สปสช.จ้าง 1.8 หมื่นคน 'Caregiver' ดูแลผู้ป่วยภาวะพึ่งพิง ติดเตียง

สปสช.จ้าง 1.8 หมื่นคน 'Caregiver' ดูแลผู้ป่วยภาวะพึ่งพิง ติดเตียง

บอร์ด สปสช. ไฟเขียวจ้าง 1.8 หมื่น “Caregiver” ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงทั่วประเทศ หนุนกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน เติมเต็มระบบสุขภาพชุมชน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) และในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เปิดเผยว่า ในการประชุม บอร์ด สปสช. ครั้งที่ 7/2568 เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้รับทราบมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) โครงการค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พ.ศ. 2568 และได้มีมติเห็นชอบ “หลักการของ (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง การจ่ายค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พ.ศ. ….” 

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยจะมุ่งสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง (Caregiver) เป็นหนึ่งในมาตรการสำคัญในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบางที่มีแนวโน้มสูงเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยลดภาระของครอบครัวและภาครัฐ พร้อมทั้งสร้างอาชีพและรายได้ในระดับชุมชน 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

สปสช.จ้างงาน Caregiver ดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิง

ทั้งนี้ ต่อมา “คณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ได้มีมติเห็นชอบ “ข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล” โดยรวมถึง “ข้อเสนอค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง” ของ สปสช. ด้วย ก่อนที่เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2568 ครม. จะมีมติเห็นชอบข้อเสนอโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ภายใต้วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท โดย สปสช. ได้รับอนุมัติโครงการในด้านเศรษฐกิจชุมชน เป็นวงเงิน 1,115 ล้านบาท

ดังนั้น ทาง สปสช. จึงได้จัดทำแนวทางการบริหารค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิง เพื่อการจ้างงาน Caregiver ตามนโยบายดังกล่าว นอกเหนือจากงบ “กองทุนระบบดูแลระยะยาวสำหรับดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง” (LTC) ที่อยู่ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง 30 บาท) โดยมีหลักการสำคัญคือการจ้างจะอ้างอิงระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่นขององค์ปกครองส่วนท้องถิ่นและการเบิกค่าใช้จ่าย พ.ศ. 2562  

“จากงบประมาณในส่วนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ สปสช. ได้รับมอบมานี้ จะทำให้เกิดการจ้าง Caregiver เพิ่มขึ้นประมาณ 1.8 หมื่นคน สำหรับลงไปดูแลผู้มีภาวะพึ่งพิงจำนวน 106,806 ราย และไม่ได้ทำปีนี้เพียงปีเดียวแล้วจบ เพราะ สปสช. ได้เตรียมการตั้งงบสำหรับจ้าง Caregiver เหล่านี้ในปีงบประมาณถัดไปแล้ว นอกจากนี้ยังได้มีการทำแผนจ้าง Caregiver ที่เป็นแผนระดับประเทศซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอต่อ ครม. เพื่อพิจารณาอีกส่วนหนึ่ง โดยสัดส่วน Caregiver ต่อผู้มีภาวะพึ่งพิงนี้จะให้ทางท้องถิ่นเป็นผู้กำหนดความต้องการโดยอ้างอิงจากข้อมูลจำนวนผู้มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ เพื่อนำเสนอว่าในพื้นที่ควรมีจำนวน Caregiver กี่คน” รมว.สาธารณสุข กล่าว

ด้าน นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนการจ้างงาน Caregiver นี้ ยังต้องไม่เกิดการจ้างงานซ้ำซ้อน และการจ่ายยังคงยึดตามหลักการในโอนงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งหมายรวมเมืองพัทยา และกรุงเทพมหานคร (กทม.) และจะจัดระบบให้มีการโอนค่าจ้างงานเป็นรายเดือน ส่วนเงื่อนไขการจ่ายค่าบริการให้ผู้ที่จะได้รับการจ้างเป็น Caregiver ต้องผ่านอบรมหลักสูตรของกรมอนามัย หรือหลักสูตรผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง หรือหลักสูตรอื่นที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

รวมถึงต้องไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นที่มีตำแหน่งหรือเงินประจำ ตลอดจนการเป็นผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ หรือในรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารท้องถิ่น สมาชิกสภาท้องถิ่น ลูกจ้างของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจ หรือบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายโดยได้รับค่าตอบแทนหรือค่าป่วยการเป็นประจำ  

“เดิมทีระบบการสร้าง Caregiver จะเป็นในลักษณะอาสาสมัคร ซึ่งเป็นระบบที่ไม่จูงใจมากพอ เพราะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง ต้องใช้ทักษะและใช้เวลาดูแลอย่างยาวนาน ดังนั้นงบประมาณส่วนนี้ที่ สปสช. ได้รับมอบ จะดำเนินการเพื่อจ้าง Caregiver ซึ่งประโยชน์นอกจากจะทำให้เกิดระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว ยังเป็นการสร้างการจ้างงานในประเทศด้วย” เลขาธิการ สปสช. กล่าว