เสริมการลงทุนบริการทางการแพทย์ “ระบบบัตรทอง” ในพื้นที่อีอีซี

เสริมการลงทุนบริการทางการแพทย์ “ระบบบัตรทอง” ในพื้นที่อีอีซี

สปสช. จับมือ สกพอ. MOU “ส่งเสริมการลงทุนและบริการทางการแพทย์ ด้วยเทคโนโลยีระดับสูง เพื่อพัฒนาพื้นที่อีอีซี โดยระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ”  ยกระดับศักยภาพอุตสาหกรรมทางการแพทย์ไทย

จากการดำเนินงานในพื้นที่ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี  มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ขณะนี้ การพัฒนาพื้นที่ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม เกิดการขยายตัวของประชากรในพื้นที่มากขึ้น

โดยประมาณว่าในปี 2580 พื้นที่ 3 จังหวัดในอีอีซี จะมีประชากรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 6 ล้านคน จากเดิมที่มีประชากรราว 3.4 ล้านคน และมีผู้ที่เดินทางเข้ามาทำงาน เข้ามาท่องเที่ยว ในพื้นที่เป็นจำนวนมากส่งผลต่อการให้บริการประชาชนที่ต้องหนาแน่นขึ้น เช่น   บริการด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองท่องเที่ยว และพื้นที่อุตสาหกรรมหนาแน่น ทำให้ประชาชนต้องรอคิวรับบริการเป็นเวลานาน หากต้องดินทางมาระยะไกลจึงทำให้ไม่สะดวก ส่งผลให้การรักษาไม่ทันทวงที   

แนวคิดของการดำเนินงานด้านการแพทย์ครบวงจรเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยมีการนำโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.)ที่มีอยู่ในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมเป็นเครือข่าย เพื่อลดภาระการกระจุกตัวผู้ป่วยในโรงพยาบาล ซึ่งอาจจะเป็นผู้ป่วยทั่วไป เป็นระบบช่วยคัดกรองผู้ป่วยก่อนจะถึงโรงพยาบาล

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

42 กลุ่มโรค บัตรทอง บริการแพทย์ทางไกล ฟรี

สายด่วน สปสช. 1330 ขยายบริการเชิงรุกโทรแจ้งสิทธิ "คัดกรองมะเร็งปากมดลูก"

เช็ก! สิทธิประโยชน์บัตรทอง “คัดกรอง 4 โรคมะเร็ง” รับวันต่อต้านโรคมะเร็งฯ

"ฟันปลอม-ฟันเทียม" สวัสดิการที่คนไทยเข้าไม่ถึง

 

 

สปสช.ยกระบบบัตรทอง สร้างสุขภาพที่ดีในพื้นที่อีอีซี

นอกจากนั้น มีการพัฒนาเครื่องมืออุปกรณ์ หรือมีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยคัดกรองผู้ป่วย มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีระบบเฝ้าระวัง ปรึกษาหารือทางไกล และระบบส่งเสริมสุขภาพทางดิจิทัลที่ออกแบบให้อยู่ในรูปแบบของแอปพลิเคชั่น บนมือถือ เป็นต้น อีกทั้งมีการสร้างภาพลักษณ์และทัศนคติเชิงบวกให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ยกระดับการพัฒนาคุณภาพชีวิต

"สปสช." มีบทบาทและหน้าที่ในการดำเนินงานกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ “บัตรทอง 30 บาท” เพื่อเป็นหลักประกันสุขภาพให้กับคนไทย 48 ล้านคน ด้วยเป็นระบบหลักประกันสุขภาพขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบ

ทั้งนี้ งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจที่เอื้อต่อการดำเนินการของระบบ ไม่ว่าจะเป็นยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ ที่เป็นปัจจัยสำคัญของการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุข ทั้งต้องเพียงพอต่อการให้บริการดูแลประชาชน

ล่าสุด (วันที่28 ธ.ค.2565) นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ร่วมกับ นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการฯ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(สกพอ.) หรือ อีอีซี ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือ(MOU)  “การส่งเสริมการลงทุนและการบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง เพื่อพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคะวันออก โดยการสนับสนุนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” 

โดยมีนพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ด้านสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พร้อมด้วยผู้บริหารจาก 2 หน่วยงาน เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ณ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ

 

ลงทุนผลิตและบริการทางการแพทย์ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า การลงทุนเพื่อให้เกิดการผลิตและการบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ในประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง นอกจากทำให้เกิดการเข้าถึงบริการที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเป็นส่วนที่ช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในประเทศ พร้อมช่วยสร้างรายได้ เพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้

ผลจากการบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ สปสช. มั่นใจว่าจะนำมาสู่ผลที่ดี ทั้งต่อระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ทำให้ผู้มีสิทธิได้รับการบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงมาทดแทนเทคโนโลยีเดิม ภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม ควบคุมได้ และมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ภายใต้มาตรฐานบริการสาธารณสุขตาม พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ผลดีต่ออุตสาหกรรมด้านทางการแพทย์ในประเทศ ทั้งในด้านการพัฒนาและขยายศักยภาพการคิดค้น วิจัยและผลิต โดยให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ และผลดีต่อประเทศไทยเอง ในด้านความมั่นคงทางระบบสุขภาพของประเทศ

ส่งเสริมผู้มีสิทธิบัตรทองได้รับการบริการทางการแพทย์

นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการฯ รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า ปัจจุบันการบริการทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงในประเทศไทย ส่วนใหญ่ต้องอาศัยเทคโนโลยี และเครื่องมือที่นำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ประชาชนบางส่วนมีข้อจำกัดที่จะสามารถเข้าถึงบริการรับการรักษา หรือรับวินิจฉัยโรคเหล่านั้นได้

โดยภายใต้ข้อตกลง MOU นี้ จะสามารถขับเคลื่อนสนับสนุนการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่อยู่ภายใต้สิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง เช่น การลงทุนเพื่อการตรวจทางพันธุกรรม (Genetic Testing) ซึ่งจะมาทดแทนการทดสอบแบบเดิมภายใต้สิทธิประโยชน์ในระบบบัตรทอง เป็นต้น

รวมทั้งจะส่งเสริมให้ผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ได้รับการบริการทางการแพทย์ ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ให้สามารถรับการรักษาให้ปลอดภัย ทันการณ์ และสร้างสุขภาพดีให้คนไทยได้ถ้วนหน้า

พัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มบริการที่ดี

นพ.พีรพล สุทธิวิเศษศักดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ด้านสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กล่าวว่า ความร่วมมือที่เกิดขึ้น ระหว่าง สกพอ. และ สปสช. ในครั้งนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญสนับสนุนให้อีอีซี ขับเคลื่อน อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร ซึ่งเป็น 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

โดยจะผลักดันให้เกิดการลงทุนทางการแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูงมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่อีอีซี รวมทั้งจะส่งผลให้เกิดการพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่มตำแหน่งงานที่มีทักษะและค่าตอบแทนในระดับสูงให้บุคลากรไที่ทำหน้าที่ทั้งการบริการและการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

รวมทั้งเกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี เป็นการพัฒนาอุตสาหกรรมทางการแพทย์ของประเทศ ให้สามารถแข่งขันได้ รองรับการลงทุนอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร  ที่จะเกิดการพัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพครบทุกมิติตามนโยบายของรัฐบาล ยกระดับบริการด้านสาธารณสุขให้ประชาชนเกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน