‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในไทย?(จบ)  ยอดพีระมิด ฐานรากต้องแข็งแรงก่อน

‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในไทย?(จบ)  ยอดพีระมิด ฐานรากต้องแข็งแรงก่อน

The story ‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้าย แบบรับความช่วยเหลือในไทย? ตอนที่ 3 (จบ)  “ยุติชีพ”ยอดพีระมิด ที่ฐานรากต้องแข็งแรงก่อน ซึ่งกมธ.สาธารณสุข สภาฯ เตรียมยกร่างกฎหมายอยู่ดีตายดี ครอบคลุมตั้งแต่การดูแลประคับประคองจนถึงเรื่องการยุติชีพ

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยกฎหมายไม่อนุญาตให้ “การุณยฆาต”ไม่ว่าจะกรณีใดๆ แต่กฎหมายตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 อนุญาตให้ “ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้(Living Will)”
  • “กรุงเทพธุรกิจ” นำเสนอ The story ‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้าย แบบรับความช่วยเหลือในไทย? 3 ตอน โดยตอนจบนี้ “ยุติชีพ”ยอดพีระมิด ที่ฐานรากต้องแข็งแรงก่อน กมธ.สาธารณสุข สภาฯ เตรียมยกร่างกฎหมายอยู่ดีตายดี ครอบคลุมตั้งแต่การดูแลประคับประคองจนถึงเรื่องการยุติชีพ
  • เลิกใช้คำว่า “การุณยฆาต” ส่วน“ยุติชีพแบบรับความช่วยเหลือ”ของผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นยอดพีระมิดที่ระบบฐานรากต้องแข็งแรงก่อน  

เมื่อไม่นานมานี้ ช่อง ONE 31 มีการนำเสนอซีรีย์วาย เรื่อง “การุณยฆาต” ส่งผลให้คนในสังคมสนใจประเด็น “การดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองและระยะสุดท้าย”ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก และเมื่อเร็วๆนี้ ร่วมกับ Peaceful Death ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) และคณะกรรมาธิการการ(กมธ.)สาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา เรื่อง “การุณยฆาตกับการสร้างเสริมสุขภาวะ ในระยะสุดท้ายของชีวิต”

”กรุงเทพธุรกิจ”จะนำเสนอประเด็นเรื่องนี้ The story ‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้าย แบบรับความช่วยเหลือในไทย? เป็น 3 ตอน แต่มิได้หมายความว่าจะสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนในเรื่อง “ยุติชีพ ผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบรับความช่วยเหลือในประเทศไทย”
The story ‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้าย แบบรับความช่วยเหลือในไทย? ตอนที่ 3(จบ)  “ยุติชีพ”ยอดพีระมิด ที่ฐานรากต้องแข็งแรงก่อน
‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในไทย?(จบ)  ยอดพีระมิด ฐานรากต้องแข็งแรงก่อน

มาตรา 12 ไม่มีใครทำตามเจตจำนงคนไข้

กัลยพัชร รจิตโรจน์ รองประธานกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ให้ข้อมูล “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า  แม้ประเทศไทยจะมีมาตรา 12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติฯ ให้คนเขียนหนังสือแจตจำนงฯยุติการรักษาของตัวเองได้ ซึ่งญาติ แพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องเคารพในเจตจำนงของผู้ป่วยที่แสดงไว้ในหนังสือ  Living Will แต่ในความเป็นจริง แม้มีกฎหมายรองรับแต่ไม่ได้บังคับใช้
เมื่อเผชิญภาวะตามที่ผู้ป่วยเขียนแสดงเจตจำนงไว้ กลับพบว่า “แพทย์ไม่กล้าปล่อยเพราะญาติยื้อ จึงกลัวที่จะถูกญาติฟ้องร้อง”

“สังคมไทยยังไม่เคารพในเจตจำนงของผู้ป่วยเลย ทั้งที่เขามีสิทธิในเนื้อตัวตัวเอง  ซึ่งเมื่อยื้อชีวิตด้วยการเจาะคอ พูดไม่ได้ ติดเตียง และต้องอยู่ในภาวะนี้ไปตลอดชีวิต และต้องมีผู้ดูแลไปตลอดชีวิต ดังนั้น จึงควรเคารพการเลือกอยู่และเลือกจากไปอย่างมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ได้ตามความต้องการของคนไข้ ขณะเดียวกันหากคนไข้เลือกที่จะให้มีการยื้ออย่างเต็มที่ ก็จะต้องทำตามความต้องการเช่นกัน”กัลยพัชรกล่าว

เตรียมยกร่างกฎหมายใหม่

ขณะนี้มีการขับเคลื่อนและทำความเข้าใจกับสังคม เพื่อเตรียมการที่จะยกร่างกฎหมายใหม่  กัลยพัชร บอกว่า กฎหมายจะยกร่างนี้จะครอบคลุมทั้งเรื่องของระบบการดูแลประคับประคองเป็นหลัก,การให้ความคุ้มครองทั้งสิทธิคนไข้และแพทย์ที่ทำตามเจตจำนงของคนไข้  รวมถึง กระบวนการขั้นตอนต่างๆที่จะพิจารณาในเรื่องของการยุติชีพที่จะครอบคลุมเพียงความเจ็บป่วยทางกายที่มีการวินิจฉัยทางการแพทย์แล้วว่าเป็นการป่วยระยะสุดท้ายที่รักษาไม่หายแล้วเท่านั้น ไม่นับเรื่องของการป่วยทางใจ เป็นต้น

โดยเน้นให้ผู้ป่วยอยู่ดีตายดี ซึ่งตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้คาดว่าจะยกร่างแล้วเสร็จราวปลายปี 2569 เพื่อนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯต่อไป

“แม้ว่าเรื่องของการยุติชีพแบบรับความช่วยเหลือในไทยจะยังอีกไกล แต่ก็ต้องมีการเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เพราะการใช้เวลาในเรื่องกระบวนการทางความคิดของสังคมไทยอย่างต่ำก็คงจะ 5-6 ปี  ซึ่งร่างจะยื่นนี้ไม่ได้หวังว่าจะผ่านเลย เพียงต้องการปักธงทางความคิดให้สังคมเข้าใจ”กัลยพัชรกล่าว 

กัลยพัชร ย้ำว่า  กฎหมายนี้ ไม่ได้มุ่งไปที่การยุติชีพผู้ป่วยระยะสุดท้ายเลยทันที แต่ความจริงจะต้องเป็นการดูแลประคับประคอง โดยแพทย์ไม่ต้องยื้อชีวิต สื่อสารกับญาติและผู้ป่วย และให้ออกจากรพ.กลับไปอยู่บ้านในสภาแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนที่รัก ให้สบายที่สุด และจากไปอย่างเจ็บปวดน้อยที่สุด สงบที่สุด แทนที่จะนอนอยู่รพ.โดยที่คนไข้อยู่ในภาวะที่จะไม่หายจากการป่วยแล้วแต่กลับมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ซึ่งเรื่องการยุติชีพเป็นปลายทางสุดท้าย

“หากกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้  สังคมไทยจะมีระบบการดูแลผู้ป่วยประคับประครองที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้คนไข้ได้จากไปอย่างสงบตามเจตจำนง ขณะที่ช่วยญาติที่ต้องดูแลคนป่วยระยะสุดท้าย  รวมถึง คุ้มครองแพทย์ ให้กล้าทำตามเจตจำนงผู้ป่วย และระบบจะลดต้นทุนค่าใช้จ่ายจากที่ต้องไปยื้อชีวิตคนไข้ที่เป็นระยะสุดท้ายซึ่งรักษาไม่หายอยู่แล้ว และนำงบประมาณไปลงในเรื่องที่ควรลง เช่น การป้องกันก่อนป่วย เป็นต้น”กัลยพัชรกล่าว  

เลิกใช้คำว่าการุณยฆาต

ขณะที่ เอกภพ สิทธิวรรณธนะ นักจัดการความรู้โครงการชุมชนกรุณา กลุ่ม Peaceful Death ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า  การุณยฆาต ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Mercy Killing ซึ่งทั่วโลกเลิกใช้คำนี้แล้ว เพราะอาจสับสน  ไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้ป่วยหรือประชาชนอาจกำลังเรียกร้อง ในการขอให้ช่วยยุติชีพตนเองเมื่อป่วยระยะสุดท้าย เพื่อให้พ้นจากความทรมาน รวมถึง บุคลากรทางการแพทย์อาจไม่สะดวกใจ จึงเสนอให้ใช้คำว่า “การยุติชีพแบบรับการช่วยเหลือ” หรือ Assisted Dying (AsD)ในกฎหมายที่จะมีการยกร่างขึ้น 

3 มิติของการตายดี 

ปัจจุบัน เรียกว่าการดูแลการตายอยู่ในยุคความตายแบบ นวทันสมัย (Neomodern)  คือ แสวงหาทางเลือกการตาย ที่มีศักดิ์ศรีกว่า ทรมานน้อยกว่า  ทำให้เกิด Hospice Care , Palliative Care และการยุติชีพแบบรับการช่วยเหลือ(Assisted Dying)

ทั้งนี้ การตายดีรอบด้าน แยกเป็น 3 มิติ ประกอบด้วย 

  • การตายดี ทางจิตใจ  ได้รับการตอบสนองความเชื่อ ศาสนา จิตวิญญาณ  ใจสงบ เป็นสุข  บรรลุสิ่งสำคัญ ไม่มีสิ่งติดค้าง  หนทาง คือ ฝึกปฏิบัติทางศาสนา จิตวิญญาณ ดูแลใจยามเจ็บป่วย และ ลงมือทำสิ่งสำคัญในชีวิต
  • การตายดี ทางสังคม มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัว ความสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคลากรสุขภาพ วิธีคือดูแลความสัมพันธ์กับครอบครัว และความสัมพันธ์เกื้อกูลต่อบุคลากรสุขภาพ
  • การตายดี ทางกายภาพ ปลอดจากความทุกข์ทรมาน พึงพอใจในการรักษา เข้าถึงการดูแลความทุกข์ทรมาน  เข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพ โดยการดูแลแบบประคับประคอง, การยุติชีพแบบรับการช่วยเหลือ

ความแตกต่างการดูแลแบบประคับประคอง-การยุติชีพแบบรับการช่วยเหลือ

การดูแลแบบประคับประคอง ในผู้ที่มีภาวะคุกคามชีวิต/ เหลือเวลาชีวิตจำกัด พัฒนาการโรค เข้าเกณฑ์ประคับประคอง ระยะประคับประคอง 6-12 เดือน ซึ่งการดูแลจะลดความทุกข์ทรมาน เพิ่มคุณภาพชีวิต ผู้ที่มีภาวะคุกคามต่อชีวิต ยอมรับการตายตามธรรมชาติ เสียชีวิต ดูแลความ โศกเศร้า จากการสูญเสีย ไม่ยื้อชีวิต ไม่เร่งการตาย
ดูแลครอบคลุมกาย จิต สังคม จิตวิญญาณ  ดูแลแต่เนิ่นๆ ดูแลไปถึงผู้ดูแล ดูแลความสูญเสีย ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย  องค์การอนามัยโลกสนับสนุนให้เป็นสิทธิ์ของทุกคน ผสานกับระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า และควรไปให้ถึงการดูแลแบบประคับประคองในบริการสุขภาพปฐมภูมิ แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ลงทุนกับการประคับประคองน้อยเกินไป
‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในไทย?(จบ)  ยอดพีระมิด ฐานรากต้องแข็งแรงก่อน

ส่วนการยุติชีพแบบรับความช่วยเหลือ (AsD) เป็นการไม่ยื้อชีวิต เร่งการตาย พ้น/ข้ามช่วงทุกข์ทรมาน โดยที่แพทย์ระบุว่าเหลือชีวิตอีกไม่เกิน  6-12 เดือน แล้วผู้ป่วยร้องขอเพื่อเข้าสู่กระบวนการประเมิน ขออนุมัติจากองค์กรหรือแพทย์หลายคน ซึ่งในการช่วยยุตชีพ จะต้องเขียนคำร้อง มีพยาน ผ่านการประเมินทางจิต และต้องได้รับคำแนะนำการดูแลทางจิตสังคมและการดูแลแบบประคับประคอง
โดยสรุป การดูแลแบบประคับประคอง ไม่ยื้อชีวิต ไม่เร่งการตาย ดูแลคุณภาพชีวิต  ส่วนการยุติชีพแบบรับความช่วยเหลือ ไม่ยื้อชีวิต เร่งการตาย พ้น/ข้ามช่วงทุกข์ทรมาน 

ยุติชีพอยู่ยอดของพีระมิด

เอกภพ กล่าวย้ำว่า  แม้ว่าจะมีกฎหมายในการช่วยยุติชีพจะแก้ปัญหาเรื่องการตายดีได้เพียงมิติทางกายภาพเท่านั้น ยังมีโจทย์ทางสังคม ความรู้สึกของครอบครัว และจิตใตของผู้ที่ร้องขอ ล้วนเป็นสิ่งที่ยังเป็นช่องว่างอยู่ แต่การดูแลแบบประคับประคองจะตอบโจทย์ทั้ง 3 มิติของการตายดีทั้งจิตใจ กายภาพ และสังคม

“การยุติชีพแบบรับการช่วยเหลือ เป็นยอดของพีระมิดของการเข้าถึงการดูแล ถ้ามีฐานที่ไม่แข็งแรง โดยการดูแลแบบประคับประคองยังมีแค่บางรพ. ยังไม่มีกำลังคนที่ดูแลได้มากเพียงพอ รวมถึง ยังไม่ลงถึงชุมชนที่จะช่วยดูแลยังไม่พอ จึงจำเป็นต้องดูแลบำรุงฐานของการอยู่ดีตายดีตั้งแต่ในชุมชนไปจนถึงรพ. ดังนั้น การยุติชีพจะเกิดขึ้นได้ การดูแลแบบประคับประคองต้องเข้มแข็งก่อน ประเทศไทยต้องพัฒนาการดูแลสุขภาพช่วงท้ายทั้งระบบ”เอกภพกล่าว 

อ่าน :
‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในไทย?(1) ซีรีย์การุณยฆาต กระตุกความสนใจสังคม
‘ยุติชีพ’ผู้ป่วยระยะสุดท้ายในไทย?(2) ช่องว่างการ 'ดูแลประคับประคอง' ในไทย