“ศัลยกรรม-มีบุตรยาก” แนวโน้มโต หลังจีนเปิดประเทศ โควิดคลี่คลาย

“ศัลยกรรม-มีบุตรยาก” แนวโน้มโต หลังจีนเปิดประเทศ โควิดคลี่คลาย

การเตรียม "เปิดประเทศ" ของจีน ตั้งแต่ 8 ม.ค.2566 ไทยต้องเตรียมมาตรการต่างๆ ให้พร้อมรองรับการเข้ามาของชาวจีนที่ สธ. คาดว่าจะมีกว่า 5 ล้านคนในปี 2566 ขณะเดียวกัน ยังเป็นโอกาสด้าน "สุขภาพและความงาม" ซึ่งจีนถือเป็นตลาดใหญ่

หลังจากที่ประเทศจีน เตรียมเปิดประเทศตั้งแต่ 8 ม.ค.2566 โดยยกเลิกการกักตัวสำหรับผู้โดยสารบนเที่ยวบินระหว่างประเทศ แต่ผู้เดินทางเข้าจีน โดยทำการตรวจหาเชื้อแบบ PCR ก่อนออกเดินทางจากประเทศต้นทางเป็นเวลา 48 ชั่วโมง นับเป็นโอกาสของไทย เพราะนอกจากการท่องเที่ยว ที่ต้องอยู่ภายใต้มาตรการความปลอดภัย เรื่องความงามและสุขภาพ จีนยังถือเป็นตลาดใหญ่ของไทยอีกด้วย

 

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี (ttb analytics) ระบุว่า ในกลุ่มของ Health & Wellness นับตั้งแต่ปลายปี 2564 เป็นต้นมา หลังจากที่ภาครัฐผ่อนคลายเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยได้ รวมถึงแรงงานต่างด้าวถูกกฎหมายในระบบประกันสังคมที่อยู่กับโรงพยาบาลเอกชน จำนวนกว่า 9.6 แสนคน ทำให้รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในตลาดชาวต่างชาติฟื้นตัวขึ้น และคาดการณ์ว่าจากปัจจัยต่าง ๆ จะทำให้ในปี 2566 รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนโดยภาพรวม จะเติบโตได้ 8-10 %

 

ขณะที่โอกาสทางธุรกิจจากเทรนด์ปี 2566 ได้แก่ ธุรกิจด้านสุขภาพและความงามนั้นยังเป็นดาวเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันกลุ่มตลาดศัลยกรรมความงามมีทั้งกลุ่มคลินิกความงาม, กลุ่มโรงพยาบาลที่หันมาให้ความสำคัญกับบริการด้านศัลยกรรมเสริมความงาม และเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการคาดการณ์ว่า มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง 

 

ศัลยกรรมไทยครองใจต่างชาติ

 

ข้อมูลจาก สมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งอาเซียน พบว่า ที่ผ่านมามูลค่าตลาดของธุรกิจ ศัลยกรรม ไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปี 2560 มูลค่าราว 3 หมื่นล้านบาท ปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 3.6 หมื่นล้านบาท และคาดว่าในปี 2566 มูลค่าตลาดศัลยกรรมความงามไทยยังจะคงเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 10 - 20%

 

แม้ภาพรวมธุรกิจศัลยกรรมในเมืองไทยที่มีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาท จะได้รับผลกระทบในช่วงการระบาดโควิด-19 แต่หลังจากมีการเปิดประเทศ “ศัลยกรรม” ยังเป็นหนึ่งอุตสาหกรรมที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดชาวต่างชาติ รวมถึงคนในประเทศที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

ข้อมูลจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านความงามอันดับ ที่ 3 ของเอเชีย สามารถสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้ามาใช้บริการด้านความงามและศัลยกรรม เนื่องจากไทยมีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกับโรงพยาบาลในยุโรป

 

“นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล” แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง และผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ.บางมด เปิดเผยว่า ภาพรวมศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ.บางมด ของปี 2565 ยังคงมีผู้เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้บริการที่เป็นชาวต่างชาติ มีอัตราการเติบโต ขยับจำนวนเพิ่มขึ้นมาประมาณ 30% จากเดิมที่มีสัดส่วนเพียง 10% โดยเหตุผลสำคัญ คือ คุณภาพ เทคนิคการผ่าตัด ประสบการณ์และฝีมือความชำนาญของศัลยแพทย์ไทยที่คนทั่วโลกให้การยอมรับ 

 

ทำให้ชาวต่างชาติเชื่อมั่นและเดินทางมาประเทศไทย เพื่อเข้ารับการทำศัลยกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่ จะเดินทางมาจากประเทศในแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย อยู่ในระดับกลุ่ม Hi-End เช่น แพทย์, ทนายความ, เจ้าของธุรกิจ, นักแสดงระดับฮอลลีวูด ซึ่งศัลยกรรมยอดนิยมที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจคือ ศัลยกรรมดึงหน้า, ศัลยกรรมตา, ศัลยกรรมจมูก และศัลยกรรมเสริมหน้าอก

 

จีน ตลาดใหญ่ศัลยกรรม

 

ด้าน “นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยันฮี ให้สัมภาษณ์กับ “กรุงเทพธุรกิจ” คาดการณ์ว่า ภาพรวม อุตสาหกรรมความงาม แนวโน้มจะดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม การเปิดประเทศของไทย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าประเทศได้ง่ายขึ้นไม่ต้องกักตัว จุดนี้จะดึงดูดชาวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาได้สะดวกมากขึ้น

 

สำหรับต่างชาติที่นิยมเข้ามาทำศัลยกรรมในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม ขณะที่ จีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ นิยมมาผ่าตัดยืนยันสภาพเพศที่ไทย เนื่องจากกฎหมายที่จีนยังห้าม และเสริมหน้าอก ส่วนคนไทยนิยมทำตาสองชั้น และ เสริมจมูกเป็นหลัก ขณะเดียวกัน บริการที่ลูกค้าฝั่งเอเชียที่นิยมมากที่สุด คือ เสริมจมูก ผ่าตัดตาสองชั้น เสริมหน้าอก และ การเสริมความงามแบบไม่ต้องผ่าตัด ที่นิยม คือ ฉีดฟิลเลอร์ ฉีดโบท็อก ทำเลเซอร์

 

ทั้งนี้ เป้าหมายของไทย ที่จะก้าวสู่ Medical Hub รวมถึงเร่งดึงดูด Medical Tourism “นพ.สุพจน์” มองว่า หากมองในเรื่องของการแพทย์ไทยที่ไม่ใช่แค่ศัลยกรรม ไทยถือว่ามีศักยภาพไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดหัวใจ ข้อกระดูก กระดูกสันหลัง ดังนั้น หากโปรโมตเป็น Medical Hub โดยรวม ต่างชาติจะเชื่อถือมากขึ้น และจะมาเมืองไทยมากขึ้น

 

"ศัลยกรรมความงาม เติบโตได้อีกมาก ความท้าทายอยู่ที่ว่า หากสามารถโปรโมตให้ทั่วโลกได้รับรู้ว่าเราเก่งเรื่องศัลยกรรมความงาม จะสร้างความน่าเชื่อถือให้คนต่างชาติให้มากันมากขึ้น” นพ.สุพจน์ กล่าว

 

มีบุตรยากแนวโน้มโต

 

สำหรับตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ Krungthai COMPASS มองว่า วิธีการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) จะกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง โดยคาดว่า ภาพรวมตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี IVF ทั่วโลกจะมีมูลค่าแตะระดับ 2.31 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2570 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 16.4 % เพิ่มขึ้นจากปี 2563 เกือบ 3 เท่า อีกทั้ง มองว่าตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี IVF ของไทยจะมีมูลค่าประมาณ 3.3 พันล้านบาทในปี 2570 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 6.0% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 1.5 เท่า

 

ปัจจัยสนับสนุนสำคัญของตลาดบริการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธี IVF คือ การขยายตัวของตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากนโยบายของจีนที่อนุญาตให้มีบุตร 3 คน โดยทางการจีนได้ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2564

 

ข้อมูลจาก Allied Market Research ระบุว่า ในปี 2570 ตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากทั่วโลกจะมีมูลค่าแตะระดับ 3.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 14.2% ต่อปี (ปี 2562-2570) ซึ่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงที่สุด โดยจะมีมูลค่ากว่า 5.62 พันล้านเหรียญสหรัฐ เติบโตเฉลี่ย 14.7% ต่อปี (ปี 2562-2570)

 

สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของ Fertility Tourist ได้แก่ อินเดีย มาเลเซีย ไทย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ทั้งนี้ คาดว่าตลาดท่องเที่ยวสำหรับผู้มีบุตรยากของไทย ในปี 2570 จะมีมูลค่ากว่า 1.96 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท เติบโตเฉลี่ย 14.6% ต่อปี (ปี 2562-2570)

 

รพ.เอกชนเตรียมรับ นทท.จีน

 

สำหรับ “โรงพยาบาลเอกชน” ศ.นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน มองว่า หากประเทศจีนมีการเปิดประเทศให้คนจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ จะเป็นส่วนดีของภาคการท่องเที่ยวไทย แต่ต้องดูรายละเอียดว่ากำหนดเปิดให้กลุ่มใดเข้ามา ซึ่งในอดีตก่อนที่จะมีโควิด-19 ลูกค้าจีนมารับบริการตรวจสุขภาพและรักษาภาวะผู้มีบัตรยากจำนวนมาก หากจีนมีการเปิดประเทศ ก็จะทำให้ภาครพ.เอกชนไทยดีขึ้น

 

ขณะที่ความกังวลเกี่ยวกับโควิด-19 หลังจากจีนเปิดประเทศนั้น ศ.นพ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่กังวล เนื่องจากประเทศไทยผ่านเหตุการณ์หนักๆมามากแล้ว และผู้ติดโควิด-19 ตอนนี้อาการรุนแรงไม่ได้มาก เพียงแต่จะต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือการรับวัคซีน 2 สายพันธุ์ที่จะเข้ามาในประเทศไทยต่อไปโดยภาคเอกชนที่จะนำเข้ามาซื้อขายได้ น่าจะราว ไตรมาส 2 ของปี 2566

 

“ศัลยกรรม-มีบุตรยาก” แนวโน้มโต หลังจีนเปิดประเทศ โควิดคลี่คลาย