ร.บ.ฉบับนี้มีการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติที่กำหนดเวลาห้ามขายไปเสียแล้ว จึงเป็น “อำนาจ”ของคณะกรรมการควบคุมฯที่จะกำหนด “เวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”ได้ใหม่ จากเดิมที่จะทำไม่ได้เพราะติดประกาศคณะปฏิวัติ
รวมถึง เรื่อง “พื้นที่โซนนิ่ง” ที่เดิมห้ามขายรอบสถานศึกษาและหอพัก ที่มีมากกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ ก็จะถูกพิจารณาใหม่เช่นกัน เพราะมีการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติที่เกี่ยวข้องที่ควบคุมไว้ไปเสียแล้วด้วย
สำหรับการตั้งคณะกรรมการควบคุมฯ นัยว่าจะนัดประชุมในวันที่ 13 พ.ย.2568 ล้วนเป็นสิ่งที่ต้อง “จับตา”อย่ากระพริบ เพราะนี่จะส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง “การจำหน่าย”เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย และวัดกันว่า “คณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” จะมีจุดยืน“ควบคุม” หรือ “คลายล็อก”
เพราะนี่คือ “กฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่มีเจตนารมณ์เพื่อลดปริมาณการดื่มของประชากรโดยรวม และลดผลกระทบทางลบต่อสังคม ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การควบคุมการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทางกายภาพ ,การควบคุมการโฆษณาและการตลาด ,การควบคุมด้านราคา เป็นต้น
ไม่ใช่ “กฎหมายส่งเสริมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์”







